วันเวลาล่วงเลยมาอีกสามวัน หว่านซูฉีก็ยังไม่มีความคืบหน้าของสองแม่ลูกอย่างปี้เจียวและหมี่ลี่ จื่อหานบอกเพียงว่าปี้เจียวส่งจดหมายถึงใครบางคนเท่านั้น ส่วนหว่านหมี่ลี่ใช้ชีวิตปกติ และเธอไม่ได้พบคนแปลกหน้าที่ไหน
จื่อหานยังบอกอีกว่า วันสองวันนี้เขามักจะเห็นคนแปลกหน้าคอยแอบดูหว่านซูฉีอยู่เสมอ แต่กลับมีคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นอยู่กับผู้พันหยาง ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่านั่นคือคนของหยางซีห่าว
“ท่านผู้พันน่าจะส่งคนมาดูแลความปลอดภัยให้นายหญิง หากเป็นเช่นนั้นจริง ผมคิดว่าท่านผู้พันคงไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องของงานแต่งงาน ไม่แน่ท่านอาจจะทราบแล้วว่าบ้านหว่านต้องการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว” จื่อหานคาดคะเนถึงสาเหตุที่ผู้พันหยางส่งคนมาคอยดูนายหญิงของตน
“หากคนพวกนั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราก็ปล่อยไปเถอะ ส่วนเรื่องของหมี่ลี่ สามวันที่ผ่านมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ฉันว่ามันแปลกเกินไป และวันงานใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างสองแม่ลูกจะถอดใจ”
“หรือว่าพวกนั้นติดต่อกันทางจดหมายครับนายหญิง” จื่อหานเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ หากเป็นเช่นนั้นเท่ากับเขาชะล่าใจเกินไป เลยมองข้ามจุดนี้
หว่านซูฉีครุ่นคิดกับการกระทำที่ผ่านมาในสามวันนี้ของสองแม่ลูก เนื่องจากเธอไม่เห็นทั้งสองคนออกจากบ้าน หรือลางานไปไหนเลย
“ใช่แล้ว ! เมื่อวานเหมือนกับว่าน้องชายของปี้เจียวเดินทางมาหาแล้วพูดอะไรด้วยบางอย่างไม่นานก็กลับไป นายหญิงคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่ครับ” จื่อหานเหมือนนึกอะไรได้เลยพูดออกมาด้วยความตกใจ
“มีความเป็นไปได้มากเลยละ แต่ด้วยนิสัยของน้องชายปี้เจียว ชายผู้นั้นค่อนข้างขี้ขลาด และไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงให้ตนเองเดือดร้อน นอกเสียจากว่าผลตอบแทนและเงินค่าจ้างที่ปี้เจียวเสนอให้มันมากพอ ที่ทำให้น้องชายละทิ้งความหวาดกลัว”
หว่านซูฉีคาดเดาถึงการมาเยือนของฟานเต๋อ น้องชายปี้เจียว และคงมีทางเดียวคือ ปี้เจียวให้ฟานเต๋อออกหน้าให้ ซึ่งทางนี้มีความเป็นไปได้ที่สุดแล้ว
“ผมจะส่งคนตามประกบชายคนนั้นเองครับ” จื่อหานรู้สึกผิดไม่น้อยที่เขามองข้ามจุดเล็ก ๆ ไป
“เอาตามนี้ก็แล้วกัน แต่ต้องระวังหน่อย ในเมื่อคนของผู้พันหยางยังป้วนเปี้ยนอยู่ในหมู่บ้านนี้ ถ้าคนพวกนั้นคิดร้ายและวางแผนจะกำจัดฉันจริง ๆ หากไม่เข้าตาจนและฉันไม่ส่งสัญญาณออกมา พี่และคนของพี่อย่าเพิ่งเข้ามาช่วย คอยดูห่าง ๆ ก็พอ ในเมื่อผู้พันหยางเป็นคนฉลาด ลูกน้องของเขาย่อมต้องไม่ต่างกัน"
“แล้วนายหญิงจะไหวหรือครับ”
“ให้เขาเห็นว่าฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดและอ่อนแอ ยังดีกว่าเปิดเผยว่าฉันคือนายหญิงซูนะพี่จื่อหาน”
หว่านซูฉีกล่าวออกมาอย่างมีเหตุผล หากเข้าตาจนแล้วเธอเลือกที่จะให้คนของผู้พันหยางเห็นว่าเธอไม่ใช่คนอ่อนแอ ดีกว่าให้เขารู้ว่าเธอคือนายหญิงซูที่มีลูกน้องคอยคุ้มครองมากมาย
“ครับนายหญิง” ต่อให้ไม่เห็นด้วยแค่ไหน แต่ทว่าจื่อหานเลือกที่จะตอบรับในสิ่งที่เจ้านายสั่ง
เมื่อไม่มีอะไรแล้ว หว่านซูฉีจึงเดินออกมาจากบ้านของจื่อหาน และขึ้นเขาเพื่อไปเก็บผักอย่างเช่นทุกวัน
ในขณะที่กำลังเก็บผักป่าอยู่นั้น หว่านหมี่ลี่ก็เดินเข้ามาคุยด้วย
“ซูฉี…อีกหน่อยเธอก็จะแต่งงานแล้ว เรามาพูดดี ๆ กันบ้างเถอะ” หว่านหมี่ลี่เอ่ยขึ้น พร้อมกับปั้นหน้ายิ้มแย้มส่งให้ หว่านซูฉีคิดว่าต่อให้มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าปลอม
“พะ…พี่หมี่ลี่มีอะไรหรือคะ” แต่ทว่าหว่านซูฉียังคงทำทีท่าหวาดกลัวเหมือนเดิม นี่จึงทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าพอใจ
“เธอจะกลัวฉันทำไม เราสองคนเป็นพี่น้องกัน วันนี้ฉันตั้งใจจะชวนเธอไปเลือกซื้อชุด น้องสาวจากบ้านรองแต่งงานทั้งที ฉันยังไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่เลย แล้วนี่พบเจอกับว่าที่เจ้าบ่าวหรือยัง”
‘ในที่สุดเธอก็จะล่อให้ฉันออกจากบ้านสินะ หมี่ลี่’
หว่านซูฉีคิดในใจ แต่ยังคงทำทีท่าหวาดกลัวและตอบด้วยเสียงที่ตะกุกตะกักเหมือนเดิม
“ฉะ…ฉันยังไม่เคยเจอหน้าผู้ชายคนนั้นเลย ตะ…แต่พี่จะไปซื้อของพี่ก็ไปเถอะ ฉันไปไม่ได้ ย่าให้เก็บผัก เดี๋ยวโดนตีอีก”
“ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ ฉันขออนุญาตย่ากับแม่แล้ว เรารีบไปกันดีกว่า จะได้รีบกลับ” หว่านหมี่ลี่บอก ก่อนจะฉุดดึงให้หว่านซูฉียืนขึ้นและทิ้งตะกร้าไว้ตรงนี้ก่อน
เมื่อถูกฉุดกระชาก หว่านซูฉีจึงทำทีเป็นเซถลาและขัดขืนเล็กน้อย
“จะเดินไปดี ๆ หรือไม่” หว่านหมี่ลี่เริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีขัดขืน จนพูดเสียงแทบจะตะคอกแล้ว พร้อมกับง้างมือขึ้นจะตี
จนหว่านซูฉีต้องพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว “ปะ…ไปแล้วค่ะ ซูฉีไปแล้ว”
หว่านหมี่ลี่ยิ้มด้วยความพอใจเมื่อแผนการที่วางไว้เริ่มเห็นผล
ในระหว่างที่ทั้งสองเดินออกจากหมู่บ้าน คนของผู้พันหยางเห็นเข้าจึงรีบให้สหายไปแจ้งเจ้านาย ส่วนตนเองนั้นเดินตามโดยทิ้งระยะห่างไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
ทางจื่อหานก็เช่นกัน เขามองดูการกระทำของหว่านหลี่หมี่อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งบังคับและขู่เข็ญเจ้านายเขาให้ไปด้วย จึงรีบสะกดรอยตามเช่นกัน
“ระ…เราไม่ขึ้นเกวียนไปหรือคะพี่หมี่ลี่” หว่านซูฉีทำทีเหนื่อยเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
“จะขึ้นให้เสียเงินทำไม อีกนิดหนึ่งก็ถึงแล้ว”
‘นิดหนึ่งตรงไหน ต้องเดินเท้าเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงในเมือง’ หว่านซูฉีกลอกตาเล็กน้อยพร้อมกับบ่นในใจ เรื่องเดินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ เพียงแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นงานเธอด้วยวิธีไหนมากกว่า
ทั้งสองเร่งความเร็วในการเดินเล็กน้อย เพียงสี่สิบห้านาทีก็เข้าเมืองแล้ว
หว่านหมี่ลี่ไม่ได้พาหว่านซูฉีไปไหน เธอพาเดินลัดเลาะเข้าซอยแห่งหนึ่ง ซึ่งในซอยนี้เปลี่ยวพอสมควร
แม้จะมีทีท่าหวาดกลัว แต่สายตาของหว่านซูฉีกลับเด็ดเดี่ยวและเย็นชา หากใครได้สบตาหญิงสาวเวลานี้ คงเย็นไปถึงขั้วหัวใจ และคงรู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“ว้าย ! นี่พวกแกเป็นใครกัน” ในขณะที่ทั้งสองเดินมาเกือบถึงท้ายซอย ก็พบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณหกคนมาล้อมทั้งสองคนไว้
ซึ่งหว่านหมี่ลี่ทำทีคล้ายกับตกใจและหวาดกลัวมาก จึงได้วิ่งหนีออกมาแล้วแกล้งลืมหว่านซูฉีไว้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนีไปแล้ว หว่านซูฉีจึงกระตุกยิ้มเล็กน้อยและมองไปทางที่ญาติผู้พี่วิ่งหนีไป
“พี่ชาย แค่ล้อมจับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว ถึงขนาดต้องพาคนมามากขนาดนี้เลยหรือ ว่าแต่คำสั่งที่ได้รับมาคืออะไร ช่วยบอกให้ฉันรู้ก่อนตายได้หรือไม่”
หว่านซูฉีเอ่ยถาม พร้อมกับยืดหลังตรงและเงยหน้าสบตากับกลุ่มชายฉกรรจ์ โดยไม่มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่กลุ่มคนร้ายเท่านั้นที่แปลกใจ แม้แต่คนของผู้พันหยางก็ยังแปลกใจกับท่าทีที่แปลกไปของว่าที่คุณนาย
อีกทั้งเวลานี้เมื่อเห็นอันตรายตรงหน้าหว่านซูฉีว่าที่คุณนายท่านผู้พัน จึงเตรียมจะพุ่งเข้าไปช่วย หากเกิดอะไรขึ้นกับว่าที่คุณนายขึ้นมา เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวและไม่กล้าสู้หน้าท่านผู้พันอีกแน่นอน
ในขณะที่กำลังจะเข้าไปช่วย กลับมีมือของใครบางคนรั้งไว้ พอหันมาเห็นว่าเป็นใครเขาเลยยิ้มออกมาอย่างดีใจเอ่ยเรียกทันที “ท่านผู้พัน !!”
“ยังไม่ต้องไป รอดูสถานการณ์ก่อน ฉันอยากรู้เจ้าสาวของฉันจะเป็นกระต่ายขี้กลัวหรือกระต่ายป่ากันแน่”
หยางซีห่าวเอ่ยพร้อมกับมีรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยความสามารถของเขา ชายทั้งห้าคนไม่เกินกำลังที่เขาจะจัดการได้ แต่ท่าทางที่แปลกไปของหว่านซูฉี กลับทำให้ชายหนุ่มอยากรู้ว่าหญิงสาวที่มักแสดงความอ่อนแอและหวาดกลัวให้ทุกคนเห็นนั้น แท้จริงตัวตนนั้นจะเป็นอย่างไร ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้วสินะ
ด้านของซูฉีกับกลุ่มชายฉกรรจ์ ชายกักขฬะกลุ่มนี้ เมื่อเห็นใบหน้าสวยหวานของเธอก็เกิดความเสียดายขึ้นมา “พี่ ก่อนจะส่งขายทำไมพวกเราไม่ลิ้มลองรสชาติสินค้ากันก่อนเล่า อย่างไรเสียราคาคงไม่ตกมาก ฮ่า ๆๆ”
“ไม่ได้ สินค้าชิ้นนี้ยังบริสุทธิ์ ราคาที่ได้ย่อมสูงแน่นอน หากพวกแกต้องการค่อยไปหาซื้อเอา อย่าทำให้สินค้าชิ้นนี้มีตำหนิ”
เขาตกลงซื้อขายกับลูกค้าในราคาหนึ่งพันหยวน แต่เขาซื้อเธอมาเพียงสามร้อยหยวนเท่านั้น กำไรส่วนต่างทำให้เขาและลูกน้องใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานได้อีกหลายเดือน
ดังนั้นสินค้าชิ้นนี้ต้องไม่มีตำหนิ !!
“ที่แท้พวกพี่ชายต้องการจับฉันไปขายสินะ” หว่านซูฉีเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้หันกลับมาสนใจเธออีกครั้ง
ท่าทางที่เย็นชาและรังสีความกดดันที่แผ่ออกมาจากหว่านซูฉี ทำให้ชายกลุ่มนี้รู้สึกเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง ไม่คิดว่าหญิงสาวหน้าตาสวยหวานจะทำให้พวกเขารู้สึกกลัวขนาดนี้