('ยัยเต่า นี่เธอกำลังทำอะไร') ดาราชายเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักเมื่อเขาเห็นฉันกำลังเช็ดตัวให้ร่างกายเขาในช่วงเวลาพลบค่ำ ซึ่งฉันก็ทำแบบนี้มาตลอดเพียงแค่ตอนนั้นเขาไม่เห็นก็เท่านั้นเอง
'เช็ดตัวไง ถามอะไรโง่ ๆ' ว่าเหน็บเขาในใจ ที่ต้องสื่อสารในใจเพราะที่นี่โรงพยาบาล ฉันกลัวว่าจะมีคนมาเห็นว่าฉันพูดคนเดียว
('ฉันไม่ได้โง่ แต่ฉันแค่กำลังสงสัยว่าเธอแอบจับของต้องห้ามของฉันใช่ไหม') เขาหายตัวจากโซฟาแวบมาปรากฏกายตรงหน้าฉันอย่างรวดเร็ว
'ฉันไม่ได้แอบ ฉันตั้งใจจับ' ฉันพูดตามตรง
('หืม ยัยเต่าโรคจิตเธอมันโรคจิต นี่คงจะภูมิใจมากสินะที่ได้สัมผัสของรักของดาราดังอย่างฉัน') ประโยคที่เขาพูดมาทำให้ฉันถึงกับอ้าปากเหวอ ฉันกับเขาคงคุยกันคนละเรื่อง ฉันคิดว่านายบัลลังก์คงจะจิตไม่ปกติแล้วล่ะ ฉันแค่ทำหน้าที่พยาบาล นายนี่ทำไมคิดไปไกลขนาดนั้นนะ
'มันคือหน้าที่ ฉันไม่ได้อยากจะจับของนายหรอกนะ ไม่ได้ใหญ่โตจนฉันอยากจะสัมผัสขนาดนั้น' ว่าพลางเอามือถูเช็ดบริเวณส่วนนั้นของเขา ถามว่าอายไหม ก็ต้องอายอยู่แล้ว แต่ฉันรู้สึกหมั่นไส้ในความหลงตัวเองของเขาไง
คนอะไรมั่นใจตัวเองเหลือเกิน!
('ยัยเต่า!') เขาตะเบ็งเสียงใส่ฉันโดยที่ฉันยกยิ้มมุมปาก และจับส่วนนั้นมาเช็ดถูต่อหน้าต่อตาของเขา
'ทำไม ฉันพูดเรื่องจริงนายรับไม่ได้หรือไง' ส่งสายตาเยาะเย้ยไปสิ
('เธอจำคำพูดวันนี้ของเธอไว้ให้ดี วันไหนที่ฉันกลับเข้าร่างได้เราจะได้เห็นดีกัน เธอโดนแน่') เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวก่อนที่เขาจะหายตัวไป
"โดนเหรอ โดนอะไรวะบ้าบอที่สุด ไอ้ผีบ้า" ฉันบ่นพึมพำและแต่งตัวให้ร่างของดาราดัง
นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะที่เขามาขอโทษฉัน เขายังสามารถทำให้ฉันมึนงงวุ่นวายชีวิตได้มากขนาดนี้ แล้วนี่หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
แอ๊ด ปึก!
"คุณยาย สวัสดีค่ะ" เอ่ยทักผู้มาใหม่พร้อมยกมือไหว้
"จ้ะ" ท่านยิ้มรับจากนั้นจึงเดินไปหยุดที่เตียงผู้ป่วยที่มีหลานชายของท่านนอนหลับใหลไม่ได้สติ
"นอนนานไปแล้วนะเมฆ ไม่คิดถึงยายบ้างเหรอลูก ยายคิดถึงเมฆมากนะ รีบตื่นขึ้นมากอดยายสิ เมฆนอนนานแบบนี้ยายไม่ชอบเลย" คุณยายของดาราชายยื่นมือสัมผัสที่แก้มของหลานชาย หลังจากที่พูดจบประโยคท่านก็โน้มตัวไปหอมที่หน้าผากของหลาน
ฉันเพิ่งจะรู้ว่านายบัลลังก์มีชื่อเล่นว่าเมฆก็ตอนที่คุณยายท่านเอ่ยเรียกนี่แหละ คิด ๆ ดูแล้วหรือฉันจะเป็นยัยเต่าแบบที่นายบัลลังก์เรียกจริง ๆ ไม่ ไม่! ฉันไม่ได้เป็นเต่า ฉันก็แค่ไม่ได้สนใจเขาก็เลยไม่คิดจะเก็บเอามาใส่ใจ
"หลานชายของยายเป็นคนน่าสงสารนะหนูรู้ไหม" จู่ ๆ คุณยายของดาราชายก็เดินมานั่งตรงข้ามกับฉัน
“...” ซึ่งฉันเลือกที่จะพยักหน้าและส่งยิ้มให้ท่าน
"เขาไม่มีพ่อแม่หรอก พ่อเขาทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนแม่ก็ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ตั้งแต่ที่เลิกกับพ่อเขาไป เป็นยายเองที่ฟูมฟักทะนุถนอมเลี้ยงดูดั่งไข่ในหินทำให้บรรดาหลานคนอื่น ๆ ไม่ชอบเมฆ ที่เมฆเกเรก็เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกขาดของตัวเอง ยายไม่เคยเห็นด้วยเลยที่เมฆไปเป็นบุคคลสาธารณะแบบนั้น แต่ยายก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าที่เขาทำไปคงอยากจะเป็นที่รักของทุกคนและอยากจะโดดเด่นให้พ่อกับแม่ของเขาหันมาสนใจ" คุณยายเล่าให้ฉันฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ท่านดูกังวลกับเรื่องราวที่เล่าให้ฉันรับฟัง
"เดี๋ยวหลานชายของคุณยายก็ฟื้นค่ะ" ฉันคิดได้แค่ประโยคนี้เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเพื่อให้ท่านรู้สึกดี
"ยายก็เชื่อแบบนั้น ยายต้องขอโทษหนูด้วยนะที่ดึงดันจะเอาหนูมาดูแลตาเมฆจนลืมคิดไปว่าหนูก็ต้องกลับไปหาครอบครัว เอาเป็นว่าถ้าหนูจะกลับไปหาครอบครัวก็บอกยายนะ"
"หนูไม่มีใครให้กลับไปหาหรอกค่ะ พ่อแม่พี่ชายและคุณตา พวกเขาไปอยู่บนสวรรค์แล้ว หนูจะดูแลหลานชายของคุณยายให้ดีที่สุดนะคะ" ฉันยิ้มบางให้คุณยาย
"ไม่เป็นไรนะ คิดซะว่ายายเป็นยายของหนูแบบตาเมฆก็ได้ ยายถูกชะตากับหนูนะ" ท่านลุกจากฝั่งตรงข้าม เดินมานั่งข้างฉันพร้อมกับมอบอ้อมกอดให้ฉัน
"ขอบคุณนะคะคุณยาย" ฉันกอดตอบคุณยาย รู้สึกอบอุ่นดีนะอ้อมกอดของผู้ใหญ่
('กะจะขโมยยายฉันใช่ไหมยัยเต่า') ใบหน้าหล่อโผล่ประชิดตรงหน้าฉัน เขากำลังกอดยายของเขาแบบหลวม ๆ จากด้านหลังของคุณยาย และที่สำคัญฉันอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย!
"กอดกับหนู เหมือนยายกอดกับตาเมฆเลย" คุณยายท่านว่าขณะกำลังกอดฉัน
"ค่ะ" ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าหลานชายก็กอดยายอยู่ แล้วจะไม่ให้เหมือนได้ยังไง
('โรคจิตแล้วยังขี้ขโมย') เสียงเหน็บแนมนี้ก็ยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมใบหน้าของวิญญาณขี้อิจฉา