จากนั้นภาคินต้องเลี้ยงดูลูกสาววัยห้าขวบเพียงคนเดียว นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ชาย ที่วันๆ เอาแต่มุมานะทำงาน กลับต้องมาเลี้ยงลูกด้วย ภาคินค่อนข้างเครียดกับปัญหาชีวิต แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ กระทั่งบุตรสาวก้าวเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย
แต่เมื่อไม่กี่วันภาคินโทร.มาปรึกษาปัญหาหนักอกกับสถิตซึ่งเป็นเจ้านายเก่า ที่ทั้งสองรักมักคุ้นราวกับเพื่อนสนิท จากนั้นเสี่ยสถิตจึงถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับภรรยาฟังจนหมดเปลือก ดังนั้นด้วยความสงสารยอดยาหยี ที่ต้องมาเดือดร้อนกับสิ่งที่บิดาได้ก่อไว้ วิมาลาจึงเต็มใจจะรับยอดยาหยี มาดูแลให้เป็นการชั่วคราว ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่าชั่วคราวจะยาวนานกี่วัน กี่เดือน กันแน่
“หนูหยี อยู่กับป้านะ ไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ...ค่ะ” ยอดยาหยีไม่กล้าตอบรับเต็มปากเต็มคำ เธอแทบไม่รู้จักมักคุ้นกับคนที่นี่ จะให้มาอยู่ร่วมชายคากันอย่างสนิทใจได้อย่างไร บ้านเธอแม้จะเล็กกว่าที่นี่มากหากแต่อยู่แล้วมีความสุข อดมื้อกินมื้อก็ยังสุข แม้จะมีแค่พ่อเพียงคนเดียวคอยคุ้มภัยก็ตาม เธอเหงาว้าเหว่ หลังจากที่แม่จากไป แต่ก็ยังมีพ่อ แต่บัดนี้พ่อกลับส่งเธอมาฝากไว้กับคนอื่น ด้วยเหตุผลที่พ่ออธิบายมา
“ผมขอฝากลูกด้วยนะครับคุณวิ”
“อย่าห่วงเลยหยีก็เหมือนลูกฉัน ฉันรักแม่ฟองกับคินยังไง ก็รักทายาทอย่างนั้น” วิมาลาเป็นผู้หญิงที่ใจดีไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนร่ำรวย แต่อย่างใด
ดังนั้นคิดว่าภาคินคงจะหายห่วงเรื่องฝากยอดยาหยีไว้กับบ้านนี้
“หยี ทำตัวดีๆ นะ อยู่บ้านท่านช่วยท่านทำงาน อย่านิ่งดูดาย ป๋าจัดการกับปัญหาได้เมื่อไหร่ จะกลับมารับกลับบ้าน”
“ป๋า” ยอดหยาหยีครางเรียกบิดา ดวงตาพานน้ำตาจะเอ่อ จมูกเริ่มแดงก่ำ ด้วยกักเก็บความอาวรณ์บิดาไว้ ท่านจากไปไม่รู้จะเจออะไรข้างนอก เธอห่วงท่านนัก
“ป๋าไปนะหยี”
“ป๋า” เป็นอีกครั้งที่ยอดยาหยี ต้องเรียกขานบิดา อย่างใจหาย
“ผมไปก่อนนะครับคุณวิ ฝากยัยหยีด้วยครับ”
“จ้ะโชคดีรักษาตัวด้วย”
ภาคินก้าวออกจากห้องรับแขก ไปขึ้นรถของตัวเอง ลำพังชีวิตเขาไม่เป็นอะไร ขอให้บุตรสาวปลอดภัยเท่านั้นเป็นพอ เงินที่เขาติดที่บ่อน ติดพวกเงินกู้นอกระบบ เขารู้ดีว่าไม่รู้จะหาที่ไหนมาใช้ แล้วเมื่อไหร่ตัวเองจะได้กลับมารับลูก และถ้าหอบไปด้วยกัน เขานั้นประกันความปลอดภัยของตัวเองไม่ได้ ลูกยิ่งแล้วใหญ่ สู้นำมาฝากกับคนที่ไว้ใจได้เป็นการดีที่สุด
