‘แล้วนายล่ะเป็นใคร JOKER หรือเทเลทับบี้?’
คำถามของฉันกลายเป็นคำถามไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อคนตัวสูงในสภาพตัวตลกแสดงสีหน้าแปลกใจ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายปรบมือแปะๆ คล้ายกับชอบใจคำถาม
“Well Well~ ช่างเป็นคนสวยแสนตลก” คำชมกึ่งประชดประชันได้ได้ทำให้ฉันรู้สึกอยากหัวเราะอย่างที่เขาแสดงออกโดยเฉพาะคำถามกึ่งท้าทาย “อยากรู้ว่าคนสวยจะตลกได้ตลอดไหม?”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอกเพราะฉันไม่ใช่คนตลก”
คนฟังทำหน้าแปลกใจอีกครั้ง เขาจิ๊ปากเป็นทำนองพลางส่ายหน้า
“ผู้หญิงแปลก...” เขาพึมพำโดยยังคงความขบขันผ่านน้ำเสียง
รู้อะไรไหมตั้งแต่วินาทีแรกที่มีโอกาสได้เจอเขาตรงๆ ฉันยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย อยากพูดหรือแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปมากกว่านี้ แต่ครั้นจะทำ ฉันกลับรู้สึกอาย จำต้องแสดงนิสัยปกติที่มีของตัวเองออกไป
ไม่มีอารมณ์ขัน ไม่สะทกสะท้าน ไม่สนใจ ไม่กลัว และไม่แยแส...
“นี่คุณสุภาพสตรี...”
แค่เพียงเขาใช้ถ้อยคำอื่นเรียก ฉันก็รู้สึกเนื้อตัวเต้นจนแทบควบคุมไม่อยู่
“เธอควรจะกลัวฉันแล้วหนีไป...” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงขณะเดินเขย่งเท้า ปรายตามองสำรวจรอบตัวฉันเป็นวงกลม ก่อนยืนขาเดี่ยวเอนกายยื่นหน้ามาหาพร้อมพ่นประโยคคำถามสั้นๆ อย่างทะเล้น “...ไม่ใช่เร๊อะ?”
“ทำไมฉันต้องกลัวตัวตลกอย่างนายด้วย?” คนฟังขยับยิ้มพร้อมทั้งขยับกลับไปยืนในท่าปกติ เขายักไหล่แบบไม่ยินดียินร้ายคำตอบที่ได้รับ แล้วย้อนถาม
“ถ้าไม่กลัว...งั้นบอกสิ รู้สึกยังไงที่เราได้พบกัน?”
“ตลก” คำตอบสั้นๆ ทำคนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ฉันจึงแสร้งทำเป็นหัวเราะออกไปหวังแสดงความรู้สึกลึกๆ ให้เขาได้รับ ทว่า
ฟึ่บ!
“อ๊ะ!?” JOKER กลับพุ่งมือกระชากไหล่สองข้างฉันอย่างแรงพานให้เสียงหัวเราะจำต้องหยุดลง
เขาใช้สายตาที่อ่านค่าไม่ออกจ้องลึกผ่านนัยน์ตา แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร มันก็เป็น JOKER นั่นแหละ ที่โน้มหน้าเข้ามาหาและจุมพิตเบาๆข้างแก้มพร้อมทั้งกระซิบ
“เสียงหัวเราะเธอ...มันช่างไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย” ใจฉันเต้นโครมครามไม่หยุดเมื่ออีกฝ่ายฉวยโอกาสชิงความหอมหวานบนผิวแก้มไป แต่ก่อนได้เอ่ยวาจาโต้ตอบ ตอนนั้นเอง
“เธอ ระวัง!” เสียงตะโกนจากชายอีกคนก็ดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน แถมเสียงของเขายังเรียกความสนใจจากฉันและ JOKER ให้หันมองได้เป็นอย่างดี “ถอยออกมา! ไอ้เวรนั่นมันเป็นปีศาจ!”
เสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นในลำคอของผู้ถูกกล่าวหา เขาดูไม่รีบร้อนเลยทั้งที่มีชายอีกคนกำลังวิ่งตรงมาทางเราทั้งคู่ ไม่ได้หวาดเกรงว่าตนเองจะถูกจับได้ เพราะสิ่งที่เขาทำคือการโน้มกระซิบข้างหูฉันเป็นหนที่สองด้วยประโยคราวกับนัดหมาย
“ไว้ฉันจะสอนเธอหัวเราะ...ในคืนต่อไปก็แล้วกัน” JOKER ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนผละตัวออกไป
เขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนชูมืออีกข้างขึ้นเหนือหัว พานให้ชายอีกคนซึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางเราหยุดเท้าลง
บรึ้มมม!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อ JOKER วาดมือลงสู่พื้น บังเกิดเป็นควันสีขาวกระจายไปทั่วราวกับเล่นกล เวลาไม่ถึงนาที เมื่อหมอกควันสลายหายไป บริเวณนั้นกลับเหลือไว้เพียงแค่ไพ่ใบเล็ก ซึ่งหน้าไพ่ใบดังกล่าวปรากฏเป็นรูปของโจ๊กเกอร์หันข้างรูปบาโฟเมท[1]และดาวห้าแฉก
เหมือนสัญลักษณ์ของซาตานไม่มีผิด...
“ซาตาน...”
เสียงเข้มของใครอีกคนหันเหสายตาฉันให้เหลียวมองเจ้าของวลีสั้นๆ ด้วยความรู้สึกและความคิดที่ไม่ต่างกันนัก ก่อนพบว่าเขาไม่ใช่ใครแต่เป็นพี่ ‘ตี๋’ นักศึกษาปี 4 คณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน
พี่ตี๋ค่อนข้างเป็นที่รู้จักของคนในมหา’ลัย เนื่องด้วยหน้าตาที่หล่อ น่ารักจนเป็นที่นิยมของสาวๆ แต่ที่ฉันรู้จักเขานั้นไม่ใช่เพราะหน้าตาหรือชื่อเสียงแบบที่พวกผู้หญิงรู้กันหรอกนะ ที่รู้จักเพราะเขาเรียนคณะเดียวกัน จึงมีโอกาสได้เห็นหน้าที่ตึกคณะอยู่บ้าง
อีกอย่างเขาคือประธานชมรมเรื่องลี้ลับที่ฉันใช้เวลาตัดสินใจเกือบ เดือนว่าจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งดีหรือไม่
“มันได้ทำอะไรสวยหรือเปล่า?” และฉันเองก็ไม่แปลกใจหากพี่ตี๋เองจะรู้จักฉันซึ่งเป็นถึงดาวคณะเช่นกัน
“ไม่นี่คะ” ฉันส่ายหน้า
“แปลก...” เขาพึมพำ “แต่ก็ถือว่าดีแล้วที่มันไม่ได้ทำอะไรสวย”
“แล้วพี่ตี๋มาทำอะไรที่แถวนี้คะ?”
“พี่กำลังลงสถานที่จริงครับ” เขาอธิบาย “ช่วงนี้ข่าวของ JOKER เป็นที่พูดถึง แถมวันนี้ก็มีนักศึกษาหญิงลาออกเพราะเจอกับ JOKER ด้วย พี่ก็เลยแวะมาลงสถานที่จริงดู ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตัวมันเป็นๆ”
“พี่ตี๋คิดว่าโจ๊กเกอร์เป็นซาตานเหรอคะ?” ฉันถามแบบไม่ได้สนใจคำอธิบายของคนตัวสูงมากนัก พลางก้มเก็บไพ่ที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นราวกับว่าสิ่งที่ JOKER ทิ้งไว้คือเครื่องรางชั้นดีที่ควรค่าต่อการเก็บรักษา “ตอนที่พี่วิ่งเข้ามา หนูได้ยินพี่พูดว่าโจ๊กเกอร์คือปีศาจ…”
“สวยไม่คิดอย่างงั้นเหรอ...ดูพลังของมันสิ ถ้าไม่ใช่ปีศาจแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ?”
ฉันหัวเราะ เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายละล่ำละลักออกมาเช่นนั้น พร้อมทั้งช้อนตามองสีหน้าที่ดูแตกตื่นของเขาก่อนจะเอ่ยกลับไปสั้นๆ
“นักมายากลมั้งคะ...”
“สะ สวยพูดอะไรน่ะ...”
“พี่ตี๋ก็ดูสิคะ สิ่งที่โจ๊กเกอร์ทำมันก็แค่กลควันสำหรับใช้หายตัว ไหนจะไพ่ที่ถูกทิ้งไว้อีก ถ้าไม่เรียกว่านักมายากลแล้วจะเรียกว่าอะไร” ฉันยักไหล่ไขสือ แสร้งทำเป็นใสซื่อต่อคำอธิบายของตัวเอง โดยมองปฏิกิริยาตอบรับจากอีกฝ่ายซึ่งดูไม่ได้คิดเหมือนกันเลยสักนิด
“จะ จะอะไรก็เถอะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนที่ไม่ถูกโจ๊กเกอร์ทำร้าย”
“เพราะพี่ตี๋เข้ามาทันล่ะมั้งคะ โจ๊กเกอร์ก็เลยไม่มีโอกาส” ฉันแย้ง “อีกอย่างพี่ตี๋เองก็คงเป็นผู้ชายคนแรก ที่มีโอกาสได้เจอกับโจ๊กเกอร์ตัวเป็นๆ น่าดีใจออกนะคะ”
ฉันไม่ได้โกรธจนอยากยียวนเขาหรอกนะที่เข้ามาขัดจังหวะการพบกันครั้งแรกของฉันกับ JOKER แต่สิ่งที่พูดมันคือความจริง พี่ตี๋คือผู้ชายคนแรกนับตั้งแต่ฉันได้ฟังข่าวลือของ JOKER มา ว่าส่วนใหญ่คนที่ได้พบเขามักจะเป็นหญิงสาวไม่ใช่ชายหนุ่ม
“นั่นสิ อย่างน้อยพี่ก็พูดได้ว่าพี่ได้เจอกับมันมาแล้ว สวยเองก็เหมือนกัน...”
“...”
“ระวังตัวหน่อยก็ดี มันได้เจอสวยแล้วคราวหน้ามันต้องมาอีกแน่ๆ ถ้าตอนนั้นพี่ไม่เข้ามาเจอสวยอาจจะแย่เอาได้นะ”
“หนูจะระวังตัวค่ะ ขอบคุณนะคะที่พี่เข้ามาช่วย”
พี่ตี๋ยิ้มอย่างโล่งอกพลางหยิบนามบัตรใบเล็กจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ฉัน จากนั้นก็พูด
“ถ้าพรุ่งนี้สวยไม่มีธุระไร พี่อยากให้สวยมาที่ชมรมลี้ลับหน่อยได้หรือเปล่า” ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่รับนามบัตรมาไว้กับตัวตามมารยาท โดยปล่อยให้อีกฝ่ายพูดเอง “ผู้หญิงที่รอดจากเงื้อมมือของโจ๊กเกอร์ มันหายากนะ พี่อยากได้สวยเข้าชมรมไว้เป็นกรณีศึกษา เผื่อว่าบางที…”
“...”
“สวยอาจจะช่วยให้เรารู้จักตัวตนของมันมากขึ้น จนถึงขั้นจับตัวมันได้ก็ได้”
จับตัว JOKER ได้งั้นเหรอ?
“สวยไม่อยากรู้เหรอ ว่าตัวตนจริงๆของโจ๊กเกอร์เป็นใครหรือตัวอะไรกันแน่” ได้ฟังแค่นั้นฉันก็ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้ และคงมีคำตอบเดียวที่ใช้ตอบพี่ตี๋กลับไป
“พรุ่งนี้หนูจะแวะไปที่ชมรมพี่ค่ะ”
คืนนั้นฉันอยู่คุยกับพี่ตี๋เรื่อง JOKER และชมรมของเขาอยู่พักใหญ่ แลกเปลี่ยนเบอร์โทรของกันและกัน ก่อนกลับขึ้นห้องพักในเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน และพบว่ารูมเมทของฉันได้หลับล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
เกอร์มักจะนอนคลุมโปงปิดหน้าปิดตา ซึ่งเขามักนอนไวทุกครั้งที่ฉันลงไปซื้อของกลับขึ้นมา เกอร์ก็มักจะหลับล่วงหน้าก่อนแบบนี้เสมอ เพราะกฎระหว่างเราคือการไม่รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน เลยทำได้แค่มองเขาผ่านช่องวางระหว่างเราเท่านั้น
ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางความมืดภายในห้อง จ้องสู้ตากับฝ้าเพดานผ่านความมืดระดับเหมาะสมขณะมือหยิบไพ่ที่ JOKER ทิ้งไว้ขึ้นดู มันทำให้นึกถึงนัยน์ตาคู่นั้นที่ดูมีเสน่ห์และลึกลับกับใบหน้าสีชอล์คแสดงท่าทางอารมณ์ดีแบบตัวตลก ริมฝีปากแดงลากยาวถึงใบหู แล้วก็...
ความคิดฉันหยุดลงเมื่อบริเวณข้างแก้มร้อนขึ้นขณะภาพความคิดฉายภาพของตัวเองในยามที่ริมฝีปากเย็นจุมพิตลงข้างแก้มอย่างแผ่วเบา จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกร้อนจนต้องเลื่อนมือขึ้นแตะบริเวณที่ถูกสัมผัสเพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มมากขึ้น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงหลายคนถึงได้ยินยอมตกลงทำสัญญาจนเกิดเรื่องกับตัวเองแล้วต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะฉันเองก็อยากจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงกลุ่มนั้น ที่ต้องการเจอเขาอีกสักครั้งเหมือนกัน...
ช่วงบ่ายของวันต่อมา...
วันนี้ฉันออกจากคลาสทันทีที่เวลาการเรียนการสอนสิ้นสุดลง โดยเลี่ยงผ่านไปยังจุดที่สังคมสวมหน้ากากมักนั่งรวมตัวกันและตัดใจเดินลัดเลาะไปอีกทาง เพื่อไปยังชมรมที่เป็นจุดหมาย ทว่า
“สกปรก น่ารังเกียจ!”
ซ่า!
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าดันเป็นภาพของนักศึกษาชายี่ฉันรู้จักดี กำลังโดยนักศึกษาจากคณะเดียวกันรังแก เขาเอาแต่ยืนนิ่งปล่อยให้ตัวเองเปียกปอนเพราะน้ำจากถังที่ถูกสาด ท่ามกลางเสียงด่าทออย่างรังเกียจเคล้าเสียงขบขัน แม้ไม่เคยตื่นทันเห็นยามที่นักศึกษาชายคนนี้ออกจากห้องพัก แต่ฉันก็มั่นใจว่าเครื่องแต่งกายของเขามันน่าจะดูจะอาดเรียบร้อยกว่านี้
“โรคจิตอย่างแก ทำคณะเราสกปรกไปด้วยรู้หรือเปล่า!”
“แกระวังนะ มันอาจจะแอบถ่ายใต้กระโปรงแกอยู่ก็ได้”
“อี๋ ไอ้น่ารังเกียจ!”
ปึก!
เท้าสองข้างหยุดลงจังหวะเดียวกับที่ถูกนักศึกษาสาวบันดาลโทสะเขวี้ยงใส่เกอร์จนแว่นหนาที่เขาสวมประจำร่วงกระแทกพื้นพร้อมๆ กับถังน้ำ
สายตาตวัดมองหน้าหญิงสาวสองคนแบบนิ่งๆไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจให้เห็น ถึงกระนั้นเธอก็น่าจะรู้ตัวว่าฉันกำลังรู้สึกอะไร ฉันไม่ได้พูดอะไรแต่เลือกจะย่อตัวก้มเก็บแว่นของเกอร์ขึ้นมาไว้กับตัวและมองเธออีกครั้ง
“มองอะไรของเธอไม่ทราบ!”
“รู้อะไรไหม โทษทัณฑ์ของมนุษย์ที่จิตใจเต็มไปด้วยโมหะและความโอหังคืออะไร?” ฉันถามโดยไม่มองหน้าคนทั้งคู่ พลางส่งแว่นหนาคืนเจ้าของ และถอดเสื้อกันหนาวสีเลือดนกส่งให้ชายหนุ่มตัวเปียกปอนอีกครั้ง ขณะปากยังพูดในสิ่งที่อยากพูด “มนุษย์ที่หัวใจเต็มไปด้วยความโอหัง เมื่อตายไปร่างของมันจะถูกขึงติดตรึงอยู่กับวงล้อแห่งความตาย ร่างของมันจะถูกบดขยี้ลงกับพื้นจนกว่าจะขาดใจ”
“พูดบ้าอะไรของเธอไม่ทราบ!!?”
“แล้วรู้ไหมว่ามนุษย์ที่มีความโกรธเพราะโมหะ ตายไปจะเป็นยังไง?”
“...” ดูเหมือนว่าคู่กรณีจะเงียบไปเมื่อเจอคำถาม ซึ่งนั่นทำฉันกระตุกยิ้มได้ทันทีเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น
“ร่างของมันผู้นั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆอยู่ในนรก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว... ซ้ำเล่า... ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง!”
“กรี๊ดดด นังบ้า! พูดอะไรของเธอ เป็นโรคประสาทหรือไง!!”
ฉันไม่สนใจเสียงหวีดแหลมน่ารำคาญของผู้หญิงน่ารำคาญ แต่เลือกสะบัดหน้ามองชายหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้างุด ตัวเปียกปอน เกอร์ไม่ยอมใส่เสื้อกันหนาวที่ฉันส่งให้ เขาถือมันไว้ในมือ เขาเป็นแบบนี้ตลอดจริงๆ ให้ตายสิ...
“กลับเถอะ ตัวนายเปียก...” ฉันบอกก่อนถือวิสาสะคว้าชายเสื้อนักศึกษาเปียกชุ่มของเกอร์ให้เดินตามหลังออกจากสถานที่เกิดเหตุซึ่งตอนนี้มียัยบ้าหน้าตาดีคนหนึ่ง กำลังกรีดร้องโวยวายเหมือนคนคลุ้มคลั่งหลังจากหล่อนพ่นถ้อยคำด่าทอไม่เข้าหูและถูกเมิน
ตลอดทางจากตึกคณะนิเทศกลับไปยังหอพักอาถรรพ์ ฉันและเกอร์ตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่เห็นสภาพของเราทั้งคู่อย่างไม่ต้องสงสัย แน่ล่ะในเมื่อฉันมีสถานะเป็นถึงดาวประจำคณะวิชาจิตวิทยา ส่วนเกอร์เป็นไอ้คนน่ารังเกียจ เป็นโรคจิตชอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิง
ในสายตาพวกเขาอาจมองว่าเราทั้งคู่เป็นโฉมงามกับอสูร แต่สำหรับฉันเราทั้งคู่เหมือนเซอร์เบอรัส[2]กับเฮดีส[3]มากกว่า
แน่นอนว่าฉันคือเฮดีส ส่วนเขาคือเซอร์เบอรัส...
@หอพักอาถรรพ์
ห้องพักหมายเลข 407
เกือบ 15 นาทีมาแล้วที่ภายในห้องพักตกอยู่ในความเงียบนับตั้งแต่เราทั้งคู่มาถึง ฉันแยกกับเกอร์เดินมาฝั่งเตียงนอนของตัวเอง นั่งลงบนเตียง มองคนตัวสูงซึ่งยืนอยู่ทางฝั่งตัวเอง นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้อง
“คิดจะยืนแบบนั้นไปถึงเมื่อไหร่?” สุดท้ายความสิ้นสุดของฉันก็หมดลง เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมขยับตัวไปไหน
ถ้ามันคือสงครามประสาท บอกเลยว่าเขาชนะ...
“สะ สวยมองเรา...เราไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อ”
“นายอายว่างั้นเถอะ?”
คำตอบที่ได้มีแค่การพยักพเยิดหน้าของเขาเท่านั้น
“แค่เปลี่ยนเสื้อมันไม่น่าอายเท่าเรื่องที่นายทำใต้ผ้าห่มทุกคืนหรอกนะ อย่าประสาท”
“อายสิ...ก็อีกฝ่าย...ปะ เป็นสวยนี่” จะว่าไปเกอร์ก็ไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าฉันสักครั้งจริงๆนั่นแหละ อย่างที่บอก พอฉันตื่นเขาก็ออกจากห้องไปแล้ว มันมักเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
“ถ้ายังไม่หยุดเรื่องเยอะ ฉันจะข้ามฝั่งไปเปลี่ยนให้นายเดี๋ยวนี้แหละ” ว่าแล้วฉันก็แสร้งทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง แน่นอนว่าผู้ชายนิสัยขี้อายยิ่งกว่าอะไรดีอย่างเกอร์นั้นก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างควัน
“สะ สวยอย่า!” เขารีบทำปางห้ามญาติหยุดฉันที่ไม่ทันได้ลุกออกจากเตียงข้ามฝั่งไปหาจริงๆด้วยซ้ำ “เราเปลี่ยนก็ได้...”
ฉันหลุดหัวเราะให้กับความซื่อเสมอต้นเสมอปลายคนตัวสูงอย่างห้ามไม่ได้ เขาเป็นแบบนี้ตลอดกระงกกระเงิน ดูมึนๆ ไม่สู้คน บ่อยครั้งที่ฉันเห็นเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่าเป็นผู้กระทำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เขาถูกคนในคณะสาดน้ำใส่
จริงอยู่ที่เกอร์เป็นผู้ชายหมกมุ่นเรื่องใต้สะดือ ไม่ว่าจะแอบถ่ายใต้กระโปรงหรือแม้แต่แอบมองหน้าอกนักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัยอย่างไม่รู้สึกละอายใจ เขาเคยทำอย่างที่คนในมหาวิทยาลัยกล่าวหาจริงเรื่องนั้นฉันไม่เถียง แต่เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เขาไม่เคยทำนิสัยแย่ๆพรรค์นั้นหรือลุกล้ำข้ามฝั่งมาวุ่นวายกับของใช้ส่วนตัวเลยสักครั้ง
พูดง่ายๆ ก็คือเกือบ 3 ปีที่อยู่ร่วมห้องกันมาเราทั้งคู่ไม่เคยสัมผัสแตะเนื้อต้องตัวกันมาก่อนเลยสักครั้งต่อให้ใกล้กันแค่ไหน เกอร์ก็มักจะเว้นระยะห่างให้เกียรติฉันเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกรังเกียจเขาอย่างที่คนอื่นรู้สึก กลับกันฉันอยากช่วยเขาให้หลุดพ้นจากข้อครหาเหล่านั้นด้วยซ้ำ
เมื่อเกอร์ยอมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่โดยดี ฉันเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องมองเขาเช่นกัน เพราะไม่ได้ไปชมรมตามทีนัดกับพี่ตี๋เอาไว้ การนอนเอนกายและหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นอ่านเลยเป็นสิ่งที่ฉันเลือกทำ ถ้าให้เดินกลับมหาวิทยาลัยเพื่อพบหน้าผู้ชายสักคนแล้วคุยแลกเปลี่ยนเรื่องศาสตร์ลี้ลับเพียงแค่นั้นล่ะก็...
นอนตากแอร์อยู่ที่หออ่านหนังสือวิธีติดต่อกับซาตานแบบนี้ยังน่าพิสมัยเสียกว่า
ระหว่างนอนอ่านหนังสือปรัมปราเล่มหนาในมือ สายตาพลันเหลือบไปยังร่างสูงซึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างไม่ตั้งใจ ภาพที่เห็นคือร่างกำยำสมชายในสภาพเปลือยท่อนบน แม้ว่าจะเห็นแค่เพียงด้านหลัง แต่พูดได้เลยว่าเขาน่ะซ่อนรูปน่าดู
จังหวะเจ้าของเรือนร่างกำยำทำท่าจะหันกลับมา หนังสือเก่าคร่ำครึถูกยกขึ้นระดับสายตา ฉันรีบหลุบตากลับมายังหนังสือที่ถือไว้ ถึงอย่างงั้นลึกๆมันก็อดแอบมองเขาอีกครั้งไม่ได้
การตัดสินใจลอบมองเขาครั้งนี้เลยทำให้ฉันได้เห็นอะไรบางอย่างบริเวณสีข้างซึ่งดูขัดกับบุคลิกผู้เป็นเจ้าของอย่างสิ้นเชิง ถ้ามองไม่ผิดรู้สึกว่ามันคืออักษรโรมันตัว E กับ R ขนาดใหญ่ แม้จะเห็นภาพดังกล่าวเพียงครู่เดียว แต่ฉันมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่บนสีข้างเขาน่ะ
คือรอยสักอย่างแน่นอน...