บทที่ 18
'ผมมาเดินเล่น... คุณไปนั่งเล่นที่บ้านผมไหม' ท่านรองสืบสวนหนุ่มนั่งทบทวนความคิดของตัวเองเมื่อนึกถึงประโยคที่เขาพูดกับอดีตโจรตัวแสบไป เท่านั้นยังไม่พอเขายังทำใจทนเห็นดวงตาคู่สวยนั้นหม่นแสงลงไม่ได้ ยิ่งดวงตานั้นบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มา
ย้อนไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนระหว่างทางที่แผ่นดินกำลังจะไปฐานลับของท่านอนุรักษ์ชายหนุ่มเห็นแจ้งเตือนของไลน์กลุ่มเด้งขึ้นว่าเกิดเหตุไฮโซเจ้าของธุรกิจชื่อดังโดดตึกฆ่าตัวตาย เขาเลยแวะเข้ามาสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุสักหน่อยอย่างน้อยคดีนี้ก็เกิดขึ้นในพื้นที่ของเขา และเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุก็พบกับพะพิงกำลังโดนเพื่อนดึงออกมาด้านนอกฝูงไทยมุงเพราะเจ้าตัวพยายามจะเข้าไปหาผู้เสียชีวิต ใบหน้าสวยที่มักจะแย้มรอยยิ้มกวนเขาก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจ ถ้าให้เดาพะพิงคงสนิทกับผู้เสียชีวิตไม่น้อย
ร่างบางใช้เวลาตั้งสติอยู่พักใหญ่โดยมีหญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อนนั่งเป็นเพื่อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อพะพิงลุกขึ้นยืนแล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้ผู้หญิงคนนั้นฟังจากนั้นทั้งสองคนก็แยกกันไปคนละทางเขาจึงเลือกที่จะตามนักโจรกรรมตัวแสบไป และพบว่าพะพิงเดินเข้าไปในคอนโดอย่างง่ายดาย
"ที่นี่ถ้าไม่มีคีย์การ์ดก็ขึ้นไม่ได้ครับ" นิติที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแผ่นดินเดินไปทางประตูลิฟต์ที่พะพิงเข้าไปเมื่อสักครู่
"แล้วคุณคนนั้น"
"เขามีคีย์การ์ดไงครับ" ถ้าไม่มีคีย์การ์ดคนสวยคนนั้นจะขึ้นไปได้อย่างไร
"เหรอครับ" เมื่อตามขึ้นไปไม่ได้นายตำรวจหนุ่มจึงเลือกที่จะไปดูที่เกิดเหตุแทน
"สวัสดีค่ะท่านรองมาทำอะไรที่นี่คะ"
"สวัสดีหมวดวารี" ทักทายลูกน้องในทีมที่ไม่ค่อยได้เจอกันเพราะเขากับคู่หูแยกออกมาทำคดีใหญ่ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจอกับเธอที่นี่
"อ๋อ พอดีผู้ใหญ่ท่านสั่งให้วามาดูแลคดีค่ะเพราะเป็นคนมีหน้ามีตาในแวดวงธุรกิจท่านอยากให้ปิดคดีให้เร็วที่สุดค่ะ" ตำรวจสาวคงเห็นว่าผู้เป็นนายสงสัยจึงอธิบายให้ฟัง
"ท่านดนุพงษ์เหรอ" ผู้ใหญ่ที่วารีพูดถึงคงเป็นคนนี้นี่แหละ
"ใช่ค่ะ"
"อืม"
"ว่าแต่ท่านรองมาทำอะไรแถวนี้คะ"
"พอดีผมขับรถผ่านแถวนี้พอดีเห็นในไลน์แจ้งเหตุเลยแวะเข้ามาดู"
"...อ"
"หมวดครับขึ้นไปดูบนห้องของผู้เสียชีวิตเลยไหมครับ... อ้าวสวัสดีครับท่านรอง"
"สวัสดีจ่าแช่ม"
"ท่านรองก็มาดูคดีนี้เหมือนกันเหรอครับ"
"เปล่า ผมแค่ผ่านมาพวกคุณไปทำงานกันต่อเถอะ"
"ค่ะ/ครับ"
