"ท่าทีเปลี่ยนไปไม่น้อย ไม่คัดค้านสิ่งที่ลูกสั่งการ นับวันยิ่งเห็นดีเห็นงาม ลูกคิดว่าคงเป็นเพราะบุตรสาวคนโตเกี่ยวดองกับน้องเจ็ดกระมัง"
ฝ่าบาททรงแย้มพระสรวลในขณะที่ดูรัชทายาทในวัยสิบห้าชันษาทรงอักษรพร้อมกันกับไทเฮาที่อุทยานหลวง
ไทเฮาเองทรงยินดียิ่งนัก สตรีนางนั้นแต่งเข้าจวนอ๋องได้ไม่นานบิดาของนางก็อ่อนลงมากเห็นทีว่าเมิ่งลี่เฟยก็มีประโยชน์ไม่น้อย
"ได้ข่าวว่าสามวันหลังแต่งอ๋องเจ็ดมิได้พานางกลับบ้านเดิมเพราะนางล้มป่วย จนบัดนี้ล่วงมาหลายวันแล้ว อ๋องเจ็ดก็ยังไม่พานางมาพบแม่เช่นกัน มิใช่น้องชายของเจ้าจะละเลยชายาผู้นี้หรอกนะ"
ฝ่าบาททรงรู้ดี เต๋อลู่หานรักใคร่ชายารองมากเพียงใด หลายปีที่เต๋อลู่หานปฏิเสธรับชายาเอกกระทั่งถูกเสด็จแม่บังคับในที่สุด ที่เสด็จแม่กล่าวเช่นนี้เห็นจะจริงแล้ว
"เสด็จแม่การที่เสนาบดีเมิ่งมีท่าทีอ่อนลงเช่นนี้ ทำให้ลูกทำงานง่ายขึ้น ย่อมเกี่ยวพันกับบุตรสาว หากน้องเจ็ดดูแลนางไม่ดีอาจเกิดปัญหาขึ้นอีก"
ไทเฮาเองก็ทรงไม่สบายพระทัยนัก เห็นทีว่าต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเสียแล้ว
"ใกล้จะถึงฤดูล่าสัตว์ ทุกปีอ๋องเจ็ดมักจะพาชายารองไปล่าสัตว์ด้วย ปีนี้ก็กำชับให้เขาพาพระชายาเอกไป สร้างสถานการณ์สานสัมพันธ์ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว"
ฝ่าบาทแย้มพระสรวล
"ลูกก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากวันนั้นไทเฮามีรับสั่งเรียกอ๋องเจ็ดและพระชายาเอกเข้าพบ
ในเรือนเล็กเมิ่งลี่เฟยกำลังจรดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นใหญ่ตรงหน้า พร้อมกับตวัดพู่กันเติมนั่นเติมนี่ลงไปโดยมีเสี่ยวเหลียนคอยฝนหมึกอยู่ข้าง ๆ
"คุณหนูต้องใช้เงินเท่าใดเจ้าคะ"
"คำนวณคร่าว ๆ ห้าหมื่นตำลึงทอง"
เสี่ยวเหลียนยกมือทาบอก
"มากมายเช่นนี้ที่เรามีจะพอหรือเจ้าคะ"
เมิ่งลี่เฟยหัวเราะเบาๆ
"ข้าเป็นพระชายาอ๋อง เงินน้อยนิดเพียงนี้ย่อมมีพอ"
เมิ่งลี่เฟยยังไม่ได้เริ่มดำเนินตามแผน ก็คล้ายมีคนยกขนมมาให้กินถึงเรือน เมื่อบ่าวผู้หนึ่งมาแจ้งแก่นางเรื่องให้เตรียมตัวเข้าเฝ้าไทเฮาในวันพรุ่งนี้
"สวรรค์เข้าข้างคนดีแล้วเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะเตรียมอาภรณ์ที่งามที่สุดให้นะเพคะ"
เมิ่งลี่เฟยดวงตาเป็นประกาย
"เจ้าไปสืบข่าว เจ้าอ๋องนั่นจะร่วมทางไปกับข้าหรือไม่"
เสี่ยวเหลียนตาโต
"เหตุใดจะไม่ร่วมทางเจ้าคะ มีรับสั่งย่อมต้องไปด้วยกันมิใช่หรือ"
"รังเกียจข้าปานนั้น ทั้งคงโดนเมียรักของเขาออดอ้อน ไม่มีทางร่วมทางกับข้าเป็นแน่ แต่ข้ายังไม่วางใจเจ้าไปสืบมาให้แน่ชัดตกลงเขาจะไปกับข้าหรือไม่"
"เจ้าค่ะ"
ด้านเฉียนมี่เป็นไปตามที่เมิ่งลี่เฟยคิดเอาไว้ เมื่อได้ยินว่าไทเฮาทรงมีรับสั่งให้เต๋ออ๋องเข้าเฝ้าพร้อมพระชายาเอก เฉียนมี่ก็ร้อนรนแล้ว
ด้วยเมิ่งลี่เฟยผู้นั้นงดงามล่มเมืองโดดเด่นจนข่มตัวนางให้อับแสง ถึงจะได้รับความโปรดปรานเพียงใด เฉียนมี่ก็อดหวาดระแวงไม่ได้
นางกลัวว่าหากคนสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิด สักวันท่านอ๋องจะมองเห็นความงามนั้น นางย่อมทนไม่ได้ที่บุรุษที่เป็นของนางเพียงผู้เดียวจะมีใจให้สตรีอีกคน
กว่าที่นางจะสร้างเรื่องเป็นสตรีอ่อนหวานมีเมตตาปรานีจนต้องตาเขาเช่นนี้ต้องพยายามมากเพียงใด
ตำแหน่งชายาเอกตั้งอยู่ตรงหน้า แต่กลับคว้ามาไม่ได้ทั้งหมดเพราะไทเฮาขัดขวาง
นางชิงชังไทเฮายิ่งนัก ยังแอบใช้มนต์ดำสาปแช่งให้ตายทุกวันกระทั่งไทเฮาล้มป่วยแต่ยังไม่ตาย ทว่าแผนยังไม่สำเร็จสตรีตายยากผู้นั้นกลับมอบตำแหน่งพระชายาเอกให้เมิ่งลี่เฟย
ความพยายามที่ผ่านมาพังลงในพริบตา
เฉียนมี่ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดคนพวกนั้น และไม่คิดปล่อยผู้ใดไป
เมื่อเต๋ออ๋องมาพบนางหลังจากทำงานโดยมิได้นอนมาทั้งคืน เฉียนมี่รีบปรนนิบัติล้างหน้าล้างตาให้เขา
มือเรียวบีบนวด ท่วงท่าอ่อนหวานยามนี้ท่านอ๋องต้องการพักเขาจึงขยับทั้งเอ่ยเบา ๆ
"ให้เปิ่นหวางพักสักครู่ ประเดี๋ยวต้องกลับไปทำงานต่อ พรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังไปพบเสด็จแม่"
เขาล้มตัวลงนอนบนตักของเฉียนมี่ มือของนางยังคลึงฝ่ามือนวดให้เขา ก่อนจะเอ่ยคล้ายเจียมตนทว่าเจือความน้อยเนื้อต่ำใจ
"พระชายาแต่งเข้าจวนมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ท่านอ๋องยังไม่เคยพานางเข้าวังถวายพระพร หม่อมฉันคิดว่าไทเฮาทรงอยากพบพระชายาจึงได้เรียกเข้าเฝ้า พระชายาช่างโชคดีกว่าหม่อมฉันที่แม้จะมีใจอยากปรนนิบัติไทเฮาเช่นสะใภ้ผู้หนึ่ง แต่หม่อมฉันกลับไร้วาสนายิ่งนัก"
กล่าวจบเฉียนมี่พลันทอดถอนใจ
เต๋อลู่หานจับน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจของพระชายารองได้อย่างชัดเจน เขาจับมือของนางแล้วจุมพิตกลางฝ่ามือ
"พระชายารองมีใจกตัญญู เสด็จแม่ย่อมรับรู้เจ้าอย่าได้น้อยใจไปเลย อย่างไรข้าก็สัญญาว่าจะมีเพียงเจ้าเป็นหนึ่งในใจเท่านั้น แต่งกับนางก็เพียงตามรับสั่งในจวนนี้ผู้เป็นใหญ่ย่อมคือเจ้า”
เฉียนมี่แสร้งเจียมตน
"ท่านอ๋องหม่อมฉันมิบังอาจ เพียงได้รับใช้ท่านอ๋องเช่นนี้ก็พอใจแล้วเพคะ อย่างไรหม่อมฉันก็เจียมตนฐานะแค่พระชายารองจะบังอาจได้อย่างไร พระชายาช่างน่าสงสาร ท่านอ๋องของหม่อมฉันก็ดีต่อนางเสียหน่อยจะได้หรือไม่เพคะ ถึงนางจะไม่รับน้ำใจหม่อมฉัน ส่งยาบำรุงชั้นดีไปให้ นางก็เททิ้ง ส่งเสื้อผ้าไปให้นางยังเผาทิ้ง ในใจหม่อมฉันก็ไม่โกรธเลยสักนิด กลับเข้าใจความลำบากของนางที่พระองค์มอบเรือนเล็กนั่นให้นางคงเจ็บแค้นใจอยู่ไม่น้อย”
เต๋ออ๋องมิเคยรู้เรื่องนี้ เขานึกถึงวันนั้นที่เมิ่งลี่เฟยเทอาหารที่พระชายารองลงมือทำต่อหน้าต่อตาเขา พลันมีโทสะลุกขึ้นทันใด
"เจ้าว่าอย่างไรนะ นางกล้าไม่รับน้ำใจแล้วยังทำเช่นนั้นหรือ บังอาจเกินไปแล้ว ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว อย่าได้เมตตาต่องูพิษจะถูกแว้งกัดเอาได้ เลิกหวังดีกับนางได้แล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำข้าเห็นกับตาว่าสิ่งที่ได้รับตอบแทนคือความเจ็บช้ำ มี่เอ๋อร์คนดีของข้าเจ้าเลิกห่วงใยผู้อื่นได้แล้ว เข้าใจหรือไม่"
ใบหน้าของเฉียนมี่อ่อนโยน ยามถูกเต๋ออ๋องตำหนิทั้งปลุกปลอบขวัญ กล่าวเสียงอ่อนหวาน
"เห็นพระชายาลำบากมี่เอ๋อร์ไม่สบายใจเพคะ ท่านอ๋องเองอย่าได้ถือสานางเลย รับปากหม่อมฉันนะเพคะว่าจะดีกับพระชายาให้มากกว่านี้"
เต๋อลู่หานลูบแผ่นหลังของชายาผู้บอบบางของตน ซาบซึ้งในน้ำใจของเฉียนมี่และรู้สึกมีโทสะกับสตรีผู้นิสัยเลวทรามผู้นั้น
เขาต้องสั่งสอนเมิ่งลี่เฟยให้หลาบจำสักครา ต่อไปจะได้ไม่กล้าล่วงเกินเฉียนมี่อีก
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น
ด้านเมิ่งลี่เฟย นางได้รับเสื้อผ้าและอาหารบำรุงจากพระชายารองจริง บ่าวผู้นำมามอบคือสตรีสูงวัยผู้คุมกฎที่เคยลงโทษเสี่ยวเหลียนนางนั้น
"ทูลพระชายาของสิ่งนี้คือ น้ำพระทัยพระชายารองที่มอบให้แก่พระองค์เพคะ"
กล่าวจบบ่าวไพร่ก็นำห่อผ้าที่พับเรียบร้อยและอาหารหลายอย่างมาวางในเรือน ท่ามกลางความงุนงงของเมิ่งลี่เฟยและเสี่ยวเหลียน
คนพวกนั้นออกไปแล้วเสี่ยวเหลียนจึงเปิดห่อผ้าดู พบว่าเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นของชนชั้นต่ำ เนื้อผ้าหยาบที่ปกติคนใช้แรงงานจะสวมใส่ ในขณะที่อาหารนั้นมองดูก็รู้ว่าเป็นของเหลือที่นำมารวม ๆ กันแล้วส่งมา
"คิดกวนโทสะข้าหรือ"
เมิ่งลี่เฟยกำหมัดแน่น หลังจากนั้นจึงให้เสี่ยวเหลียนนำของพวกนั้นทิ้งไปเสีย
ทั้งยังคิดว่าการที่เฉียนมี่ทำเช่นนี้คงคิดเปิดศึกกระมัง
ความจริงเมิ่งลี่เฟยไม่เคยคิดแย่งเต๋ออ๋องจากเฉียนมี่เลยแม้แต่น้อย บุรุษผู้นั้นมีค่าอันใดกัน นางเพียงแค่อยากอยู่สงบในส่วนของนาง แต่หากว่าเฉียนมี่ยังไม่เจียมตนอีกเมิ่งลี่เฟยก็ไม่คิดจะอยู่เฉยแล้ว
เสื้อผ้าที่ถูกนำมาทิ้งเฉียนมี่ให้คนรออยู่แล้ว บ่าวผู้หนึ่งรีบรุดนำเสื้อผ้าพวกนั้นไปเผาไม่ไกลจากเรือนของเมิ่งลี่เฟย หลังจากนั้นก็ปล่อยข่าวลือเรื่องพระชายาทำร้ายน้ำใจพระชายารองออกไป บ่าวในจวนแอบวิพากษ์วิจารณ์หนาหู สุดท้ายกระจายออกนอกจวน คนที่ร้ายกาจเช่นนั้นจะดำรงตำแหน่งพระชายาเอกได้อย่างไร
พระชายารองผู้น่าสงสารผู้นั้นท่านอ๋องควรดูแลให้ดีอย่าได้ปล่อยให้พระชายาเอกข่มเหงเอาได้อีก
ด้านเสี่ยวเหลียนเมื่อได้รับคำสั่งของคุณหนูจึงรีบเร่งไปสืบข่าว ต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปถามคนเตรียมรถม้าว่าท่านอ๋องจะเสด็จไปพร้อมกับคุณหนูหรือไม่
เมิ่งลี่เฟยอยู่ว่าง ๆ แล้ว นางจึงคิดสำรวจรอบเรือนอีกสักหน่อย ด้านหลังเรือนต้นไม้ขึ้นหนาตาล้วนเป็นต้นใหญ่ที่นางยังเดินไปไม่ถึง นางเคยได้ยินว่าจวนของเต๋ออ๋องด้านหลังมีลำธารเล็กไหลผ่านจึงคิดอยากไปดู
เดินไปได้สักครู่จู่ ๆ สิ่งหนึ่งพลันร่วงลงจากฟ้าตกอยู่ด้านหน้าของนาง เมิ่งลี่เฟยตกใจจนเผลอหวีดร้อง ทว่าเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ กลับพบเพียงรังนกรังหนึ่งที่ตกลงบนใบไม้หนา ในรังนกนั้นยังมีลูกนกอยู่สองตัวที่กำลังอ้าปากกว้างคล้ายรอให้แม่นกมาป้อนอาหาร
เมิ่งลี่เฟยมองอย่างเอ็นดูเอ่ยถามเจ้านกน้อยออกไป
"เจ้าทำข้าตกใจแล้ว แล้วพวกเจ้าตกลงมาได้อย่างไรดีที่ตกลงตรงนี้เลยปลอดภัย"
เมิ่งลี่เฟยนั่งยอง ๆ ประคองรังนกเอาไว้ในฝ่ามือก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนต้นไม้ นางเพ่งอยู่นานจึงเห็นเศษซากรังนกที่อยู่บนกิ่งหนึ่ง
"นั่นคือที่อยู่ของพวกเจ้าเหรอ"
นกน้อยอ้าปากไม่หยุด เมิ่งลี่เฟยคิดในใจถ้าแม่นกกลับมาไม่เจอลูกคงเสียใจแย่แล้ว นางมองไปที่ต้นไม้ต้นนั้นไม่สูงมากนัก ทว่าเมิ่งลี่เฟยก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสปีนต้นไม้สักเท่าใดจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
แต่นกพวกนี้ช่างน่าสงสาร เอาเถิดเช่นนั้นนางจะข่มความกลัวช่วยพวกมันสักหน เมิ่งลี่เฟยฉีกกระโปรงตนเองออกเป็นทางยาว ได้ผ้ามาผืนหนึ่งห่อนกน้อยเอาไว้ทั้งรังก่อนจะผูกปลายผ้าเอาไว้รอบคอตนเอง
นางเดินไปที่ต้นไม้และเริ่มปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก ใช้เวลานานพอสมควรใบหน้าถูกกิ่งไม้ข่วนจนเกิดรอยเหงื่อร้อนเริ่มผุดที่หน้าผากเป็นเม็ด
กระทั่งปีนขึ้นไปถึงกิ่งนั้น นางค่อย ๆ ดึงนกทั้งรังออกมาจากห่อผ้า แล้ววางเอาไว้ที่เดิมอย่างดี ยังหามุมไม่ให้มันหล่นลงไปได้ง่าย ๆ อีก
"รีบโตนะนกน้อย โตแล้วเจ้าจงโผบินไปให้สุดขอบฟ้า อย่าได้ถูกกักขังเช่นข้าเลย"
เมิ่งลี่เฟยล่ำลานกน้อยก่อนจะค่อย ๆ ปีนลงมาทว่าในขณะที่นางคว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งเพื่อพยุงตัวกิ่งไม้นั้นฉับพลันรับน้ำหนักไม่ได้หักลงมาทันใด
กรี๊ดดดดด...
เมิ่งลี่เฟยกรีดร้องคิดในใจว่าไม่ตายคงพิการแน่แล้ว ทว่าก่อนที่ตัวนางจะหล่นลงพื้นฉับพลันมีแขนคู่หนึ่งคว้าร่างนางเอาไว้แล้วดึงเข้าสู่อ้อมกอด
เมิ่งลี่เฟยหลับตาแน่นด้วยสัญชาตญาณนางยกแขนโอบรอบคอคนผู้นั้นซุกใบหน้าลงกับอกอุ่นด้วยความหวาดกลัว กระทั่งไม่รู้ว่าตนเองบัดนี้ได้อยู่บนพื้นดินอย่างปลอดภัยแล้ว
เสียงทุ้มคุ้นหูพลันดังขึ้น
"พระชายาปลอดภัยหรือไม่"
ช่างเป็นคำถามที่คุ้นเคยนัก หัวใจของเมิ่งลี่เฟยยังเต้นระรัวนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นสันกรามคมของบุรุษผู้หนึ่งกระทั่งสายตาเลื่อนไปตามใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนที่ออกมาจากภาพวาด
ดวงตาคมคู่นั้นคล้ายจะส่งประกายแห่งความอ่อนโยนห่วงใยออกมา ดวงตาดำตัดขาวชัดเจนชวนให้ใจสั่นไหว เมิ่งลี่เฟยจับจ้องใบหน้าเขา เป็นอีกคราที่นางไม่อาจละสายตาได้กระทั่งคนที่อุ้มนางอยู่ค่อย ๆ ปล่อยนางลงเหยียบพื้นดิน
เขาจับแขนนางอย่างสุภาพให้นางยืนอย่างมั่นคง ใบหน้าหล่อเหลาเผยความห่วงใยปรับเป็นราบเรียบอย่างรวดเร็ว ดวงตาอ่อนแสงที่มองนางเมื่อสักครู่บัดนี้คล้ายจะไม่มีความรู้สึกอันใดแม้แต่น้อย หากดูไปจะพบว่าดวงตาคู่นั้นช่างฉายแววเย็นชายิ่งนัก
เมิ่งลี่เฟยได้สติถอยหลังไปเล็กน้อย นางยังตกตะลึงว่าคนที่มาช่วยตนเองคือผู้ใด ที่แท้ก็คือ เยี่ยหัว องครักษ์ข้างกายเต๋ออ๋องผู้นั้น