3

1775 Words
ปีพุทธศักราช 2556 ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ เอวเมวอิโต ทินฺนํเปตานํ อุปกปฺปติ อิจฺฉิตํปตฺถิตํตุมฺหํขิปฺปเมวสมิชฺฌตุ สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโสยถามณิโชติรโสยถา (เป็นบทสวดเพื่อให้คนที่ทำบุญเริ่มกรวดน้ำ อุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรและผู้ล่วงลับ) บทสวดท่อนหนึ่งที่พระภิกษุสงฆ์จำนวนเก้ารูปกำลังท่องสวด เพื่อให้ญาติโยมที่มาทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในวันมงคลในวันนี้ได้กรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวรหรือเป็นญาติมิตรที่ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้วให้มารับผลบุญผลกุศลที่บุคคลนั้นๆ ได้อุทิศให้ เป็นที่รู้กันว่าหากพระภิกษุขึ้นต้นสวดด้วยคำว่า “ยถา วาริวหา...” คือจุดเริ่มต้นของการให้ญาติโยมกรวดน้ำ เหล่าผู้มาร่วมทำบุญต่างกรวดน้ำอุทิศผลบุญผลกุศลไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรและผู้ล่วงลับอยู่บนศาลาการเปรียญ จะมีก็เพียงสตรีนางหนึ่งเท่านั้นที่เดินลงมาจากศาลาการเปรียญในมือถือแก้วน้ำที่บรรจุน้ำเต็มแก้วมาด้วย เพื่อที่จะมานั่งกรวดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างศาลา “ทำไมมานั่งกรวดน้ำตรงนี้ล่ะ ไม่ขึ้นไปบนศาลาพร้อมกับคนอื่นรึไง” แม่ชีที่ถือศีลอยู่ที่วัดแห่งนี้เอ่ยถามหญิงสาวใบหน้าสวย ตอนที่พระภิกษุขึ้นต้นสวดคำว่า “สัพพีติโย...” เป็นคำสวดที่ให้ศีลให้พรกับบุคคลที่มาทำบุญ “กัณฑ์กรวดน้ำพร้อมเขาไม่ได้ค่ะ” คำตอบของกัณฑริกาไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับแม่ชีเลย สีหน้าของแม่ชีเรียบเฉยสำรวมเหมือนคนถือศีล ยิ้มบางๆ ดั่งคนมีความเมตตาปรานี แม่ชีจึงเอ่ยถามที่มาที่ไปของคำพูดที่ว่า ‘กรวดน้ำพร้อมเขาไม่ได้’ “หมายความยังไงหรือหนู” “ตั้งแต่กัณฑ์จำความได้ พอกัณฑ์กรวดน้ำแล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติครั้งใด ขันกรวดน้ำของกัณฑ์ก็จะเอียงคว่ำอย่างไม่มีเหตุผลเสมอค่ะ จะว่าลมแรงก็ไม่ใช่เพราะขันที่รองรับกรวดน้ำทำจากทองเหลืองบ้าง เงินบ้างซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างมาก มักจะเป็นอย่างนี้เสมอค่ะ กัณฑ์ก็เลยต้องมากรวดที่ต้นไม้แทนค่ะ” แม่ชีฟังคำตอบของกัณฑริกาอย่างสงบ ก่อนจะถามต่อ “แล้วกรวดตรงนี้เป็นยังไงบ้าง” คนที่ถูกถามหน้าหมองลงเล็กน้อย ขยับปากตอบความจริงกับแม่ชี “กรวดที่นี่ก็ไม่ต่างกับกรวดบนศาลาค่ะ พอกัณฑ์กล่าวอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติครั้งใด ก็จะมีลมมาพัดสายน้ำที่กัณฑ์กำลังจะเทลงไปในดินนั้นทุกครั้ง ทำให้สายน้ำที่กัณฑ์กรวดขาดตอนเสมอค่ะ” มารดาของเธอเคยบอกไว้ว่า การกรวดน้ำต้องอย่าให้น้ำขาดระยะ ความหมายก็คือเพื่อให้กุศลที่อุทิศไปให้ผู้ล่วงลับไปแล้วได้รับติดต่อกันไปไม่มีติดขัด และความปรารถนาต่อสิ่งใดก็จะได้รับโดยราบรื่นไม่ขาดระยะ เสมือนกระแสน้ำที่ไหลไปสู่มหาสมุทรสาคร ย่อมไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ หากเทน้ำให้หยดติ๋ง ๆ ขาดระยะ เปรียบเหมือนบุญกุศลที่จะได้ก็จะขาดระยะ ความปรารถนาก็จะขาดระยะ จึงให้เทน้ำหรือหลั่งน้ำเป็นสายเหมือนสายน้ำที่ไหลไปสู่มหาสมุทร หรือสายน้ำที่ไหลไปสู่แม่น้ำน้อยใหญ่ “เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติคงไม่ต้องการรับผลบุญผลกุศลที่หนูปรารถนาจะอุทิศให้กับเขา จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับหนูเรื่อยมาและมันจะยังคงเป็นตลอดไป หากหนูไม่ได้รับการอโหสิกรรมจากบาปกรรมที่หนูและเขาได้ทำกรรมทำเวรต่อกันไว้” คำพูดของแม่ชีทำให้หญิงสาวนึกถึง บุรุษที่มักเข้ามาอยู่ในความฝันของเธอเสมอ ตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน บุรุษคนนั้นแต่งกายด้วยชุดราชปะแตน ร่างกายสง่างามดูมีราศีของความเป็นผู้มียศศักดิ์ เขามักจะพูดกับเธอเสมอว่า ‘ข้าทำกรรมไว้หนัก เจ้าช่วยให้ข้าได้พ้นจากกรรมนี้ด้วยเถิด ชดใช้หนี้กรรมแทนข้าด้วย’ กัณฑริกาไม่เข้าใจความหมายที่บุรุษผู้นั้นพูดมากนัก ทว่าจิตใต้สำนึกบอกกับเธอว่า เธอเกิดมาเพื่อชดใช้หนี้กรรมบางอย่าง “แล้วกัณฑ์จะต้องทำอย่างไรคะ ถึงจะให้เจ้ากรรมนายเวรผู้นั้นเอ่ยคำว่าอโหสิกรรมให้ หรือว่ากัณฑ์ยังพยายามทำบุญให้เขาไม่พอ” กัณฑริกาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “กรรมก็ส่วนกรรม บุญก็ส่วนบุญ มันหักล้างกันไม่ได้นะหนู ผลบุญที่หนูทำในชาตินี้เป็นบุญกุศลที่หนูสร้างสมขึ้น เพื่อที่จะนำไปหนุนนำในชาตินี้และชาติภพหน้า ไม่อาจหักล้างกรรมที่หนูได้ทำไว้ทั้งชาตินี้และอดีตชาติได้ คนเราที่เกิดมาทุกคนต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ในอดีตชาติทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวหนูเอง กรรมจะเดินมาหาหนูเอง หนูแค่ยืนรอรับผลกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น” คำพูดของแม่ชีทำให้เธอเข้าใจการทำบุญมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็เกิดความไม่เข้าใจกับเรื่องที่ได้ยินเช่นกัน “กรรมจะเดินมาหาหนูเอง หมายความว่าเจ้ากรรมนายเวรคนนั้นจะมาล้างแค้นกัณฑ์หรือคะ” “แม่ชีบอกหนูไม่ได้ สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นจะแรงดั่งพายุ หรือจะสงบเหมือนน้ำทะเลที่ไร้คลื่นลม เพราะคนเราทำกรรมไว้ต่างกัน บางคนทำกรรมหนัก บางคนทำกรรมเบา ทุกคนที่เกิดมาจึงต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ทุกคน แต่ชาติภพนี้หนูทำบุญไว้มากผลบุญอาจทำให้กรรมที่ติดตามหนูมาเบาบางลง แต่ก็ล้างกรรมนั้นไม่หมด เหมือนแก้วน้ำที่ใส่น้ำไว้เต็มแก้ว น้ำที่อยู่ในแก้วเปรียบเสมือนกรรมของหนู ต่อให้หนูเติมผลบุญลงไปในแก้วยังไง ผลบุญนั้นก็จะไหลย้อนออกมานอกแก้ว กรรมต้องลดลงก่อนผลบุญที่สะสมจึงเข้าไปแทนที่ จำไว้นะหนูสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แม่ชีพูดได้แค่นี้ โชคดีนะหนู” แม่ชีเดินจากไปทิ้งความสงสัยไว้ให้กับหญิงสาวอย่างมากมาย ‘กรรมจะเดินมาหาเอง’ แล้วกรรมนั้นคือใคร กรรมนั้นเป็นอย่างไร กัณฑริกายังหาคำตอบนั้นไม่ได้จนกว่ากรรมนั้นจะเดินมาหาเธอ ในเวลาเดียวกัน ณ บริษัทอัลฟาเวิร์ค จำกัด (มหาชน) กรุงฉัตรและภาคินัยก้าวเดินไปยังห้องรองประธานบริษัท ในมือของกรุงฉัตรถือกล่องไม้ขนาดกะทัดรัดสีน้ำตาลเข้ม แกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร คนที่ถือรู้สึกถึงความหนักอึ้งของกล่องไม้ที่ตนเองถืออยู่ ทั้งที่กล่องใบนี้มีน้ำหนักไม่ถึงครึ่งกิโลกรัมด้วยซ้ำ แต่สำหรับกรุงฉัตรเวลานี้มันหนักราวสิบกิโลกรัม อีกทั้งเขายังรู้สึกหวาดกลัวสิ่งของที่อยู่ในกล่องอีกด้วย “ไอ้กรุง นายเป็นอะไร