ยอดยาหยีอาลัยบิดาที่เคลื่อนรถผ่านหน้าประตูคฤหาสน์ สกุลก้องพาณิชย์ เธอยืนเหม่อลอยมองหลังรถที่ค่อยไกลออกไปอย่างใจหาย
ขณะเดียวกันหน้าบ้านก็มีรถคันหรูสีดำเงาวับ แล่นสวนเข้ามาแต่ยาหยีไม่ได้สนใจยานพาหนะคันหรูที่แล่นมาจอดตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ดวงตายังละห้อยหาบิดาราวกับคนเป็นไข้หนัก ใครบางคนที่นั่งหลังพวงมาลัยได้ก้าวออกจากตัวรถ
เขาผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง สมส่วนในชุดสูทสีเทา ดวงหน้าถอดแบบวิมาลามาอย่างชนิดโขกกันออกมาเลยทีเดียว คิ้วสองข้างดกดำ พาดผ่านบนดวงตารียาว จมูกช่างโด่งคมสัน ผิวขาวละเอียด ดั่งคนแบบคนรวยโดยขนานแท้ ความสูงของเขาไม่น่าน้อยกว่า๑๘๕ เซนติเมตรเป็นแน่ แล้วริมฝีปากเขาช่างได้รูปมีสุขภาพ ปลายครางล้อมกรอบด้วยตอหนวดเคราที่ขึ้นเขียวครึ้มนิดๆ ลูกกระเดือกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยการกลืนน้ำลายลงคอ
“รับสาวใช้คนใหม่เหรอครับม้า” เสียงทุ้มเอ่ยถามมารดา เสียงเขานุ่มละมุนเสนาะหูมาก หากแต่ว่าคำถามช่างเกาะกินใจคนฟังที่เป็นคนนอกครอบครัวอย่างยอดยาหยี ซะจริงเชียว
“หมายความว่าอย่างไรปราบ”
“ก็ยัยเด็กใส่ชุดนักศึกษาหน้ามอมคนนี้ไงครับ”
“อ้อ...หนูหยีลูกเพื่อนป๊า เดี๋ยวม้าเล่าให้ฟัง เข้าบ้านก่อนเถอะกลับมาเหนื่อยๆ”
หลังจากเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ยอดยาหยีถูกแนะนำให้รู้จักกับ ปราบพิชิต สกุลก้องพาณิชย์ บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลมั่งคั่งนี้ หญิงสาวพนมมือไหว้ตามความอาวุโส อยู่บ้านท่านเธอคงต้องฝากเนื้อฝากตัว อยู่อย่างเจียมตัว เขาจะให้เป็นคนรับใช้ก็ต้องยอมรับสภาพ
“ฉันให้หวินจัดห้องไว้ให้เธอแล้ว ตามหวินไปนะ หวินเอ้ย” วิมาลาเรียกสาวใช้ จากนั้นสาวใช้คนที่ จึงเดินออกมา หล่อนระบายยิ้มให้กับยอดยาหยี ส่วนหญิงสาวยิ้มตอบ แต่เป็นยิ้มเหงาๆ ทั้งๆ ที่อนาคตเธอควรจะสดใส ได้เรียนเทอมสุดท้ายให้จบ แต่กลับต้องมาอยู่กับคนอื่นซะแบบนี้
“เจ้าค่ะคุณผู้หญิง”
“พาหนูหยีไปดูห้อง พาไปอาบน้ำหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนซะ”
“ค่ะคุณผู้หญิง” หวินรับคำแล้วปรายตาไปทางยอดยาหยีที่นั่งอยู่ตรงพื้นข้างโซฟา ซึ่งเจ้านายทั้งสองนั่งอยู่ แล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายตามไป
ยอดยาหยีลุกเดินตามไปด้วยมารยาทอันดี พร้อมกับหอบกระเป๋าสะพายที่ใช้ติดกายประจำเวลาไปเรียน และหนังสือเรียนของวันนี้ ไม่รู้ว่าเธอจะได้ไปเรียนหรือไม่ ไม่อยากดรอปการเรียน เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะสอบปลายภาค ดังนั้นหญิงสาวคิดคงต้องหาทางไปเรียนให้ได้ แม้ว่าบิดาจะกำชับห้ามออกไปไหน จนกว่าท่านจะมารับก็ตามที
“นี่นะห้องเธอแม่หยี” หวินเปิดประตูห้องเล็กๆ หลังบ้านขนาดใหญ่โตให้หญิงสาวดู “อยู่ได้มั้ย”
“ได้ค่ะป้าหวิน” เธอเรียกสาวใช้แต่งกายด้วยยูนิฟอร์ม เพราะน่าจะอายุอานามราวๆ บิดาหรือแก่กว่านิดหน่อย
“อยู่ไปก่อน ในห้องมีของใช้เล็กๆ น้อยๆ แล้ว ขาดเหลืออะไรก็บอกป้าแล้วกัน”
“ขอบคุณป้าหวินมากนะคะ”
“ไม่เป็นไร ช่วยๆ กัน เดี๋ยวป้าจะไปพบคุณผู้หญิงอยู่คนเดียวไปก่อนนะ อ้อ...ไม่คนเดียวหรอก คนรับใช้ที่บ้านนี้มีเป็นสิบ มีมากกว่าเจ้านายซะอีก เพราะบ้านใหญ่โต ทำงานแค่คนสองคนไม่ไหว”
“ค่ะป้าหวิน” หญิงสาวรับคำ จากนั้นหวินจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านผ่านทางประตูหลังอีกครั้ง ทิ้งให้สาวน้อยได้ทำความคุ้นเคยกับที่อยู่ใหม่ลำพัง
“ลูกเต้าเหล่าใครล่ะม้า”
“ลูกของลูกน้องป๋า”
“ให้อยู่ในฐานะอะไรครับ”
“ผู้อาศัย ไม่ได้อยู่แบบคนรับใช้หรอก สงสารเขา ภาคินติดหนี้จนล้นพ้นตัว เจ้าหนี้ตามทวงหนี้ ทั้งจะเอาชีวิต อาฆาตจะจัดการกับลูกสาวด้วย เขาห่วงลูกจึงขอความช่วยเหลือป๊า ม้าเห็นว่าพอช่วยได้ช่วยๆ กันไป ปราบคงไม่รังเกลียดหนูหยีนะ”
“ใครจะไปว่าอะไรล่ะม้า ดีซะอีกได้ช่วยคนถือว่าได้บุญ ผมไปอาบน้ำก่อนนะ ทำงานมาทั้งวันเหนียวตัว” ปราบพิชิตเอ่ยขอตัวกับมารดา วันนี้ตะเวนประชุมกับลูกค้าหลายที่ แล้วก็ทำอย่างอื่นมาด้วย จึงรู้สึกเพลียนิดหน่อย
“จ้าไปเถอะ”
เขาลุกขึ้นพร้อมกับคว้าเสื้อสูทที่พาดไว้ตรงพนักวางแขนโซฟาหลุยส์ ซึ่งได้สั่งนำเข้ามาจากอิตาลี แล้วตวัดพาดบ่า เดินขึ้นบันไดโค้งหินอ่อนไปยังชั้นสองตัวบ้าน เพื่อเข้าห้องพักผ่อนตามที่ได้บอกมารดาไว้
ในวันต่อมาที่ปราบพิชิต ต้องไปทำงานตามเวลาปกติ ขณะที่เขาเดินออกมาเตรียมจะขึ้นรถไปทำงาน พลันสายตากลับมองเห็นสาวน้อยคนเมื่อวาน นั่งเหม่อลอยมองเส้นทาง มองประตูรั้วบ้าน ด้วยสายตาและท่าทีเศร้าสร้อย เขามองนิ่งๆ แล้วก้าวขึ้นรถ
“คงเหงาสินะ” ปราบพิชิตพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะนั่งอยู่เบาะด้านหลัง
“ว่าไงนะครับคุณปราบ”
“หึ...อะไร”
“คุณปราบพูดว่าอย่างไรนะครับเมื่อกี้”
“ไม่นี่ ผมไม่ได้พูดอะไร ลุงเกษมได้ยินว่ายังไงล่ะ”
“ผมได้ยินไม่ถนัดครับ”