หกปีต่อมา
ร่างกลมของเด็กหญิงวัยห้าขวบที่มือข้างหนึ่งถูกจับจูงด้วยหญิงสาวที่คงเป็นแม่กำลังเดินผ่านประตูของรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายเข้าไปยืนข้างเสาอยู่ในความสนใจของดร.บรรณวิชญ์ในทันทีที่หันไปเห็นเข้า
น่าจะเป็นเพราะความสดใสน่ารักน่าเอ็นดูของทั้งแม่และลูกสองคนนี้เป็นแน่ที่ทำให้ชายวัยหกสิบเจ็ดสนใจ
“นั่งไหมครับ” ชายมากวัยเอ่ยถาม มองสองคนแม่ลูกด้วยสายตาเป็นมิตร แล้วกดมือลงกับหัวของไม้เท้าดันตัวเตรียมจะยืนขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะคุณตา คุณตานั่งเลยค่ะ” เด็กหญิงตอบด้วยท่าทางมั่นใจ น้ำเสียงใสแจ๋วราวแก้วเนื้อดี ขณะพูด ตาก็มองยังไม้เท้าอย่างสนใจ ก่อนจะละจากมาเพื่อมองคุณตาที่เชิญชวนให้ตนนั่ง บอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย แม้เพิ่งพบเจอหน้ากันก็ตามที
“คุณตาเจ็บขาต้องนั่งค่ะ อย่ายืนเยอะนะคะ น้องยังเด็ก น้องยืนไหวค่ะ สบายมาก”
“โถ น่าเอ็นดูจังเลย”
คนที่อยู่ตรงนั้นเอ่ยชม ชายสูงวัยที่เด็กหญิงเรียกว่าคุณตายิ้มตาม แววตาที่ใช้มองก็เอ็นดูไม่ต่างกัน จนคนที่นั่งด้านข้างยอมสละเก้าอี้ เด็กหญิงจึงได้นั่งที่ข้างชายสูงวัยในที่สุด
ดร.บรรณวิชญ์มองสองแม่ลูกแล้วชวนคุยด้วยต่อ ผิดจากวิสัยของเขาไม่น้อย “อายุเท่าไรแล้วครับ”
เด็กหญิงอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนหันไปสบตากับเจ้าของมือที่ตนจับไว้แน่น ที่ดูท่าจะเป็นแม่ ก่อนหันมาตอบคำถามของชายวัยใกล้เคียงคุณตา “ปีนี้น้องห้าขวดแล้วค่ะ อยู่อนุบาลสองโรงเรียนอนุบาล…”
เจ้าตัวบอกอายุของตนไม่พอ ยังแจงต่ออีกว่าตนเรียนชั้นไหน โรงเรียนและห้องของคุณครูอะไร ยิ่งเรียกรอยยิ้มให้คนถามและคนที่นั่งฟังเงียบ ๆ ที่ใกล้ ๆ กันให้ยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก
“อยู่ไกลจังลูก แล้วมาทำอะไรที่นี่ครับ” ชายสูงวัยยังคงชวนสนทนาต่อ
“มาอดรมกับคุณแม่ค่ะ” เสียงตอบที่ยังไม่ชัดเจนนัก เรียกรอยยิ้มของผู้คนรอบ ๆ ได้อีกครั้ง ชายสูงวัยคุยด้วยตลอดเส้นทางจวบจนถึงสถานีจุดหมายก็ค่อยลุกขึ้นพร้อมบอกลา “ปู่ไปแล้วนะลูก”
“สวัสดีค่ะคุณตา ค่อย ๆ เดินนะคะคุณตา”
ชายสูงวัยที่พยายามแทนตัวเองว่า ‘ปู่’ ยื่นมือลูบศีรษะเบา ๆ แล้วอวยพรตามประสาก่อนจากลาด้วยการเดินออกจากประตูของรถไฟฟ้าไป มองไปรอบ ๆ ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เพราะงงว่าตนจะหาทางลงได้อย่างไร มีคนเข้ามาช่วยบอกว่าให้ลงลิฟต์จะสะดวกกว่า แกก็เดินตรงไปทางนั้น จนลงมาที่ด้านล่างของสถานีรถไฟฟ้าแล้วนั่นเอง ค่อยล้วงเอาโทรศัพท์มาต่อสายหาใครสักคน
ไม่นานรถยนต์นำเข้าคันใหญ่ก็เข้ามาจอดเทียบด้านข้าง ประตูถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมที่คนขับรถวิ่งลงมาประคองขึ้นนั่ง จนเห็นว่าเรียบร้อยค่อยพารถคลานออกจากบริเวณนั้นไป
“เป็นยังไงบ้างคะ บรรยากาศบนรถไฟฟ้า สนุกแบบที่คิดเอาไว้ไหม”
“ก็สนุกดีนะ รอบหน้าผมว่าจะลองไปอีก” แกล้งบอกเย้าแหย่ใส่คนถาม “เมื่อกี้ผมเจอเด็กบนรถไฟฟ้าด้วยนะ น่ารักเชียว”
“เด็กอะไรคะ” นวลน้อมเอ่ยถามเสียงหยอกเย้า สามีที่แต่งงานกันมาไม่เคยนอกลู่นอกทาง ไม่เคยทำตัวเหลวแหลกเหลวไหลให้ตนต้องอับอายเพื่อนฝูงญาติพี่น้องแม้แต่ครั้งเดียว
“เด็กผู้หญิงน่ะสิคุณ”
คำตอบสั้น ๆ ทำเอาคนเป็นภรรยาคอแข็งขึ้นมาทันที ดร.บรรณวิชญ์หัวเราะออกมาแล้วก็ค่อยบอกต่อจากนั้น ก่อนที่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากจะเข้าใจตนผิดไป “เพิ่งจะห้าขวด แต่ช่างพูดเชียวล่ะ พูดจาอะไรก็ดูน่ารักไปหมด เห็นแล้วก็ได้แต่เวทนาตัวเอง แก่จะเข้าโลงอยู่แล้วยังไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานสักที”
“ลูกเราก็เหลือเกินจริง ๆ แต่งงานกันมาป่านนี้ก็ยังไม่ติดลูกอีก” นวลน้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิบุตรชาย คนเป็นพ่อปรายตามองรู้ว่าภรรยาทำทีเป็นพูดตำหนิก่อนตน เพื่อไม่ให้ต้องมาติลูกชายมากไปกว่านี้
“น่าจะไปติดต่อหมอที่ทางบ้านหนูลูกพีชบอกเราไว้”
“ค่อยไปเถอะค่ะคุณ ตอนนี้ก็ให้เวลาลูกหน่อยเถอะ ตาเบญอยากพิสูจน์ตัวเองเลยเอาแต่ทำงานจนลืมผลิตลูกมั้งคะ”
คนเป็นพ่อได้ยินคำแก้ต่างอย่างนั้นก็เมินไปยังอีกทาง แล้วทั้งคู่ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยไปยังเรื่องอื่น ทุกครั้งที่พูดเรื่องบุตรชายทีไร คนเป็นพ่อก็จะมึนตึงอย่างนี้ทุกที