บทที่ 1 คำทำนายของแม่หมอ

4792 Words
ปี 20XX ณ เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านผืนบางลายดอกเหมยมากระทบกับดวงหน้าเรียวเล็กของร่างบาง เด็กสาวนอนพลิกตัวไปมาก่อนจะตัดสินใจลืมตาตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณของวันใหม่ เด็กสาวลุกขึ้นออกจากเตียงอย่างงัวเงีย เธอรีบเข้าห้องน้ำไปจัดแจงและเตรียมตัวเพื่อที่จะไปโรงเรียนแต่เช้าในเทอมสุดท้ายของภาคเรียนนี้   โรงเรียนและที่พักของเธอค่อนข้างที่จะอยู่ไกลจากกันอยู่พอสมควร มันจึงทำให้เธอต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปโรงเรียนโดยการเดินเท้าทุกวัน เธอไม่ได้ลำบากอะไรกับการเดินทางไปโรงเรียนมากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะระหว่างทางเธอเองก็ได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศตอนเช้าในตัวเมืองไปด้วย เด็กสาวมองซ้ายแลขวาตามสองข้างทางด้วยความเพลิดเพลินจนไปสะดุดตากับร้านค้าเล็กๆในซอกหลืบของซอย ร้านค้าแห่งนี้หากมองดูแบบผิวเผินอาจจะคล้ายกับร้านที่ค้าขายเกี่ยวกับวัตถุโบราณ เพราะการออกแบบอาคารของร้านนั้นค่อนข้างเก่าและประณีตสวยงาม สถาปัตยกรรมในการออกแบบของร้านก็คล้ายกับในสมัยโบราณของจีน ยิ่งมองยิ่งดูลึกลับ ยิ่งมองยิ่งถูกดึงดูด... ใช่ มันดึงดูดให้ขาเล็กๆทั้งสองข้างของเธอค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเข้าใกล้บานประตูของร้าน จู่ๆวิวทิวทัศน์รอบๆตัวก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากที่เคยเป็นร้านค้าซอมซ่อเล็กๆ บัดนี้ อาคารของร้านค้ากลับดูใหญ่โตและวิจิตรงดงามมากกว่าเดิม หน้าร้านที่เคยมีถนนและทางเท้า กลับแปรเปลี่ยนเป็นผืนหญ้าเขียวขจีรายล้อมไปด้วยดอกเหมยที่กำลังผลิบาน ทำให้ทิวทัศน์พวกนี้งดงามราวกับภาพวาด  แอ๊ดด..... เด็กสาวที่กำลังยืนชื่นชมความงามของทิวทัศน์อยู่นั้นพลันได้สติและหันไปตามเสียงของประตูไม้ที่ถูกเปิดออก ราวกับมันกำลังจะบอกกับเธอว่าให้รีบเข้าไปข้างในได้แล้ว เด็กสาวไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในอาคารไม้ที่งดงามทันที  เมื่อเข้าไปแล้ว ตะเกียงที่ถูกวางไว้ตามทางค่อยๆสว่างขึ้นทีละดวง สองดวง ไปเรื่อยๆจนสว่างครบทั้งหมด เมื่อตะเกียงสว่างครบทั้งหมดแล้วก็ได้ปรากฏร่างของหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่กับโต๊ะเตี้ยแบบโบราณ หญิงชราผู้นี้แต่งกายด้วยความมิดชิดและปกปิดแทบทุกส่วนของร่างกายเอาไว้ ไม่เว้นแม้แต่ดวงหน้าของเธอ หญิงชราที่กำลังเขียนตัวอักษรแปลกๆก็ได้หยุดมือของตนลง ก่อนจะส่งสายตาเฉียบคมมาทางเด็กสาวตัวเล็ก เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้หวั่นใจกับสายตาของหญิงชรามากนัก "หนูขอโทษคุณยายที่เข้ามารบกวนนะคะ..." เด็กสาวเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน "...แต่หนูแค่อยากจะถามคุณยายว่าหนูจะกลับไปที่เดิมได้ยังไงหรือคะ? ถ้าคุณยายสามารถส่งหนูกลับที่เดิมได้ หนูก็ขอรบกวนด้วยนะคะ" เด็กสาวค้อมตัวลงด้วยความนอบน้อมก่อนจะชำเลืองมองสีหน้าของหญิงชราเล็กน้อย   "แม่หนู...เข้ามานั่งตรงนี้ก่อนสิ..." หลังจากที่เงียบมานาน ในที่สุดหญิงชราก็ได้กล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมา เด็กสาวไม่รอช้ารีบเดินไปหาหญิงชราและนั่งตรงข้ามกับเธอ หญิงชรามองหน้าของเด็กสาวด้วยความหนักใจ คล้ายกังวล คล้ายไม่กังวล ก่อนจะค่อยๆยื่นมือที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลามาจับที่มือของเด็กสาว เมื่อจับแล้วหญิงชราก็ได้หลับตาลงและเริ่มท่องคาถาอะไรสักอย่างหนึ่ง เด็กสาวทำได้แค่จ้องมองในสิ่งที่หญิงชราทำเพียงเท่านั้น สีหน้าของหญิงชราจากที่เคยนิ่งเฉยกลับกลายเป็นสีหน้าที่ตื่นตระหนก ก่อนจะใช้มือของตนควานหาของบางอย่างในถุงผ้าที่ปักลายสวยงามของตนด้วยความรีบร้อน   เธอหยิบกำไลหยกขึ้นมาชิ้นหนึ่งและรีบสวมกำไลหยกให้กับเด็กสาวด้วยความร้อนรน ทว่าอยู่ๆกำไลหยกก็เกิดรอยร้าวเป็นทางยาวขึ้นมาและได้แตกหักไปในที่สุด "ไอหยา..." หญิงชราอุทานด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด "มีอะไรหรือคะคุณยาย?" "แม่หนู...ในคืนเดือนมืดเจ้าต้องระวังตัวเอาไว้...ความซวยครั้งใหญ่ของเจ้าจะมาเยือน...อยู่ใกล้น้ำก็จะจมน้ำ อยู่ใกล้ไฟก็จะเกิดไฟไหม้ อยู่บนผืนดินก็จะเกิดอุบัติเหตุถึงตาย ถ้าเจ้าผ่านคืนนั้นได้เจ้าก็รอด..." "แล้วถ้าผ่านคืนเดือนมืดไม่ได้ล่ะคะ?" "เจ้าก็จะตาย"   เด็กสาวรู้สึกจุกในอกอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆเธอก็จะมาตายเพราะความซวยอย่างนั้นหรือ? หญิงชราผู้นี้คงสติฟั่นเฟือนแล้วล่ะมั้ง? "ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าก็ไม่ว่า แต่จงระวังตัวของเจ้าเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน!" ปึง!! หญิงชราตบโต๊ะเสียงดัง บรรยากาศรอบๆค่อยๆแปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นสถานที่เดิม ที่ๆมีตึก ถนนและทางเท้า เด็กสาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าอาคารที่พักของตนเอง ความรู้สึกนั้นราวกับว่าตนได้อยู่ในห้วงของความฝัน "เอ๊ะ...ฉันว่าฉันกำลังจะเดินไปโรงเรียนนี่นา แล้วทำไมถึงยังอยู่ตรงหน้าอาคารที่พักอีกล่ะ?" เด็กสาวรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย ตอนแรกก็อยู่หน้าร้านค้าเล็กๆนั่น แต่แล้วบรรยากาศก็ได้เปลี่ยนไป เธอได้พบกับหญิงชราซึ่งเธอคาดเดาว่าอาจจะเป็นแม่หมอมาทำนายดวงชะตาให้เธอ และได้บอกคำทำนายแปลกๆให้เธอรับรู้ "คืนเดือนมืดอย่างนั้นหรือ? เหลืออีกคืนเดียวก็จะถึงแล้วนี่นา...อา...ช่างมันเถอะ" เด็กสาวไม่สนใจกับคำทำนายแปลกๆของหญิงชราสักเท่าไหร่นัก เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่ความฝันก็คงเป็นพวกที่เล่นปาหี่อะไรสักอย่างเสียมากกว่า  เด็กสาวได้รีบเร่งเดินทางไปโรงเรียนในทันที เพราะใกล้เวลาที่รั้วโรงเรียนกำลังจะปิดแล้ว เมื่อเธอมาถึงโรงเรียน เธอก็รีบวิ่งไปยังชั้นเรียนของเธอทันที เธอเดินตามทางเดินของอาคารและขึ้นบันไดไปอีกสองชั้น เด็กสาววิ่งตรงไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างบอบบางของเธอได้มาหยุดอยู่หน้าห้องเรียนของตน เด็กสาวเอื้อมมือเรียวเล็กออกไปตรงหน้าเพื่อเลื่อนประตูห้องออกและเดินไปนั่งประจำที่ของเธอ "ทุกคน อาจารย์มาแล้ว!" "อะไรนะอาจารย์มาแล้ว!?" "นั่งที่เร็วเข้า! นั่งที่เร็ว!" "อาจารย์มาๆๆๆ" เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเพื่อนร่วมห้องดังขึ้นมาและค่อยๆเพิ่มระดับเสียงขึ้นเรื่อยๆก่อนจะค่อยๆเงียบเสียงลงกันอย่างพร้อมเพรียง "นักเรียนทั้งหมด...ยืน!" เสียงของหัวหน้าห้องดังก้องกังวาลไปทั่ว น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความน่าเคารพและน่าเกรงขาม "สวัสดีค่ะ /สวัสดีครับ" "เอาล่ะ นั่งลงได้" "ขอบคุณอาจารย์" เมื่อนักเรียนกล่าวขอบคุณจบ ต่างคนต่างก็นั่งลงตามที่นั่งของตนเอง คาบแรกของทุกเช้านั้นจะเป็นคาบโฮมรูม คาบนี้มีขึ้นเพื่อที่จะให้อาจารย์ประจำชั้นในแต่ละห้องเข้ามาเพื่อพูดคุยหรือให้คำปรึกษากับเหล่านักเรียนที่ตนได้ประจำชั้นอยู่นั่นเอง   ในขณะที่อาจารย์กับเหล่านักเรียนกำลังพูดแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ ฉันก็ได้แต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนเช้า พอมาคิดๆดูให้ดีแล้ว มันกลับเหมือนจริงเสียมากกว่าเป็นความฝัน "เป็นอะไรรึเปล่าหมิงหมิง?" เสียงสดใสน่ารักของเหมยลี่ดังขึ้นขัดความคิดภายในใจของฉัน ฉันหันหน้าไปตามเสียงเรียกของเธอ เธอนั่งอยู่ข้างๆฉันนั่นเอง "ทำไมวันนี้เธอดูเหม่อลอยจังล่ะหมิงหมิง?" เหมยลี่กล่าวถามด้วยความสงสัย "ก็เมื่อเช้าน่ะสิ..." "เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นหรือ?" เหมยลี่ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาให้ฉัน แน่นอนว่าทำไมฉันจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้เธอฟังล่ะ? เหมยลี่คือเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่ฉันยังอยู่ประถม จนถึงตอนนี้อยู่มัธยมปลายแล้วก็ยิ่งตัวติดกันแน่นอย่างกับปาท่องโก๋...ว่าไปนั่น "เมื่อเช้าฉันเดินไปเจอร้านค้าเก่าๆร้านหนึ่งตรงซอกตึกเล็กๆ และถูกดึงดูดจนเผลอเดินเข้าร้านไป เธอรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องแปลกๆอะไรขึ้นกับฉัน?" ขวับ ขวับ เหมยลี่ส่ายหน้าไปมาซ้ายทีขวาที เธอยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ฉันพูดต่อไป   "บรรยากาศและวิวทิวทัศน์รอบๆตัวของฉันมันเปลี่ยนไปเป็นอีกที่หนึ่งเลยล่ะ จากร้านที่เคยมีขนาดเล็กและทรุดโทรม กลายเป็นร้านที่หรูหราใหญ่โตมาก หลังจากนั้นก็เจอกับหญิงชราที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นแม่หมอ ฉันถูกแม่หมอคนนั้นดูดวงชะตาให้ แล้วแม่หมอคนนั้นก็พูดอะไรแปลกๆออกมาด้วยล่ะ" "หืม...แม่หมอพูดว่าอะไรหรือ? เรื่องดีรึเปล่า? โชคลาภ? สุขภาพ? หรือว่า...ความรัก?" "ไม่มีทั้งหมดที่เธอคาดเดามาเลยสักนิดนะเหมยลี่" ฉันส่ายหน้าไปมาให้กับความซื่อบื้อของเธอ "แล้วเรื่องอะไรล่ะ ฉันขี้เกียจเดาแล้วนะ" เหมยลี่หน้าตาบูดบึ้ง เธอเบื่อและหงุดหงิดเล็กน้อยที่ตนไม่สามารถเดาคำทำนายของแม่หมอให้ถูกได้ "เรื่องความซวยกับความตายน่ะสิ" "หา? เป็นพวกต้มตุ๋นที่มาอำกันเล่นรึเปล่า?" "ไม่ใช่หรอก เพราะคุณยายคนนั้นไม่ได้เก็บเงินฉันเลยนะ จะเป็นพวกต้มตุ๋นหวังผลประโยชน์ได้ยังไงกัน?" ฉันเถียงเหมยลี่ออกไปทันที ถ้าคุณยายคนนั้นเป็นพวกต้มตุ๋นจริงๆ คงไม่เล่นฉากเปิดตัวได้อย่างลึกลับและอลังการมากถึงขนาดนี้ "แล้วเธอจะเชื่อคำทำนายนั่นจริงๆน่ะหรอ?" "ไม่ได้เชื่อ ก็แค่จะระมัดระวังตัวเอาไว้น่ะสิ ช่วงนี้ก็ยิ่งซวยๆอยู่เหมือนกัน" "ตามนั้นก็ได้" เหมยลี่ยอมรับข้อเสนอขอฉันทันที เราทั้งคู่ต่างก็ไม่เชื่อคำทำนายแปลกๆนั่น แต่ก็ไม่ผิดอะไรที่จะตั้งสติไม่ให้ตัวเองประมาท   ยามเย็น กริ๊งง!! เสียงออดของโรงเรียนดังขึ้น เป็นสัญญาณเตือนว่าโรงเรียนเลิกแล้ว นักเรียนทุกคนในแต่ละระดับชั้นเรียนต่างก็ค่อยๆทยอยกันเดินออกมาจากอาคารเรียนกันทีละเล็กทีละน้อย แน่นอนว่ากลุ่มนักเรียนที่ทยอยกันกลับบ้านนั้น ต้องมีฉันและเหมยลี่อยู่ด้วย ฉันและเหมยลี่รีบเดินออกจากโรงเรียนโดยเร็ว วันนี้ฉันจะพาเหมยลี่ไปดูร้านค้าซอมซ่อตัวต้นเหตุนั่นเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องรีบออกจากโรงเรียน   ตะวันยามเย็นเริ่มคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆจนเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาพลบค่ำ เด็กสาวสองคนต่างค่อยๆหยุดฝีเท้าลงหน้าจุดเกิดเหตุ แต่ทว่า ร้านค้าเก่าๆร้านนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันสร้างความงุนงงให้กับหมิงหมิงเป็นอย่างมาก เธอมั่นใจมากว่าเมื่อเช้าเธอไม่ได้ละเมอเพ้อฝัน หรืออ่านนิยายทะลุมิติจนเอ๋อไปแน่ๆ "ไหนล่ะร้านที่เธอพูดถึง?" เหมยลี่กล่าวขึ้น เสียงของเธอช่วยทำลายบรรยากาศความตึงเครียดลงไม่มาก ก็น้อย   เธอทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนสนิทของเธอได้รับคำทำนายแปลกๆนั้นมา "เอ...เมื่อเช้าก็ยังอยู่นี่นา?" "นั่นมันเมื่อเช้า แต่นี่มันจะค่ำแล้วย่ะ!" น้ำเสียงของเหมยลี่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอผิดหวังที่ไม่ได้พบเห็นร้านค้าเก่าๆร้านนั้นมาก และมันก็ถือว่าเธอมาเสียเที่ยว เสียเวลา เสียแรงของเธอสุดๆ "ขอโทษนะ ให้ฉันเดินไปส่งเธอดีไหม?" "ไม่ต้องเลยยัยตัวแสบ มันจะค่ำอยู่แล้ว ฉันกลับเองได้ ส่วนเธอก็รีบๆกลับบ้านได้แล้ว!" "อื้ม! งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ กลับดีๆล่ะเหมยลี่" "เธอก็ด้วย" หลังจากที่เราสองคนกล่าวลากันเรียบร้อยและได้พากันแยกย้ายกันกลับบ้าน ในตอนนี้ตะวันยามเย็นได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เสาไฟทั้งสองข้างทางก็ค่อยๆเปิดไฟสว่างขึ้น ผู้คนต่างเดินสวนทางขวักไขว่ไปมาทั้งชายและหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองเริ่มครึกครื้นขึ้นมาก   แสงไฟจากหลายแห่งต่างแข่งขันกันสว่างพราวตาของผู้คนที่พบเห็น แต่ฉันกลับคิดว่ามันวุ่นวายและน่าเบื่อเสียมากกว่า ฉันค่อยๆเดินไปตามทางเท้าเรื่อยๆ มันไม่เป็นอะไรสักหน่อยถ้าฉันจะถึงบ้านช้า...ใช่แล้ว ฉันกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่สามปีก่อน พวกท่านเดินทางไปทำงานและถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิตทั้งคู่  เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ฉันช็อกมากจนพูดไม่ได้ไปครึ่งปี หลังจากนั้นพอฉันเริ่มทำใจได้ก็ย้ายที่อยู่มาอยู่ในอพาร์ตเมนท์คนเดียว  ช่วงแรกๆฉันก็เหงาอยู่หรอกนะ แต่พอมีเหมยลี่แล้วฉันก็ไม่ค่อยเหงาแล้วล่ะ ฉันเดินไปเรื่อยๆและเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีไปด้วย ถึงจะถูกแสงไฟตามร้านค้ามากมายบดบังดวงดาวและพระจันทร์ก็เถอะ แต่ฉันก็ยังสามารถมองเห็นพระจันทร์ในคืนนี้ได้อยู่บ้าง   พระจันทร์ในคืนนี้เหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ มันน่าใจหายอย่างบอกไม่ถูก พอคิดว่าคืนพรุ่งนี้เป็นคืนเดือนมืดแล้ว ในใจฉันก็อดหวาดหวั่นกับความซวยที่หญิงชราคนนั้นทำนายดวงชะตาให้ไม่ได้ แต่ถ้าฉันไม่ประมาทฉันก็คงไม่เป็นอะไรหรอก ฉันปลอบตัวเองไปเรื่อยๆจนกระทั่งฉันเดินมาถึงที่พัก คืนนี้ก็คงต้องนอนพักผ่อนให้เต็มที่ อย่าเพิ่งไปหวาดกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดีกว่า เมื่อให้กำลังใจกับตัวเองเสร็จแล้ว ฉันจึงรีบเข้าไปในที่พักเพื่อทำการพักผ่อนทันที วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอพักผ่อนให้เต็มที่เลยก็แล้วกัน  เด็กสาวร่างบางนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่ามีร่างๆหนึ่งจ้องมองมาทางเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา  ร่างปริศนานี้ไม่ได้มีเนื้อหนังเหมือนอย่างมนุษย์ จะกล่าวว่าเป็นดวงจิตก็ไม่ผิด ดวงจิตดวงนี้เป็นของเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่ง เธอแต่งกายด้วยชุดที่ดูรุ่มรามแปลกตาแต่ก็งดงาม เธอยังคงจ้องมองร่างของหมิงหมิงที่นอนนิ่งโดยไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ดวงจิตดวงน้อยคลี่ยิ้มบางเบาไปให้หมิงหมิงก่อนที่จะเข้าไปนอนทับร่างของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียง 'ตื่นเถิด...' เสียงใสที่ไพเราะเสนาะหูดึงดูดผู้ฟังดังกังวานไปมาอยู่ในหัวของเธอ 'ตื่นเถิด...' เสียงอันไพเราะนี้ยังคงดังอยู่ข้างหูสลับไปซ้ายทีขวาทีไม่หยุด ทำให้หมิงหมิงที่นอนหลับอยู่ยอมแพ้ต่อเสียงสดใสที่คอยปลุกให้เธอลืมตาตื่นนั่นเอง 'ในที่สุดเจ้าก็ตื่น' ร่างของเด็กหญิงตัวน้อยปรากฏอยู่ต่อหน้าหมิงหมิง เธอส่งรอยยิ้มสดใสมาให้หมิงหมิง หมิงหมิงสับสนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอนนี้ เธอแค่อยากหลับต่อเท่านั้นเอง "เด็กน้อย ดึกดื่นป่านนี้ทำไมไม่รู้จักหลับรู้จักนอน หืม? เป็นลูกเต้าเหล่าใครทำไมปล่อยให้มารบกวนคนอื่นในเวลานอนแบบนี้เนี่ย?" ฉันบ่นอุบอิบไปมา ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบเด็กแบบสุดๆ และฉันเกลียดการโดนปลุกตอนกลางดึกมาก พอโดนสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกันมันทำให้ฉันแทบคลุ้มคลั่งเลยทีเดียว 'ข้ามิใช่เด็กน้อยเสียหน่อย เห็นร่างของข้าเป็นเด็กเช่นนี้ แต่ถ้าหากเทียบอายุกับเจ้าแล้ว ข้าคงเป็นบรรพบุรุษของเจ้า' "อย่ามาขี้โม้แถวนี้ กลับไปเถอะ ฉันจะนอน!" ฉันทำมือโบกไล่เด็กน้อยไปมา ไม่ว่าจะคนแก่ เด็ก วิญญาณหรือภูตผีทั้งหลายที่มากวนเวลานอนของฉัน ฉันก็เตรียมซัดเสมอ 'เอาเถิด...ไม่ช้าก็เร็วเราสองต้องได้พบกันอยู่ดี' เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มเย็นก่อนที่ร่างของเธอจะค่อยๆเลือนหายไปกับสายลม  กริ๊งง!!! เสียงนาฬิกาปลุกตัวดีดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง เสียงของมันทำให้ฉันตื่นจากการหลับใหลทันที ฉันค่อยๆเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง ฉันยืดตัวขึ้นและบิดตัวเล็กน้อยให้ร่างกายได้ตื่นตัว วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่ฉันต้องเตรียมตัวไปเรียนอีกเช่นเคยเพียงแต่วันนี้จะเป็นวันที่ความซวยของฉันได้เริ่มต้นขึ้น เอาเถอะ อย่างน้อยก็เก็บเอาคำทำนายมาเป็นคำเตือน และไม่ทำตัวเองให้ประมาทก็พอแล้ว... ฉันหันซ้ายแลขวามองสองข้างทางบนทางเดินอย่างเช่นทุกวัน อืมมม...มันก็ไม่เห็นจะผิดปกติไปจากเดิมเลยสักนิด บรรยากาศเดิมๆ ผู้คนเดินขวักไขว่สวนทางไปมาเหมือนเดิม ตึกรามบ้านช่องที่เหมือนเดิมและร้านค้าเก่าซอมซ่อที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม… เอ๊ะ? ยังอยู่เหมือนเดิม? ฉันเดินถอยหลังไปยังที่ตั้งของร้านเก่านั้นเหมือนเดิม แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อสภาพภายในร้านนั้นไม่ใช่ขายของโบราณ แต่เป็นร้านขายและเช่าหนังสือต่างหาก เอาเถอะ เดี๋ยวกลับจากโรงเรียนฉันค่อยมาแวะร้านนี้ก็แล้วกัน   ฉันเฝ้ารอให้คาบเรียนหมดไปเร็วๆคาบแล้วคาบเล่า ฉันเฝ้าจดจ่อประตูทางเข้าออกของรั้วโรงเรียนโดยไม่ละสายตา ร้านค้าเก่านั่นมันน่าสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อวานตอนเย็นที่ฉันพาเหมยลี่ไปที่ตั้งของร้านนั้น กลับไร้ร่องรอยของร้านเก่าๆนั่นแบบไร้สาเหตุ พอมาวันนี้ร้านนั้นกลับมาตั้งหลาอยู่ตรงหน้าแบบปริศนาเหมือนเดิม อย่างไรก็คงต้องไปคุยกับเจ้าของร้านให้รู้เรื่องให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ "เหม่ออะไรอยู่หมิงหมิง?" "เปล่านี่เหมยลี่" ฉันส่งยิ้มแห้งๆไปให้เหมยลี่ทันที เธอจะไม่มีทางรับรู้แผนการในใจของฉันที่จะไปร้านค้านั่นได้หรอก แน่นอน...ตราบใดที่ฉันไม่บอกเธอ เธอก็ไม่มีทางที่จะรู้อยู่ดี   เสียงออดจ๋าาา ได้ยินไหมว่านี่เสียงใครร? ขอร้องล่ะ รีบๆส่งเสียงกริ๊งๆที่ไพเราะเสนาะหูของเธอมาสักที!   กริ๊งง!!! เสียงออดเลิกเรียนจากสรวงสวรรค์ได้ตอบรับคำขอในใจของฉันแล้ว! ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้และรีบกระชากกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลังทันที อนิจจังสายกระเป๋าของฉันมันดันไปเกี่ยวกับขาเก้าอี้เสียนี่... แรงกระชากกระเป๋าของฉันที่พ่วงเอาเก้าอี้มาด้วยนั้นส่งผลให้เก้าอี้ที่หนักหลายกิโลล้มลงกระแทกกับพื้นห้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่เสียงเก้าอี้กระแทกพื้นหรือจะสู้เสียงร้องที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดของฉัน? กระแทกพื้นอย่างเดียวฉันไม่ว่า แต่ทำไมจะต้องมาทับนิ้วก้อยเท้าของฉันด้วย!? ฉันโอดครวญไปมาโดยที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลยแม้แต่นิดเดียว กระแทกมาแรงขนาดนี้กระดูกฉันจะไม่หักเลยเรอะ! "หมิงหมิง!!" เหมยลี่และเพื่อนร่วมห้องต่างกรูกันเข้ามาเพื่อที่จะพยายามแบกร่างของฉันไปส่งที่ห้องพยาบาล แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ห้องพยาบาลอยู่ตึกห้าชั้นที่ห้า ตอนนี้พวกเราอยู่ตึกหนึ่ง ชั้นที่สอง พาลงบันไดว่าลำบากแล้ว พาขึ้นบันไดนี่ลำบากยิ่งกว่า!!! "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวขากลับฉันแวะคลินิกเอาก็ได้" ฉันหันไปพูดกับเหมยลี่และเพื่อนร่วมห้องทุกคน เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง "จะไหวจริงๆหรือ? เธอโดนเก้าอี้ทับแรงเสียขนาดนั้น..." "ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ ฉันกลับเองได้ ขอบคุณพวกเธอมากนะ!" "เอ่อ..." "ฉันกลับแล้วน้าา~ บ๊ายบาย!" ฉันชิงตัดบทพูดของทุกคน สายตาของเพื่อนๆต่างพากันมองหน้ากันไปมาแบบงงๆ ฉันรีบวิ่งไปยังรั้วทางเข้าออกของโรงเรียนโดยลืมความเจ็บปวดที่ถูกเก้าอี้ตัวนั้นทับที่นิ้วก้อยเท้าอย่างแรงไปเสียสนิท ฉันทั้งวิ่งทั้งเดินทั้งกระโดดเพื่อให้ถึงร้านค้าเก่าๆร้านนั้นโดยเร็ว ในใจของฉันได้คิดแต่เรื่องร้านค้าเก่าๆร้านนั้นอยู่ตลอดเวลาในระหว่างเดินทางกลับบ้านของฉัน แต่มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งรีบยิ่งช้าเสียอย่างนั้น ฉันจึงเลือกที่จะเดินไปแทนวิ่ง เพราะพลังงานในตัวของฉันมันใกล้จะหมดลงเต็มที   ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงมาทุกที ท้องฟ้าตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนจากสีส้มเป็นสีชมพูปนน้ำเงิน ใช่...มันใกล้ค่ำแล้ว และจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ถึงร้านค้านั่นเลย ยิ่งวิ่งหรือเดินก็ยิ่งรู้สึกจุดหมายปลายทางมันห่างไกลออกไปทุกที เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสีรัตติกาลทั่วท้องฟ้า ฉันถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งบนทางเดินด้วยความอ่อนล้า ความเจ็บปวดจากนิ้วก้อยเท้าค่อยๆทวีความเจ็บปวดมากขึ้นจนร้าวมาถึงขา ในตอนนี้ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะเดินสักก้าวสองก้าว ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์ในคืนก่อนที่ยังเหลือเศษเสี้ยวความสว่างเอาไว้ให้ บัดนี้กลับเหลือแค่เพียงความมืดมิดและแสงจากดวงดาวที่มีเพียงเล็กน้อย ฉันใจหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกหรือว่าคำทำนายของแม่หมอจะเป็นจริง? ไม่หรอก ฉันจะไม่ประมาทอย่างเด็ดขาด   ฉันได้ใช้เวลาในการพักเหนื่อยอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อที่จะเติมพลังก่อนตัดสินใจฮึดสู้กับการเดินทางกลับบ้านอีกครั้ง คราวนี้ฉันไม่นึกถึงร้านเก่าบ้าๆนั่นแต่นึกถึงบ้านแทน ความคิดของฉันมันดูโง่เง่า แต่ทว่า ใครจะไปคิดว่ามันกลับได้ผลจริง? จากที่เดินไม่ถึงบ้านสักที ตอนนี้ฉันได้เริ่มเข้าใกล้ละแวกบ้านของฉันแล้ว ฉันไม่นึกถึงร้านบ้านั่นอีกต่อไป ฉันรีบสาวเท้าและก้าวยาวๆไปตามทางเท้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนแม้แต่สิ่งที่กำลังจะตกลงมา แอ๊ด.. แอ๊ด.. เสียงของป้ายร้านค้าที่แกว่งไปแกว่งมาดังเข้ามาในหูของผู้คน ทำให้คนในละแวกนั้นต่างพากันหันไปมองในจุดเดียวกัน...ป้ายนั้นกำลังจะตกลงมา ผู้คนล้วนลุ้นระทึกว่าป้ายจะตกมาเมื่อไหร่และตอนไหน กลุ่มฝูงชนพากันหนีรัศมีของป้ายที่ทำท่าจะตกลงมา จึงทำให้หน้าร้านค้านั้นมีพื้นที่เป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ล้อมหน้าร้าน   ไม่มีผู้ใดกล้าเดินเข้าไปในครึ่งวงกลมนี้เพราะกลัวจะถูกป้ายหล่นทับใส่ตน แต่มีเด็กสาวคนหนึ่งหาได้สนใจไม่ เธอได้ตีฝ่าครึ่งวงกลมของฝูงประชาชีเข้าไปทันที เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น ตรงไหนโล่งๆและเดินสะดวกเธอก็เลือกที่จะผ่านทางนั้น "นี่เธอ!! ระวังป้า--!!!" ตึงงงง!!! เสียงของป้ายที่หล่นลงมาบนทางเดินดังก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กสาวคนนั้นที่เดินแทรกเข้าไปในครึ่งวงกลมป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีใครรู้ รู้เพียงว่าบนพื้นทางเดินที่ป้ายตกลงมายุบและร้าวเป็นบริเวณกว้างขนาดนี้ เทียบกับร่างของเด็กสาวแล้ว ก็คงไม่ต้องพูดถึง "อาา เกือบไปแล้ว!" ผู้คนหันไปตามเสียงใสของเด็กสาวทีละคน สองคนจนหันไปหาเธอทั้งหมดบริเวณ พวกเขาต่างโล่งอกที่เธอปลอดภัยดี ทว่ายังไม่ทันโล่งอกเต็มที่ก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก   เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! โคมประดับแบบจุดไฟของร้านอาหารค่อยๆปะทุขึ้นมาทีละดวง จนกระทั่งไฟเริ่มลุกไหม้โคมประดับ หน้าร้านนั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังก่อตัว เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่หน้าร้านอาหารเพียงคนเดียว เปลวไฟค่อยๆใหญ่ขึ้นและอาณาเขตของไฟก็เริ่มขยายขึ้น ส่งผลให้ความร้อนระอุแผ่ไปทั่วบริเวณ จนผู้คนที่อยู่ห่างจากเธอเพียงห้าก้าวก็ยังร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว   แล้วเด็กสาวคนนั้นล่ะ?   "เฮ้ย! ไฟไหม้!" เด็กสาวอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ และไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นอยู่ใกล้ไฟมากที่สุด เธอรีบตั้งสติขึ้นมาแล้วถามหาน้ำจากผู้คน "ฉันมีแต่น้ำในขวด" "ฉันด้วย" "ผมก็ด้วย" "น้ำขวดคงไม่พอดับไฟที่แรงขนาดนั้นหรอก" เสียงของผู้คนเริ่มดังขึ้น และต่างคนต่างออกความเห็นกันว่าน้ำในขวดเพียงไม่กี่ขวดคงไม่สามารถดับไฟที่แรงขนาดนี้ได้เป็นแน่ "หลังร้านนี้มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่สระหนึ่ง ลองไปตักมาดับไฟกันดีไหม?" เเละแล้วเสียงของหนึ่งในฝูงชนที่มุงดูเหตุการณ์ก็ได้เสนอความคิดเห็นขึ้นมา เสียงตอบรับที่เห็นด้วยกับเขาคนนี้ก็ค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน "สระน้ำที่ผมพูดถึงอยู่ในสวนหลังร้านอาหาร ทางเข้าประตูหน้าก็ถูกไฟล้อมเอาไว้ ส่วนทางเข้าสวนมันก็เล็กและแคบเกินไป พวกเราไม่สามารถเข้าไปได้ แต่...เธอเข้าไปได้"   ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของความคิดเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว และโบ้ยความรับผิดชอบนี้มาให้กับหมิงหมิง "เอ่อ...ฉันตัวเล็กก็จริง แต่ก็ใช่ว่าฉันจะมีแรงยกถังน้ำเข้าๆออกๆนี่นา แล้วเจ้าของร้านเขาจะไม่ว่าเอาหรืออย่างไร?" "ไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะเจ้าของร้านก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แหละ ส่วนเรื่องถังน้ำ...เธอตักน้ำเสร็จแล้วก็เอาถังมาวางไว้ด้านนอก เดี๋ยวผมจะหาคนมาช่วยยกให้ก็แล้วกัน" "ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้าน แล้วทำไมคุณถึงไม่ใช้กุญแจเปิดประตูรั้วเอาเองล่ะคะ?" "ผมทำกุญแจหายน่ะ" "..." ฉันยืนทำหน้าบู้บี้ใส่ชายร่างสูงโปร่งคนนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็เหมือนกับบังคับให้ฉันไปตักน้ำจากสระมา อ้างว่าฉันตัวเล็กแต่คนอื่นที่ตัวเล็กก็มีอยู่ถมเถไป! ฉันก่นด่าเขาอยู่ในใจอย่างเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ต้องเดินคอตกเพื่อไปตักน้ำมาดับไฟให้ทันท่วงที ฉันพยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะเข้าไปด้านในรั้วได้ง่ายๆ ฉันลากถังน้ำสิบกว่าใบตามหลังมาด้วย เท้าเล็กสองข้างของฉันค่อยๆหยุดอยู่หน้าสระน้ำ แต่ฉันไม่มีเวลามาชมวิวทิวทัศน์อะไรใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้ต้องดับไฟก่อน!  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD