นีรณาเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังดินแดนที่มีชื่อด้านศิลปะแห่งนี้ ด้วยความหวังว่าการร่วมงานกับศิลปินชื่อดัง อย่างเดวิด อัลเนโร จะทำให้ผลงานของเธอเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และมันก็เริ่มเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ มีคนสนใจผลงานของเธอ มีผู้ว่าจ้างให้เธอเขียนรูปให้หลายคน เธอมีรายได้มีความสุข มีเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ดี ชีวิตยังต้องการอะไรมากกว่านี้อีกหนอ
จนกระทั่งก่อนคริสต์มาสเดวิดได้พาเธอไปเที่ยวที่ Casa di Giulietta. หรือบ้านของจูเลียต และเธอก็เขียนคำอธิษฐานแปะไว้บนกำแพงของที่นั่น คำอธิษฐานที่เธอไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงไหม แต่ก็เลือกที่จะเขียนข้อความนั้นลงไป
‘ขอให้พบกับคนที่จะเป็นรักแท้ และรักเดียวในชีวิตของฉัน’
บางทีเดวิดอาจจะเป็นคนคนนั้น หญิงสาวเคยถามตัวเอง แต่คำตอบในหัวใจกลับบอกว่า ชายหนุ่มเป็นเพียงเพื่อนที่ดี และเขาก็มีเสน่ห์กับผู้หญิงมากเกินไป แม้เขาจะให้เกียรติเธอ ทว่าเธอกลับไม่เคยรู้สึกกับเขาเกินคำว่าเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเลย เช่นเดียวกับเขาที่ไม่อาจมอบตำแหน่งผู้หญิงคนเดียวข้างกายเขาให้เธอได้ การเป็นเพื่อนคือคำตอบที่ดีที่สุดของทั้งคู่
“บางทีเราสองคนอาจจะเหมาะที่จะแต่งกับงาน มากกว่าจะแต่งงานกันนะ”
นีรณายิ้มเมื่อนึกเจ้าของประโยคนี้ เดวิดกับเธอมีความเป็นศิลปินสูง เธอกับเขาต่างมีโลกส่วนตัวโลกที่ใครก็ไม่อาจเข้ามาถึง เขาเคยบอกว่าเขาอยู่เพื่อรอคอยใครสักคน ในขณะที่เธออยู่เพื่อรอคอยรักแท้ที่ไม่รู้ว่ามีจริงไหม...
“ถึงแล้วครับ”
เสียงนี้ ปลุกนีรณาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด
ประตูรถฝั่งของเธอถูกเปิดออก หญิงสาวก้าวเท้าลงไปแล้วนิ่วหน้า เมื่อพบว่าคนขับรถพาเธอมาที่บ้านหลังหนึ่งบ้านหลังนี้ไม่มีการตกแต่งไฟหรือต้นคริสต์มาสให้เห็น และยังอยู่ห่างไกลจากบ้านหลังอื่น มีกำแพงสูงล้อมรอบพื้นที่ รถจอดอยู่หน้าประตูบ้าน ขณะประตูรั้วเลื่อนปิดช้าๆ มองไปรอบๆ ก็ไม่พบผู้คนนอกจากเธอและชายคนขับรถ
“เชิญทางนี้ครับ”
คนขับรถเปิดประตูบ้านผายมือเชื้อเชิญ ทว่า... นีรณายังยืนอยู่ที่เดิม หญิงสาวมองผ่านบานประตูเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนจะถอยหลังกรูดเมื่อไม่เห็นวี่แววของผู้คนในบ้าน ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีงานเลี้ยง และไม่มีเดวิดเจ้านายของเธอรออยู่ หัวใจดิ่งวูบความระแวงในนาทีแรกเข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง
“ที่นี่ที่ไหน”
เธอถามเสียงสั่น ขยับถอยออกห่างเรื่อยๆ มองประตูรั้วสูงที่ยังปิดสนิท ถ้าเกิดอะไรขึ้นเธอจะสามารถปีนออกไปจากที่นี่ได้ไหม
“เข้ามาสิ”
คนพูดยืนจ้องหน้าเธอนิ่ง น้ำเสียงเข้มขึ้น
“ไม่ ฉันไม่เข้าไป”
นีรณาส่ายหน้าขยับถอยหลังไปอีกวา มือจับกระเป๋าไว้แน่น ละอองหิมะเริ่มโปรยปรายลงมา ความหนาวเย็นเทียบไม่ได้กับกับความกลัวในขณะนี้ หญิงสาวเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกพาตัวมา แล้วทำไมคนร้ายต้องหลอกลักพาเธอมา เธอไปทำอะไรให้เขา หรือมันเป็นพวกแก๊งลักพาตัวผู้หญิงไปขาย ขนในกายลุกชันด้วยความหวาดกลัว
“หิมะตกแล้ว เข้ามาสิ”
เขายังคงใจเย็น มองหญิงสาวนิ่งราวกับมั่นใจว่าเธอไม่มีทางหนีไปไหนรอด หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้าหากเธอยังดื้อดึงยืนอยู่ตรงนั้น เธอจะแข็งตายแน่นอน
“ฉันจะกลับบ้าน พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้ !”
เธอตวาดเข้าใส่ เสียงเล็กๆ นั้นไม่ต่างจากลูกแมวเหมียวเพิ่งหย่านม ไม่ทำให้คนได้ยินรู้สึกสะดุ้งสะเทือนสักนิด
“แกเป็นใคร แกไม่ใช่คนขับรถของเดวิดใช่ไหม”
หิมะตกลงมาหนาตา ละอองสีขาวเกาะบนศีรษะและเสื้อผ้าของเธอ มันเย็นเฉียบและทำให้เธอเริ่มหนาวสั่น ชุดที่สวมอยู่เหมาะจะอยู่ในอาคารที่มีฮีตเตอร์ไม่ใช่กลางแจ้งตอนหิมะตกหนักแบบนี้
“นี่จำกันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม”
อีกฝ่ายถอดหมวกแก๊ปและแว่นตาหนาเตอะโยนทิ้ง เผยให้เห็นใบหน้าคมคาย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจมูกโด่งงามรับกับคิ้วดกหนาและไรเคราที่เจ้าตัวตัดแต่งไม่ให้รกเรื้อเกินไป
ให้ตายเถอะ... เขาช่างหล่อและดูดิบเถื่อนราวกับนายแบบหลุดออกมาจากแม็กกาซีน
แต่แววตาดุคมที่จ้องหน้าเธอ ทำให้นีรณาไม่อาจจะเคลิบเคลิ้มกับความหล่อสะดุดตานี้ได้สนิทใจ
“คุณเป็นใคร ฉันไม่เคยรู้จักคุณ” เธอส่ายหน้า
“เคยสิ เธอเคยรู้จักฉัน อย่าแกล้งทำเป็นจำไม่ได้หน่อยเลย นีน่า”
เสียงของเขาเริ่มกร้าวขึ้น ดวงตาวาววับน่ากลัว จ้องมองหน้าเธอเหมือนกับจะเผาให้มอดไหม้ไปต่อหน้า นีรณาส่ายหน้าอีกครั้ง เธอพยายามนึกทบทวนแล้วก็พบความว่างเปล่า
“ฉันไม่เคยรู้จักคุณ จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักคุณ”
เธอยังคงปฏิเสธ จะให้บอกว่าจำได้มันก็จะโกหกหน้าซื่อไปหน่อย ถึงเขาจะหล่อมากสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น แต่เธอก็ไม่เคยเจอเขามาก่อนแน่ๆ
นีรณาชอบสังเกตโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ เธอเป็นจิตรกรย่อมไม่พลาดที่จะจดจำผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อคมสะดุดตาแบบนี้หรอก
“จำไม่ได้เหรอ ฮึ”
ชายหนุ่มยิ้มหยัน มองเธอด้วยสายตากร้าวดุกว่าเดิม ก่อนจะเดินลิ่วเข้ามาหา นีรณาตกใจจะขยับตัววิ่งหนีแต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย ที่ขายาวและมีความว่องไวกว่าเธอที่ยืนขาชาอยู่ท่ามกลางหิมะ ร่างเล็กสะดุดล้มลงไปคลุกกองหิมะ ขยับจะลุกขึ้นก็มีร่างหนาเข้ามาประชิด เขาใช้แขนล็อกเอวเธอไว้แล้วเดินกึ่งหิ้วเธอเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจเสียงกรีดร้องและการดิ้นรนของเธอสักนิด