ทำไมถึงได้เหงื่อแตกขนาดนี้” ภาคินัยเอ่ยถามเพื่อน เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อซึมตามไรผม และเริ่มหยดไหลไปตามสันแก้ม บางส่วนผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก คนที่ถูกทักใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก ก่อนจะหันมาตอบคำถามเพื่อน “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเหงื่อมันถึงออก ทั้งที่ฉันไม่รู้สึกร้อนเลย แต่รู้สึกอึดอัดมากกว่า” กรุงฉัตรยังนึกแปลกใจไม่ต่างกับผู้ถาม ตรงจุดที่เขาเดินอยู่นี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามยังมีความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างดีเยี่ยม “อึดอัด” ภาคินัยพูดเชิงถาม “อึดอัดเรื่องไรวะ” ก่อนจะยิงคำถามที่ตนเองสงสัย “ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก บอกได้แค่ว่ามันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้” กรุงฉัตรหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมาจากความรู้สึกที่อยู่ในใจ ก่อเกิดขึ้นมาในฉับพลัน “หรือว่านายกังวลเรื่องของในกล่องนี้” ภาคินัยเดาสุ่ม “คงงั้นมั้ง” กรุงฉัตรตอบออกไปส่งๆ “นายไม่ต้องกังวลหรอก เมฆชอบของพวกนี้จะตายไป ฉันว่านะเมฆเห็นของในกล่องนี้แล้วต้องชอบแน่ๆ” ภาคินัยพูดเหมือนใจคิด เขารู้นิสัยพชรดนัยดีว่าพิสมัยเรื่องของล้ำค่าในอดีต ของเก่า ของโบราณมากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่สร้างบ้านไว้เก็บของสะสมไว้ต่างหาก แยกจากที่อยู่อาศัยอย่างเป็นสัดเป็นส่วน “นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรออาร์ต นายคิดว่าเมฆจะชอบของในกล่องนี้จริงๆ เหรอ” กรุงฉัตรหันมาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “แน่สิ” ภาคินัยตอบกลับสั้นๆ “อีกอย่างนะของในกล่องนี้ก็สวยจะตายไป ทั้งสวยทั้งเป็นของเก่าด้วยมีเหรอที่เมฆจะไม่สน แต่ถ้าเมฆไม่สน นายก็เอาเองสิ นายก็สะสมของเก่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” “ไม่เอาหรอก นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบสะสมเครื่องประดับของเก่า ของโบราณ ฉันกลัวอาถรรพ์” กรุงฉัตรส่ายหัวดิกปฏิเสธทันควัน ถึงของในกล่องนี้จะสวยจะล้ำค่ามากเพียงใด แต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะครอบครองมัน แค่เขามีไว้กับตัวเพียงแค่สามวัน เขายังรู้สึกแปลกๆ รู้สึกหวาดกลัวกับของที่อยู่ในกล่องไม้...ราวกับว่ามันมีชีวิต ภาคินัยตบบ่ากรุงฉัตรเบาๆ “นายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเชื่อว่าเมฆต้องรับซื้อของในกล่องนี้แน่นอน” “ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” กรุงฉัตรพูดปลอบใจตัวเอง การสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงโดยปริยายเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของพชรดนัย ทั้งสองพูดทักทายกมลเนตรเลขาหน้าห้องสองสามประโยค ก่อนที่จะเดินไปเคาะประตูห้องแล้วเปิดมัน เจ้าของห้องเงยหน้ามองบุคคลที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะหลุบตาต่ำมองกล่องไม้ในมือกรุงฉัตร กล่องไม้นี้เหมือนมีแรงดึงดูดใจเขาเป็นอย่างมาก เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด พชรดนัยมองกล่องไม้นิ่งงัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD