สำนักศึกษาฮุ่ยอิง (ผู้มีความสามารถอันปราดเปรื่อง)
ในเมืองหลวงมีสำนักศึกษาเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการพระราชทานนามจากองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นขุนนางส่วนมากจึงพยายามส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนที่นี่มากกว่าจ้างเหล่าเซียนเซิงไปสอนที่จวน เพราะสุดท้ายแล้วนอกจากความรู้ที่ได้รับการสร้างเส้นสายก็สำคัญมากเช่นกัน
“เจ้ามาเรียนได้แล้วหรอ ถิงเอ๋อร์” คำทักทายแรกมาจากสหายเพียงคนเดียวที่โจวถิงถิงมี ครั้นพอเห็นหน้าก็ทำให้นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เพื่อนของนางคนนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘นางร้าย’ ในหนังสือเล่มนั้น
“อืม ขอบใจเจ้ามากที่ส่งจดหมายไปถามไถ่อยู่เสมอ” เพราะฐานะทางสังคมของเด็กสาวเป็นเพียงบุตรนอกสมรสจากตระกูลขุนนางที่ตกต่ำ มีเพียงฟ่านซุนลี่ผู้มีฐานะเป็นถึงบุตรีเจ้ากรมยุติธรรมเท่านั้นที่นางสนิทสนมด้วย เนื่องจากยามเข้าเรียนชั้นปีแรกถิงถิงได้มีโอกาสให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายเอาไว้หลายครั้ง สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงคบหาเป็นสหายกันมาหลายปี
น่าเสียดาย…ในเนื้อหาที่ได้อ่านมาเรื่องราววุ่นวายจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปีสุดท้ายที่ทุกคนกำลังจะเรียนจบซึ่งก็คือปีนี้ และสาวน้อยตรงหน้าก็ดันเผลอไปตกหลุมรักคู่หมั้นชั่วคราวของนางเข้าจนสุดท้ายต้องผิดใจกัน แม้จะไม่ได้ลงมือกับนางแต่ก็หันไปรังควานคุณหนูเหรินผู้นั้นจนต้องตกระกำลำบาก
‘ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเจอเรื่องแบบนั้น เอาเป็นว่าไหนๆ ข้าก็จะเป็นแม่สื่อช่วยเหลือคุณชายเฉินให้ได้ครองคู่กับคู่แห่งโชคชะตาแล้ว ข้าจะหาบุรุษคนใหม่มาให้เจ้าเอง!’
“เจ้ายิ้มอะไรเนี่ย ดีใจขนาดนั้นเลยหรือ” คุณหนูฟ่านขบขันกับท่าทางแปลกๆ ของสหาย แม้ฐานะจะแตกต่างกันแต่นางกลับสบายใจที่จะคบหาสตรีผู้นี้มากกว่าไปนั่งปั้นหน้าจอมปลอมในวงสนทนาของบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่
“ดีใจสิ” จะให้เสียสหายเพียงคนเดียวไปเพราะบุรุษได้ยังไงกัน
“แปลกคนจริงเชียว ข้าก็ส่งจดหมายไปให้ตลอดอยู่แล้วแท้ๆ” ดวงหน้าพริ้มเพราแดงเล็กน้อยไม่คิดว่าจะได้รับความสำคัญมากขนาดนั้น
“เพราะข้ารักเจ้ามากอย่างไรล่ะ” ตั้งแต่เกิดถิงถิงถูกตราหน้าด้วยคำว่าบุตรนอกสมรส ไม่ว่าคนในจวนหรือนอกจวนก็ไม่ต้องการเสวนาทำราวกับว่าเป็นโรคร้ายน่าขยะแขยง จนเติบใหญ่ได้มีโอกาสพบพานเพื่อนคนแรกจะไม่ให้รักและผูกพันได้อย่างไร ต่อให้อาจมีเรื่องผิดใจกันแต่นางก็อยากรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้ได้
“จะ เจ้าพูดอะไรออกมา!” ริ้วแดงพาดผ่านตั้งแต่โหนกแก้มไปจนถึงใบหู คุณหนูฟ่านรู้สึกเขินอายกับคำพูดนั้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ รู้จักกันมาเกือบ 5 ปี ไฉนเลยวันนี้บางสิ่งบางอย่างในตัวของสหายดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้าแค่อยากพูดในสิ่งที่คิด ใครจะรู้เล่าว่าในอนาคตจะได้มีโอกาสพูดอีกรึไม่” ดรุณีน้อยหัวเราะอย่างพอใจ การอ่านหนังสือเล่มนั้นนอกจากทำให้นางรู้ว่าคุณชายตระกูลเฉินได้คู่กับสตรีใดแล้ว ยังมีข้อคิดซึ่งทำให้อยากเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ทำตัวเก็บกดเงียบเชียบเช่นที่ผ่านมา เมื่อก่อนไม่กล้าสู้หน้าใครเพราะมองว่าฐานะไม่คู่ควร แต่ยามนี้นางเมินเฉยทุกคำครหา ต่อให้ต่ำต้อยแล้วอย่างไร ‘ใครจะกดให้เราต่ำขอเพียงเราไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมตนก็พอ’
“อย่ากล่าววาจาน่ากลัวเยี่ยงนั้นสิ” คำว่าอนาคตไม่มีโอกาสพูดมันคล้ายกับจะบอกว่าอีกฝ่ายอาจจากลาไกล
“ก็ได้ๆ อย่าทำหน้าเศร้าเช่นนั้น” เด็กสาวยิ้มพลางเดินตรงไปยังหอพัก สำนักศึกษาฮุ่ยอิงแบ่งที่พักเป็นสองฝั่งแยกชายหญิง มีการเฝ้ายามแน่นหนาเพื่อป้องกันการลักลอบทำเรื่องเสื่อมเสีย แม้บางครั้งจะมีพลาดไปบ้างแต่ก็ถือว่าเข้มงวดมากอยู่ดี
“จะว่าไป คะแนนสอบครั้งก่อนจะถูกประกาศในวันนี้นะ” ฟ่านซุนลี่เปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ
ร่างบอบบางของคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวหยุดชะงัก ในหัวมีเนื้อหาหน้าแรกของหนังสือแล่นเข้ามา จุดเริ่มต้นความรักของคนทั้งสองที่นางต้องเอาใจช่วยเกิดจากอุบัติเหตุตรงหน้าตึกเรียน ไม่รู้ว่าแท้จริงต้นตอมาจากไหนแต่ร่างของคุณหนูเหรินจะร่วงจากชั้นสองลงมาและคุณชายเฉินจะรับเอาไว้ได้ทันท่วงที จึงทำให้ทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน
“เรารีบเก็บของแล้วไปกันเถอะ!” ถิงถิงรีบคว้ามือเล็กของสหายแล้วก้าวเท้าเข้าไปเก็บของโดยเร็ว จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่อันคาดเดาว่าจะเป็นจุดเกิดเหตุ
หอนอนและตึกเรียนอยู่ไม่ไกลกันมากเดินเพียงเค่อ (15 นาที) ก็ถึง ตรงหน้ามีคนอยู่จำนวนมากเพราะบนกระดานแปะรายชื่อลำดับคะแนนของผลสอบเอาไว้ โจวถิงถิงและฟ่านซุนลี่ไม่ได้เบียดตัวเข้าไปในฝูงชนแต่เลือกจะยืนอยู่รอบนอกแทน ดวงตาหงส์สอดส่ายสายตามองขึ้นไปข้างบน พยายามเก็บสีหน้ากังวลเอาไว้จนมิด ต่อให้รู้ว่าคนที่ตกลงมาจะปลอดภัยแค่บาดเจ็บเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่สามารถสลัดความกังวลออกไปจนหมดได้
“เอ่อ ลี่เอ๋อร์…เจ้าเห็นคุณชายเฉินบ้างรึไม่” เงาร่างบางอย่างบนชั้นสองทำให้เด็กสาวใจคอไม่ดีเท่าไหร่นัก
“คุณชายเฉินมาสอบถามอาการของเจ้าแต่ข้าตอบไปว่าไม่รู้เพราะเจ้าไม่ตอบจดหมายกลับมา เห็นว่าเขาจะไปเยี่ยมเจ้าด้วยตนเอง ไม่ได้พบกันหรอกหรือ” คิ้วได้รูปผูกเป็นปมเมื่อปกติไม่เห็นอีกฝ่ายเคยถามหาคู่หมั้นสักครั้ง
“ข้าหมายถึงเจ้าเห็นเขากลับมาสำนักศึกษาหรือยัง” ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำยิ่งกว่ากลองศึกในสนามรบ หนังสือไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่นางตกบันได ไม่มีแม้แต่การไปเยี่ยมเยือนยังตระกูลโจว หน้าแรกเพียงพูดถึงโจวถิงถิงไม่กี่คำเท่านั้น
“ยังเลย ดูเหมือนว่าวันนี้คุณชายเฉินแจ้งหัวเซียนเซิง (อาจารย์แซ่หัว) ว่าจะเข้าเรียนครึ่งวันบ่ายนะ”
ราวกับมีเสียงฟ้าผ่าลงกลางศีรษะของดรุณีน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น คนที่ควรช่วยชีวิตคุณหนูเหรินเอาไว้กลับไม่อยู่ตรงนี้ หรือเพราะเขาไปเยี่ยมนางที่จวนทำให้กลับมาช้า ปกติชายหนุ่มไม่ค่อยกลับบ้านเนื่องจากชอบอ่านหนังสือในหอตำราของสำนักศึกษามากกว่า แล้วแบบนี้จะทำยังไงดี!
ในหัวที่กำลังครุ่นคิดวุ่นวายไปมาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้องซึ่งดังอยู่ริมระเบียงชั้น 2 ของตึกเรียน ชั่วขณะหนึ่งเหมือนภาพทุกอย่างผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยตวัดมองด้านบนเห็นร่างเล็กของเป้าหมายหงายหลังหล่นลงมาท่ามกลางความตกใจของคนทั่วบริเวณ ไวเท่าความคิดกายบางของถิงถิงถลาเข้าไปยังจุดที่คาดว่าอีกฝ่ายจะร่วงหล่นลงมา สองแขนผอมแห้งอ้าออกคาดหวังว่าตนจะสามารถแบกรับสตรีนางนั้นเอาไว้ได้
พลั่ก!
กรี๊ดดด!
แรงกระแทกทำให้ร่างของคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวได้รับบาดเจ็บหนักกว่าคนที่ตกลงมาเสียอีก เพราะลืมไปว่าขนาดของทั้งสองห่างไกลกันอยู่บ้าง บุตรนอกสมรสจะได้รับการเลี้ยงดูที่ดีได้เช่นไร เรือนกายของนางผอมบางเนื่องจากได้กินเพียงพออยู่ท้อง ต่างจากร่างสมส่วนอวบอิ่มของคุณหนูเหรินที่เต็มไม้เต็มมือไปทุกส่วน
“คุณหนูโจว!” แม้จะจุกจากการปะทะที่ไม่คาดคิดแต่สาวน้อยจากตระกูลเหรินกลับตกใจมากกว่าที่มีคนมารอรับตนเอาไว้
“ถิงเอ๋อร์!” ฟ่านซุนลี่แหวกผู้คนรีบรุดเข้ามาดูอาการของสหายด้วยความเป็นห่วง
“อึ่ก…โชคดี….ที่เจ้าไม่เป็นอะไร” อาการบาดเจ็บภายในที่แต่เดิมยังไม่หายก็ทรุดหนักจนกระอักเลือดคำโตออกมา เสียงคนโดยรอบอื้ออึงจนทำเอานางมึนงงไปหมด สติอันน้อยนิดวนเวียนอยู่กับว่าคนที่ตนช่วยไว้ปลอดภัยดีรึไม่ ก่อนจะหลับตาลงริมฝีปากอิ่มพึมพำบางอย่างแล้วยกมือบางลูบแก้มสตรีสูงศักดิ์อย่างลืมตัว
“คุณหนูโจว!” หยาดน้ำใสหยดลงบนหลังมือขาวที่เอื้อมมาหา ประโยคห่วงใยนั้นแม้บางเบาแต่ดังก้องชัดเจนในความรู้สึกของเหรินหยางอิ่ง เด็กสาวผู้กุมอำนาจของจวนเจ้ากรมโยธาไว้ในมือจากความฉลาดอันเลิศล้ำ ทั้งยังได้รับความรักจากบิดามารดาอย่างพร้อมสรรพช่างแตกต่างกับคนที่มาช่วยตนเอาไว้เหลือเกิน
“ไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่มีใครเคยพบเห็นทำให้ทุกคนรีบถอยห่าง ท่ามกลางความตกใจร่างสูงสมส่วนของหนึ่งบุรุษได้ก้าวเข้ามาอุ้มร่างบอบบางไปรักษาในโรงหมอของสำนักศึกษาอย่างเร่งด่วน ตั้งแต่ต้นจนจบเหรินหยางอิ่งและฟ่านซุนลี่คอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แม้ตัวคุณหนูเหรินจะต้องรับการรักษาด้วยก็ตามแต่น่าแปลกใจที่เจ้าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่นัก นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าหาจนไม่ยอมออกห่างคนเจ็บแม้แต่ก้าวเดียว