แผ่นดินเลือกที่จะเดินมาดักยัยโจรตัวแสบที่บันไดหนีไฟเพราะเดาว่าร่างบางคงใช้ทางนั้นในการหลบตำรวจออกมา รอบนี้เขาไม่ได้จะมาจับหญิงสาวเหมือนรอบก่อน ๆ เขาเพียงอยากรู้ว่าหล่อนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
"...ไปนั่งเล่นที่บ้านผมไหม" เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ถึงชวนพะพิงมานั่งเล่นที่บ้าน แต่เมื่อชวนไปแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเธอกำลังเสียใจซึ้งแผ่นดินไม่คิดว่าเธอจะเสียใจมากขนาดนี้
"ก็ได้ค่ะ"
"งั้นไปรถผม"
"ค่ะ"
"พามาบ้านคุณจริง ๆ เหรอเนี่ย" คนกำลังเสียใจนั่งเงียบมาตลอดทางจนแผ่นดินนึกเป็นห่วง
"ทำไมถึงคิดว่าไม่จริง" คิ้วหนาเลิกขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ร่างบางเอ่ย
"ก็ฉันไม่คิดว่าคุณจะพามาบ้านของคุณจริง ๆ ตอนแรกคิดว่าคุณคงพาฉันไปคอนโดหรือไม่ก็เซฟเฮ้าส์ของคุณสักที่"
"หึ คุณก็ไม่ได้ดูอันตรายขนาดนั้น อย่างน้อยคุณก็ทำร้ายผมไม่ได้" คนที่บอกว่าทำร้ายผมไม่ได้คือคนที่โดนร่างบางที่มีขนาดตัวเล็กกว่าตัวเองเกือบครึ่งจับทุ่มลงพื้นเมื่อครั้งก่อน คนที่โดนจับทุ่มเมื่อครั้งก่อนทำแกล้งเป็นลืมไป
"คุณไม่ควรไว้ใจใครง่าย ๆ นะท่านรองแผ่นดิน"
"สำหรับคุณคงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าครั้งแรกที่เราเจอกัน"
"หึ ฉันก็ว่าอย่างนั้น นี่คุณจะไม่เชิญฉันเข้าบ้านก่อนเหรอคะ" เมื่อนึกวันแรกที่ได้เจอกันแผ่นดินก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อแขกที่เขาเชิญมาเอ่ยแซวแผ่นดินจึงเดินนำร่างบางเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็พาเดินลัดสวนหลังบ้านไปที่เรือนพักผ่อนที่เขาสร้างเอาไว้สำหรับมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ
"คุณพักที่นี่ได้ตามที่คุณต้องการเลยพะพิงถ้าไม่อยากออกประตูใหญ่ ตรงกำแพงฝั่งขวามีประตูสำหรับแม่บ้านกับคนสวนใช้เข้าออกอยู่มันจะเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าและปิดตอนห้าโมงเย็นคุณสามารถใช้ทางนั้นได้"
"ขอบคุณแต่ฉันรบกวนคุณไม่นานหรอก ฉันแค่อยากมีเวลาให้คิดอะไรนิดหน่อย"
"งั้นผม..." เมื่อเห็นว่าแขกมีท่าทีเหนื่อย ร่างสูงจึงจะขอตัวกลับบ้านใหญ่ก่อน แต่ก็ถูกร่างบางรั้งไว้
"ใจคอคุณจะปล่อยให้แขกอยู่คนเดียวเหรอคะ"
"ผมคิดว่าคุณอยากพักผ่อน" เขาพูดไปตามจริงถึงแม้จะอยากรู้ว่าพะพิงเป็นอะไรกับนักธุรกิจคนนั้น
"คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมฉันถึงแอบขึ้นไปบนห้องของธาร"
"คุณจะบอกผมเหรอ" เจ้าของบ้านถามอย่างแปลกใจ
"ก็ถ้าคุณจะไม่บอกคนอื่น" รอยยิ้มที่หายไปสักพักปรากฏอีกครั้งเมื่อคนพูดรู้สึกขบขัน
"ผมไม่ใช่คนแบบนั้น" เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"นั่งลงก่อนสิท่านรอง" เมื่อแผ่นดินทำตามที่แขกบอกหญิงสาวก็มีท่าทีผ่อนคลายลง เขาเดาว่าเธอคงต้องการใครสักคนรับฟังสิ่งที่อยู่ภายในใจของตัวเองตอนนี้ "ธาร ธารธาราเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในโลกปกติเพียงคนเดียวของผม" คิ้วหนาเลิกขึ้นกับคำว่าโลกปกติของพะพิงเลยทำให้พะพิงที่มองอยู่อธิบายต่อ "โลกปกติที่ไม่ใช่วงการสีเทาหรือคนมีสี เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียน ธารเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมอปลายด้วยซ้ำท่ามกลางญาติพี่น้องที่คอยหวังจะฮุบสมบัติกับธุรกิจที่กำลังระส่ำระส่ายธารจึงขอให้ป๋าช่วย และทำให้ตัวป๋าเป็นผู้จัดการมรดกจากนั้นธารก็เข้าไปบริหารบริษัทแทนคุณพ่อคอยเรียนรู้และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ธารในวัยสิบแปดปีเขาเก่งมากเลยนะคุณ ทั้งต้องเอาตัวรอดจากพวกขอส่วนบุญ จากพวกที่หวังฮุบสมบัติ และวิกฤตของบริษัท เขาใช้เวลาเพียงสามปีทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง ธารทั้งเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเมื่อหมดข้อกังขาของเหล่ากรรมการบริษัท ธารก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปหาเวลาหาความสุขให้ตัวเองมากขึ้นเขามีคนรักเป็นรุ่นพี่ในคณะพี่เขาคอยให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้ธารในหลาย ๆ เรื่อง และเป็นคนเดียวที่ธารบอกว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน"
"..." ถึงคนเล่าจะไม่มีน้ำตาแต่ใบหน้าสวยกลับฉายความสุขปนเศร้าออกมาชัดเจน
"ธารรักเขามากจนธารอยากสร้างครอบครัวด้วย เฮ้อ..." ไม่ต้องเดาแผ่นดินก็พอรู้ว่าความรักของธารเป็นแบบไหน เพราะช่วงครึ่งปีก่อนมีข่าวซุบซิบออกมาว่าหนุ่มคนสนิทของนักธุรกิจไฟแรงออกเดทกับลูกสาวนายตำรวจยศใหญ่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนักธุรกิจคนนั้น จากนั้นข่าวก็เงียบไปไม่รู้เพราะอะไรอาจเป็นอำนาจของพ่อฝ่ายหญิงหรืออาจเป็นเพราะอำนาจเงินของนักธุรกิจคนนั้น
"ธารตัดความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องนานแล้วเหลือแค่เด่นคุณที่เป็นทั้งรุ่นพี่ในคณะและคนรัก คุณคิดว่าการตายของธารผิดปกติเขาอาจโดนฆาตกรรมอย่างนั้นเหรอ"
"ฮ่า ๆ ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดีสิท่านรอง... เอาเถอะฉันขอบคุณที่คุณนั่งรับฟังฉัน วันนี้ฉันไม่รบกวนเวลาของคุณแล้วฉันขอพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันเมื่อคิดอะไรออกแล้วก็จะไป" พะพิงหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นถ้าธารถูกฆาตกรรมจริง ๆ อะไร ๆ ที่เธอควรทำเพื่อทวงความยุติธรรมให้เพื่อนสนิทคงง่ายกว่านี้ ไม่ต้องมานั่งคิดไม่ตกหาเหตุผลมากมายที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันนี้