ลูกค้าคือพระเจ้า

1834 Words
เสียงแหลมระคนเยอะเย้ย กลายเป็นที่สนใจของลูกค้าที่นั่งอยู่บริเวณร้าน หญิงสาวสองคนและสาวใช้อีกสองคน เดินเข้ามาในร้าน นายบ่าวคู่หนึ่งหลี่น่ารู้จักเป็นอย่างดี นั่นคือฮูหยินน้อยสกุลเถียน จางเลี่ยงจินกับคนสนิท ส่วนนายบ่าวอีกคู่นางไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน “พวกนางมาทำอันใด คิดจะมาหาเรื่องหลี่เอ๋อร์ของเราหรือ” ซูเจินถึงขั้นวางมือจากสิ่งที่ทำ แล้วเดินมาบังบุตรสาวเอาไว้ ไม่ต่างจากเข่อซิง เหิงเยว่และเอินเอิน ที่ต่างพากันมายืนประจันหน้า กับพวกสกุลเถียนอย่างเอาเรื่อง “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ พวกท่านใจเย็นลงก่อน” หลี่น่าเบียดตัวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามสตรีตรงหน้าด้วยถ้อยคำสุภาพ “ฮูหยินจะมาซื้อสุราหวานของเราใช่หรือไม่เจ้าคะ” เป็นประโยคคำถามทั่วไป แต่สำหรับหลี่น่านั้น มีความหมายเสียยิ่งกว่าสิ่งใด “ใช่! ทำไม เจ้าจะไม่ขายให้ข้าอย่างนั้นหรือ” “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ข้าน้อยหรือจะไม่ขายสุราหวานให้พวกท่าน…เชิญๆ เจ้าค่ะ นั่งตรงนี้ก่อน” หลี่น่าเผยยิ้มกว้างประดับใบหน้า ผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่ง ก่อนจะเดินไปจัดเตรียมสุราอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าการกระทำของหลี่น่ากลับทำให้ครอบครัวสกุลเหอร้อนใจแทน “หลี่เอ๋อร์ เจ้าพูดดีกับนางด้วยเหตุใด หรือเจ้าให้อภัยพวกสกุลเถียนแล้ว” ภาพที่น้องสาวห้อยแขวนอยู่กับบ่วงผ้า ยังคงติดตาเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ จะให้มาพูดดีกับคนสกุลเถียนคงเป็นไปได้ยาก “นั่นสิลูก แม่ก็คิดเช่นนั้น” “พ่อก็ด้วย” “บ่าวก็ด้วยเจ้าค่ะ” ทั้งสี่คนต่างทำหน้าบึ้งหน้าบูด ไม่ยอมรับสิ่งที่หลี่น่าทำ “อะแฮ่ม! ทุกคนฟังข้านะเจ้าคะ หากพวกท่านจะทำงานบริการ จงท่องไว้ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า เมื่อนางมาในฐานะลูกค้า เราก็ต้องบริการนางอย่างเต็มที่” “พี่ก็เข้าใจ แต่…” “ข้ารู้ว่าพี่เหิงและทุกคนรู้สึกเช่นไร เอาเป็นว่าข้ายังคงโกรธเคืองเรื่องที่สกุลเถียน ทำต่อข้าและครอบครัวของเรา หากว่านางมิได้มาในฐานะลูกค้า ข้าจะด่าให้นางลืมทางกลับเรือนเลยเจ้าค่ะ” “เจ้าแน่ใจหรือ” “แน่ใจสิเจ้าคะ วันนั้นข้ายังทำให้นางอับอายคนทั้งตลาดได้เลย” หลี่น่าเคยเล่าให้ครอบครัวฟังแล้ว ว่านางเคยแสร้งเล่นงิ้ว เสียจนจางเลี่ยงจินถูกชาวบ้านมองไม่ดี “ฮึๆ เช่นนั้นก็ได้ พ่อเชื่อเจ้า รีบเอาสุราไปให้พวกนางเถิด ประเดี๋ยวจะหาเรื่องตำหนิเราเอาได้” เข่อซิงเองก็เคยเป็นพ่อค้า จึงเข้าใจสิ่งที่บุตรสาวเอ่ยเป็นอย่างดี การกระทำที่ส่อถึงความไม่ให้เกียรติลูกค้าเพียงน้อยนิด อาจกระทบในวงกว้างได้ ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะมองว่าร้านของเรา บริการลูกค้าได้ย่ำแย่ “มาแล้วเจ้าค่ะ สุราหวานสูตรลับสกุลเหอ” หลี่น่าและเอินเอินรีบวางของต่างๆ ลงบนโต๊ะ “นี่เรียกสุราหวานหรือ” สตรีที่มาด้วยกันกับเลี่ยงจิน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง มิได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใด “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู…คุณหนูฟ่งหยู่เยียน” หลี่น่าชะงักไปชั่วครู่ เนื่องจากไม่รู้จักหญิงสาวตรงหน้า จนเอินเอินที่อยู่ไม่ไกล ต้องรีบมากระซิบบอกผู้เป็นนาย ว่าสตรีที่มากับฮูหยินน้อยสกุลเถียน คือคุณหนูสกุลฟ่ง นามว่าหยู่เยียน “อืม หวานสมชื่อ” หยู่เยียนยกสุราขึ้นชิมก่อนจะเอ่ยปากชมตามความรู้สึก แต่นั่นกลับทำให้สหายมิชอบใจ “หยู่เยียน ลิ้นเจ้าตายด้านหรือ สุรานี้ ทั้งขม ทั้งเฝื่อน นี่ยังไม่นับกลิ่นที่เหม็นเสียจนอยากจะอาเจียนออกมา” สุราหวานในจอกถูกสาดมาโดนชายกระโปรงของหลี่น่าจนเปื้อน “เลี่ยงจิน เจ้าทำอันใด!” “ข้าทำสิ่งใดหรือ ก็รสชาติมันแย่ ข้าก็ต้องเอาทิ้งเป็นธรรมดา” เลี่ยงจินลอยหน้าลอยตา เย้ยหยันหลี่น่าเสียจนร่างบางต้องกำมือเข้าหากัน เพื่อข่มอารมณ์ของตน “เหม็นสาบ อยากอาเจียน หรือว่าฮูหยินจะตั้งครรภ์เจ้าคะ” หลี่น่ารีบเบี่ยงประเด็น เพราะไม่อยากให้ตนเองโมโหไปมากกว่านี้ แต่เสียงพูดคุยของลูกค้าโต๊ะข้างๆ กลับทำให้คนสกุลเหอถึงขึ้นหลุดหัวเราะออกมา “ข้าว่าคงกินผิดสำแดงมากกว่ากระมัง นางคงมิเคยได้กินของดี อย่างว่านะ…สกุลเดิมเป็นเพียงขุนนางยาจก” เสียงหัวเราะคิกคัก ทำเอาเลี่ยงจินใบหน้ามืดครึ้มขึ้นมาทันใด “คุณหนูโต๊ะนั้น การเหยียดหยามผู้อื่นถือเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม” ฟ่งหยู่เยียนออกรับแทนสหาย “หึ! เช่นนั้นตำราที่คุณหนูฟ่งร่ำเรียนมา คงบอกไว้ ว่าการสาดน้ำใส่ผู้อื่นเป็นเรื่องดีกระมัง” เหิงเยว่กล่าวถาม ขณะที่กำลังวางผลไม้กับแกล้มไว้กลางโต๊ะ “ข้า-” แม้อยากจะแก้ต่าง แต่หยู่เยียนก็พูดคำใดมิได้ เพราะเมื่อครู่นางก็มิได้ตำหนิสหายที่กระทำผิดเช่นนั้น หลี่น่าเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเอ่ยแก้สถานการณ์ “เอาเถิดเจ้าค่ะ สุราของข้าอาจจะไม่ค่อยถูกปากคุณหนู อย่างไรคุณหนูช่วยชี้แนะได้หรือไม่ ว่ารสชาติที่คุณหนูชอบเป็นเช่นไร” “สุราที่ข้าชอบ จะต้องหมักในสถานที่ที่สะอาด มีกลิ่นบริสุทธิ์ แต่ก็มีกลิ่นหอมติดปลายจมูก ของเจ้ามันเหม็นเปรี้ยว” เลี่ยงจินตั้งใจยั่วเย้าให้หลี่น่าโกรธ รู้ทั้งรู้ว่าสุราหวานของสกุลเหอเลิศรสเพียงใด แต่นางก็ยังตั้งใจติเตียนเสียงดัง “อ่า~ คุณหนูมีข้อชี้แนะมากมายนัก ข้าขอไปเอากระดาษกับพู่กันมาจดก่อนนะเจ้าคะ” หากว่าเลี่ยงจินจงใจตำหนิ หลี่น่าก็ตั้งใจจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเช่นกัน เสียงแหลมเอ่ยตำหนิไปเรื่อย มือเล็กของหลี่น่าก็จดบันทึกลงในกระดาษไม่ให้ขาดแม้เพียงครึ่งคำ ว่าอีก ก็จดอีก ไม่ปริปากด่าทอลูกค้า จนเลี่ยงจินนึกโมโห ลุกเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป “เดี๋ยวเจ้าค่ะ” “อันใดของเจ้าอีก!” หญิงสาวกระแทกเสียง บ่งบอกถึงความเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างดี “เงินเจ้าค่ะ จ่ายเงินค่าสุราข้าด้วย กินแล้วไม่จ่ายหรือ” หลี่น่ากลั้นหัวเราะจนไหล่โยก เลี่ยงจินรู้สึกเสียหน้าอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน เสียงแหลมเอ่ยสั่งสาวใช้ให้จ่ายเงิน ก่อนจะเดินทำหน้าปั้นปึ่งออกไป โดยไม่รอสหายที่มาด้วยเลย หลี่น่าที่รับเงินมาแล้ว ก็หันไปขออภัยลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ย่างเข้าสู่ยามเย็น หลี่น่าก็ออกไปแจกจ่ายสุราหวานให้ชาวบ้านได้ชิม เพราะบุรุษที่หลงใหลในน้ำเมา มักจะมาหาดื่มสังสรรค์กันในยามเย็นเช่นนี้ จนอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผู้นำสกุลเหอจึงต้องบอก ให้ครอบครัวพากันเก็บกวาดข้าวของแล้วกลับเรือน เนื่องจากพวกเขาไม่มีตะเกียงมาจุดให้บริเวณร้านสว่าง จึงต้องปิดร้านเร็วกว่าที่อื่นๆ “มาๆ ท่านมื้อเย็นกันเถิด เจ้าก็มานั่งทานด้วยกันสิเอินเอิน” ฮูหยินเหอเรียกให้สามีและบุตร ที่นอนแผ่หลาอยู่กลางศาลา ลุกขึ้นมาทานมื้อเย็น ก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้สาวใช้เข้ามาทานด้วยกัน “บ่าวมิบังอาจเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวค่อยไปทานในครัวก็ได้เจ้าค่ะ” “อย่าคิดให้มากความ วันนี้เจ้าก็ทำงานไม่น้อยไปกว่าพวกข้า หากไม่มาร่วมโต๊ะ ก็ไปนำข้าวมานั่งทานข้างกันนี่แหละ” เข่อซิงนับถือใจสาวใช้ผู้นี้ยิ่งนัก ขนาดว่าบ่าวไพร่เก่าแก่ ยังหนีหายยามที่เขาไม่มีเงินจุนเจือ แต่เอินเอินยังยืนกรานจะอยู่ดูแลพวกเขา เช่นนี้จะให้ใจจืดใจดำกับนางได้อย่างไร “นั่นสิ มาๆ รีบทาน เราจะได้รีบนำเงินออกมานับดูเสียที” ครอบครัวสกุลเหอพากันทานมื้อเย็นอย่างอิ่มหนำ ก่อนจะมานั่งนับเงินที่ได้จากการขายสุรา การเปิดร้านวันแรก ถือว่าพวกเขาทำได้ดีไม่น้อย เพราะพวกเขาขายได้กว่ายี่สิบไห มีลูกค้าเข้าร้านมามากมาย บ้างก็นั่งดื่มที่ร้าน บ้างก็ซื้อกลับไปที่เรือน เมื่อลองนับเงินดูก็ได้เกือบสองพันอีแปะ หรือสองตำลึงเงิน “ฮ่าๆ ตั้งแต่ที่สกุลเราถูกโกง พ่อพึ่งเคยได้จับเงินวันละสองตำลึงเงินก็ครานี้แหละ ลูกพ่อเก่งกาจเสียจริง” เข่อซิงดึงบุตรสาวมากอดเสียจมอก “ใช่ข้าผู้เดียวเสียเมื่อไรกันเจ้าคะ ท่านพ่อ ท่าแม่ พี่เหิง รวมถึงเอินเอิน พวกเราต่างช่วยกันทั้งนั้น” “ใช่แล้ว เรื่องนี้แม่เห็นด้วย” ซูเจินลูบหลังบุตรชาย ก่อนจะส่งยิ้มให้สาวใช้อย่างเอินเอิน “แต่วันนี้ เราเปิดร้านวันแรก ผู้คนจึงเข้ามาลองชิมกันมาก วันต่อไปอาจจะไม่ได้มากเช่นนี้นะเจ้าคะ” หลี่น่าทำใจเผื่อไว้พอสมควร เพราะชื่อสุราหวานเป็นสิ่งที่ล่อหูล่อตาให้ผู้คนสนใจ ทว่าเมื่อลองชิมแล้ว บางคนอาจจะไม่ถูกปาก “แต่ก็ไม่แน่มิใช่หรือ วันพรุ่งคนอาจจะมากกว่าเดิมก็เป็นได้” เหิงเยว่มองอีกมุมก็ไม่ผิดอันใด “เจ้าค่ะ เช่นนั้นเราเข้านอนกันเถิด วันพรุ่งต้องตื่นมาเตรียมของแต่เช้าตรู่” ร่างบางบิดคร้านไปมา ให้ครอบครัวรับรู้ว่านางอยากนอนเพียงใด หากว่าให้นั่งพูดคุยกันนานกว่านี้ นางคงหลับกลางอากาศเป็นแน่ แต่แล้วร่างกายกลับไม่อำนวยให้หญิงสาวได้พักผ่อน แม้จะอยากข่มตานอนเช่นไร แต่ก็ต้องตื่น เพราะนางอยากถ่ายเบา หลี่น่าจึงต้องลุกออกจากห้องนอน เพื่อไปห้องสุขา ขาเรียวเดินย่องผ่านเอินเอินไป โดยไม่ปลุกสาวใช้ เพราะเอินเอินเองก็ทำงานมาเหนื่อยๆ นางจึงตัดสินใจย่องออกมาจากห้องด้วยตนเอง ทว่า…เมื่อสองเท้ากำลังจะย่องผ่านหน้าห้องตำราของบิดา หูทั้งสองกลับได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้น ทั้งใต้ช่องประตูยังมีแสงสว่างริบหรี่ลอดออกมา ผู้ใดมาอยู่ในห้องตำรายามนี้ ท่านพ่ออย่างนั้นหรือ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD