ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน บริเวณนี้มีบ้านไม่กี่หลังเท่านั้น และเพราะมีความเกี่ยวพันในฐานะเครือญาติ การที่หว่านซูฉีจะมาที่นี่และต่อให้ใครพบเห็นเข้าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ชายรูปร่างกำยำเดินออกมาเปิด เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงทำความเคารพเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูให้เข้ามาด้านใน
“ครับนายหญิง” ท่าทางของชายหนุ่มคนนี้นอบน้อมไม่น้อยเนื่องจากรู้ตัวตนของหญิงสาวตรงหน้านี้ดี และเขาคือคนสนิทอีกคนที่แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านโดยปลอมตัวเป็นพรานป่า
“จับตาดูปี้เจียวและหมี่ลี่ไว้ด้วยนะพี่จื่อหาน”
“ครับนายหญิง”
จื่อหานตอบรับ การที่นายหญิงสั่งให้จับตาป้าสะใภ้และลูกพี่ลูกน้องนั่นหมายความว่าสองคนนี้ย่อมมีแผนการร้าย เนื่องจากที่ผ่านมาเขาแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านมาสี่ห้าปี ไม่มีสักครั้งที่นายหญิงจะให้จับตามองคนบ้านหว่าน
“อีกไม่นานพี่จื่อหานไม่ต้องอยู่ในหมู่บ้านนี้แล้วนะ พี่ช่วยคุยกับพี่ใหญ่หน่อยสิว่าให้ไปสมัครงานที่สำนักงานนายหญิงซู และพี่ไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของพี่ใหญ่ด้วย พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะได้ไม่แปลกใจเรื่องบ้านหลังนั้น”
หว่านเหวินเปียวมีความคุ้นเคยกับจื่อหานไม่น้อย เนื่องจากพี่สะใภ้คือน้องสาวคนเดียวของจื่อหาน เพียงแต่ตัวตนของนายหญิงซู พี่สะใภ้ของเธอไม่รู้เรื่อง
“ครับนายหญิง”
จื่อหานนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เขาและน้องสาวเร่ร่อนมาตายเอาดาบหน้า เนื่องจากตอนที่เขาเป็นทหารป้าสะใภ้แอบขายน้องสาวให้กับกลุ่มใต้ดิน ในวันที่เขาไปช่วยน้องดันเผลอฆ่าคนตายเข้า เลยตัดสินใจหนีมาเมืองนี้
ก่อนจะมีกลุ่มนักเลงเข้ามาเล่นงานเนื่องจากเขาเป็นคนต่างถิ่น ในขณะที่เขากำลังพลาดพลั้งไม่คิดว่าตู้หมิงจะเข้ามาช่วยไว้โดยคำสั่งของเด็กน้อยคนหนึ่ง
พอรู้เบื้องหลังของเด็กน้อยนามว่าหว่านซูฉี เขาจึงตัดสินใจถวายความภักดีเพื่อตอบแทน เขาและน้องสาวเลยได้มาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อมาปกป้องนายหญิงในเวลานั้นที่ยังเป็นเด็กน้อยวัยสิบสองปี
แต่ใครจะคิดเล่าว่าพี่ชายของนายหญิงเกิดชอบพอซวงซวง และทั้งสองตัดสินใจใช้ชีวิตและแต่งงานกันในที่สุด ท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้เป็นย่า
ซึ่งเขาเองไม่คิดว่านายหญิงซูจะเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างซวงซวงและเหวินเปียว
หว่านซูฉีนั่งพิงพนักเก้าอี้ เธอครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะใช้นิ้วเคาะโต๊ะตามนิสัยเดิมเมื่อต้องใช้ความคิด พร้อมกับเอ่ยเรื่องที่เธอพบเจอตอนเข้ามาในหมู่บ้าน
“วันนี้ตอนที่ฉันกลับเข้ามาหมู่บ้าน คล้ายกับมีคนมองและสะกดรอยตาม แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้คิดร้าย แต่อย่างไรฉันก็ยังไม่ไว้ใจ พี่จื่อหานให้คนสืบให้หน่อยว่าใครกันที่สะกดรอยตามหญิงสาวอ่อนแอและขี้ขลาดของบ้านหว่าน”
“ในความคิดผม น่าจะเป็นท่านผู้พันครับ วันนี้ผมเจอท่านโดยบังเอิญบนเขา คล้ายกับท่านไม่ต้องการให้ใครพบเห็น ไม่แน่ว่าอาจจะมาดูหน้าของว่าที่เจ้าสาว แต่ยังไงเรื่องนี้ผมจะสืบอย่างละเอียดอีกครั้งครับ”
การคาดเดาของจื่อหานไม่ผิดเพี้ยน เนื่องจากเขาพบเจอท่านผู้พันตอนไปพบลูกน้องบนเขา ชายหนุ่มจึงคิดว่าท่านผู้พันน่าจะมาแอบมาดูว่าที่เจ้าสาวของตนเอง
“เขากลับมาแล้วหรือ”
“ครับนายหญิง น่าจะเพิ่งมาถึง”
ซูฉีครุ่นคิดเล็กน้อย เวลานี้เขาควรกลับมาแล้ว เนื่องจากอีกไม่ถึงครึ่งเดือนงานแต่งงานก็จะเกิดขึ้นแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อเห็นเธออ่อนแอและดูขี้ขลาดไม่เหมาะที่จะอยู่เคียงข้างเขา ผู้พันหยางอาจจะเป็นคนยกเลิกงานแต่งครั้งนี้ด้วยตัวเอง
หากเป็นอย่างที่คิดเธอคงเป็นอิสระจากการแต่งงานครั้งนี้
เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ซูฉีจึงกลับมายังบ้านหว่านทันที
“ไปไหนมาซูฉี” เหวินเปียวเอ่ยถามน้องสาวด้วยความอ่อนโยน อีกไม่นานแล้วสินะที่น้องสาวเขาจะหลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้เสียที พอคิดได้เช่นนั้นเหวินเปียวจึงรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ไปเล่นบ้านพี่จื่อหานมาค่ะ วันนี้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เหนื่อยไหม เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”
เมื่ออยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ ซูฉีไม่ได้มีความขี้ขลาดมากนักและดูสดใสไม่น้อย ซึ่งต่างจากกับคนอื่นในบ้านหว่านและชาวบ้านทั่วไป
“ไม่เป็นไร ซูฉีพักเถอะ ร่างกายเราอ่อนแอไม่ต้องดูแลพี่กับพี่เหวินเปียวหรอก” ซวงซวงกล่าวกับน้องสามีด้วยรอยยิ้ม คงมีเพียงซูฉีเท่านั้นที่ดีกับเธอ และไม่รังเกียจที่เธอเป็นคนต่างถิ่นและมีพี่ชายเป็นพรานป่า
“ซูฉีโกรธพี่หรือไม่ เรื่องแต่งงาน” เหวินเปียวรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้เก็บความรู้สึกเก่ง เขาจึงเป็นกังวลไม่น้อยกลัวว่า น้องสาวจะโกรธที่เขาเหมือนบังคับให้เธอแต่งงานกับท่านผู้พัน
และเขาเองก็บังคับทางฝ่ายนั้นให้ตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งงานกับซูฉี น้องสาวที่มีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด
“ไม่เลยค่ะ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่ต้องคิดมากนะ ฉันเข้าใจดีว่า พี่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับฉัน การแต่งเข้าตระกูลหยางของท่านนายพลไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร พี่ใหญ่พูดเองไม่ใช่หรือว่าท่านผู้พันไม่ใช่คนเจ้าชู้ และไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อย”
ซูฉียิ้มให้อย่างจริงใจ เธอไม่โกรธพี่ชายเลยในเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าพี่ชายรักเธอมากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมมีปัญหากับบ้านใหญ่ ตอนที่ย่าขอเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“พี่ขอคำมั่นสัญญากับท่านผู้พันแล้ว และเขาตอบกลับอย่างหนักแน่นว่าจะดูแลน้องสาวของพี่เป็นอย่างดี แค่นี้พี่ก็หมดห่วงแล้วละ”
เหวินเปียวบอกด้วยความสบายใจ นั่นคือเรื่องท่านผู้พันหยางให้คำมั่นสัญญา เขาเชื่อว่าเมื่ออีกฝ่ายรับปากแล้วย่อมต้องทำได้ ขอแค่น้องสาวที่เขารักหลุดพ้นจากบ้านนี้ก็พอ
“จริงสิ ฉันลืมบอกพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ พี่จื่อหานบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับพี่ทั้งสองคน หาเวลาว่างไปหาหน่อย เพราะพี่จื่อหานไม่อยากมาที่นี่ ไม่งั้นคงได้ฆ่าใครตาย คิก ๆ” ซูฉีพูดติดตลกในประโยคสุดท้าย
“ฮ่า ๆๆ อย่าหัวเราะสิ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง เดี๋ยวจบมื้อเย็นพวกเราค่อยไปหาพี่จื่อหานกัน”
เหวินเปียวหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขารู้ดีว่าพี่ชายภรรยาไม่ถูกกับคนบ้านหว่าน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันย่อมต้องมีการกระทบกระทั่งกันทุกครั้งไป
จากนั้นทั้งสามจึงออกจากห้องเพื่อไปช่วยกันเตรียมอาหารให้บ้านใหญ่ดังเช่นทุกวัน
“แม่คะ เราจะจัดการนังซูฉียังไงดี ฉันต้องการเป็นเจ้าสาวของท่านผู้พันหยาง” หมี่ลี่เอ่ยกับแม่ของตนเมื่ออยู่กันสองคนในห้อง
“แม่จะลองติดต่อพวกใต้ดินดู ไม่แน่ว่านังซูฉีอาจจะขายได้ราคา เงินนั่นจะได้เก็บไว้เป็นสินเดิมของลูกตอนที่แต่งไปเป็นคุณนายท่านผู้พันอย่างไรล่ะ”
ปี้เจียวยิ้มหวานให้ลูกสาวของตน เธอคิดจะกำจัดหว่านซูฉีให้พ้นทาง เพื่อให้ลูกสาวของตัวเองได้แต่งงานเข้าตระกูลหยางแทน
“ละ…แล้วทุกคนจะไม่คิดว่าเป็นฝีมือของเราใช่ไหมแม่”
ทันทีที่ได้ยินแผนการของแม่ หมี่ลี่ก็เกิดความกลัวไม่น้อย เธอไม่คิดจะทำลายซูฉีโดยการขายให้พวกใต้ดิน คิดเพียงว่าจะให้คนจับตัวซูฉีไปซ่อนในวันแต่งงานเท่านั้น หรือไม่ก็จัดฉากทำลายชื่อเสียง แต่ไม่ถึงขนาดจับซูฉีไปขาย !!
ปี้เจียวถลึงตาใส่ลูกสาว เธอไม่คิดว่าลูกจะขี้ขลาดขนาดนี้ คิดจะแย่งวาสนาของนางเด็กซูฉี ย่อมต้องทำให้เด็ดขาด ไม่ใช่เพียงจับตัวไปซ่อนหรือทำให้เสียชื่อเสียง
“แกอย่ากลัวไปเลย เรื่องนี้มีฉันและแกเท่านั้นที่รู้”
“ค่ะแม่” หมี่ลี่กลัวสายตาแม่ในเวลานี้จึงตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นทั้งสองก็วางแผนกันต่อ เพื่อจัดการซูฉีให้พ้นทาง