ถ้าเซี่ยอิงลั่วใจกล้าสักนิดคงเงยขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของท่านอ๋องแล้วคงเห็นมุมปากที่ยกขึ้นสูงเพียงเล็กน้อยนั่นแล้ว แต่น่าเสียดายที่นางต้องแสดงท่าทีกระดากอายให้สมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่จึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่หยุด
“ที่ชายารักมาถึงห้องหนังสือชั้นในของข้าเช่นนี้ ต้องการมาถามเรื่องข่าวลือหรือว่าไม่พอใจที่ข่าวลือนั้นยังไม่เกิดขึ้นจริงกันแน่”
หมายความว่าอะไร?
เพียงใช้เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของสมองขบคิด นางก็ถึงกับเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดแทบจะทันที จากฉายาอ๋องปีศาจคงไม่พอแน่ๆ มันต้องเพิ่มคำว่าบ้าบอ ทุเรศ นิสัยไม่ดี พูดจากำกวมทำให้นางเสียหายไปอีกหลายๆ กระทง
“ท่านอ๋อง”
คำเรียกที่แฝงเร้นด้วยความไม่พอใจนั้นทำให้เว่ยจิ่นอิ่งหมุนตัวกลับมาแล้วเขาก็ทันได้เห็นดวงตากลมโตที่เคยถูกเปลือกตาบอบบางปิดลงในยามค่ำคืนเบิกกว้างมองด้วยความหงุดหงิด แต่พอมองให้ชัดเจนกลับเหลือแค่เพียงใบหน้าที่รีบก้มลงต่ำ มองไม่เห็นความดื้อรั้นใดๆ อีก ท่าทีเช่นนั้นทำให้เขาต้องเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาถึงหนึ่งส่วนเลยทีเดียว
“เจ้าจะตอบคำถามเมื่อสักครู่ของข้าว่าอย่างไรเล่า”
“หม่อมฉัน...หม่อมฉัน...”
ในหัวของเซี่ยอิงลั่วในตอนนี้ไม่มีอะไรเลย นางที่เป็นอรัญญิกาถือว่าโง่เง่าที่สุดในชั้นเรียน คิดไม่ถึงจริงๆ พอมาอยู่ในร่างที่ดูอย่างไรก็ฉลาดผ่านการเรียนจากหลายตำรา ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีเพียบพร้อมที่สุดในเมืองหลวงยังถูกความโง่จากชาติก่อนของนางข่มจนใช้งานไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้ต้องตอบว่าอะไรเล่า
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็รับรู้ถึงกระแสอุ่นร้อนจากพระวรกายของท่านอ๋องที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมกับถ้อยคำกระซิบนุ่มนวลแผ่วเบาผิดกับคำพูดคำจาเมื่อครู่ลิบลับ
“ถ้าอยากให้เป็นจริง ก็ราตรีนี้เป็นอย่างไร”
“ท่านอ๋อง” เป็นครั้งแรกที่เซี่ยอิงลั่วเบิกตาขึ้นแล้วจ้องคนพูดอย่างตื่นตระหนก
“ลั่วลั่วเห็นด้วยหรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มชวนให้หวั่นไหวกับดวงตาดำเข้มที่มองอย่างไรก็มองไม่เห็นก้นบึ้งนั้นทำเอานางถึงกับเม้มปากแน่น ร่างกายบอบบางดุจกิ่งหลิวเอนหนีโดยทันที ถ้าไม่ติดว่านางคือพระชายาและเขาเป็นถึงท่านอ๋องห้าแห่งราชวงศ์เว่ยละก็คงได้ผลักอกอีกฝ่ายแล้ววิ่งหนีไป ไม่ใช่ยืนใจเต้นระทึกอยู่เช่นนี้หรอก ตอนนี้นอกจากดึงรั้งความตั้งใจเดิมกลับมาก็มองไม่เห็นหนทางอื่นอีก นางจึงได้แต่ขยับถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วยอบกายลง
“ด้วยบารมีของท่านอ๋อง หม่อมฉันหวังว่าจะไม่มีข่าวลือใดๆ เล็ดลอดออกมาอีกนะเพคะ”
เว่ยจิ่นอิ่งขยับมือไพล่หลังเอาไว้ขณะโน้มใบหน้าเข้าใกล้หวังจะได้มองตาพระชายาของตนให้ชัดขึ้น แต่ท่าทีกับคำพูดนั้นแตกต่างราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว “ลั่วลั่วของข้าหมายความว่า จะให้ฆ่าสังหารคนแพร่ข่าวลือเช่นนั้นหรือ” อ้อ! คนที่ต้องสังหารคงเป็นตัวเขาเองกระมัง ในเมื่อข่าวลือพวกนั้นเขาเป็นคนสั่งให้ อี้เทาไปจัดการทั้งสิ้น
“ไม่ยักรู้ว่าพระชายาของข้าโหดร้ายถึงเพียงนี้”
“ท่านอ๋อง”
“อืม...เจ้าช่างเหมาะสมกับอ๋องปีศาจอย่างข้ามาก จริงหรือไม่?” คำว่าจริงหรือไม่มาพร้อมกับท่อนแขนกำยำของ เว่ยจิ่นอิ่งยื่นไปเกี่ยวเอาเอวเล็กบางของเซี่ยอิงลั่วเข้ามาแนบชิด ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นดวงตาดำขลับเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกเช่นนั้นเขาก็ยิ่งอยากจะกอดรัดนางให้แนบแน่นขึ้นไปอีก
เอาจริงๆ เถอะ ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันเป็นนักเรียน มอปลายเคยถูกเพื่อนชายโอบกอด แต่เป็นโอบไหล่ดึงแขนกันมากกว่า ประเภทกอดเอวแบบนี้เว่ยจิ่นอิ่งเป็นคนแรกเลยจริงๆ ดังนั้นหัวใจสาวน้อยวัยสิบหกสิบเจ็ดจึงเต้นถี่รัวอย่างยากจะควบคุมได้ แถมสองแก้มเนียนระเรื่อดุจกลีบเหมยนั้นยังร้อนผ่าวอีกด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ดวงตากลมโตประสานกับดวงตาดำเข้มของบุรุษผู้เพียบพร้อมแถมยังได้ฉายาว่าโหดเหี้ยมที่สุดในหมู่ขององค์ชายด้วยกัน ทำเอาเซี่ยอิงลั่วทั้งหวาดหวั่น ตื่นตระหนก แล้วอีกความรู้สึกหนึ่งไม่รู้จริงๆ ว่าคืออะไร
แต่นางกำลังได้ยินเสียงหัวใจของตนเองใช่หรือไม่ เต้นตึกๆ นั่น
ดังนั้นก่อนจะเผยความรู้สึกส่วนลึกให้เขาได้รับรู้จึงต้องรีบขัดขืน
“ท่านอ๋องทรงปล่อยหม่อมฉันก่อนเพคะ”
“ทำไมเล่า สามีอย่างข้าจะกอดภรรยาไม่ได้เชียวหรือ”
“ท่านอ๋อง”
“ทั่วทั้งแคว้นเว่ยเทียนต่างก็รับรู้กันว่าเจ้าแต่งเข้าวังอู่เทียนของข้าแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก”
“ท่านอ๋องแต่ว่า...หม่อมฉัน...หม่อมฉัน...”
จะพูดอะไรดีล่ะ หากบอกว่ายังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาก็ไม่ได้เพราะกลัวถูกลากขึ้นเตียงไปทำอะไรๆ อย่างว่ากันจริงๆ จึงได้แต่ใช้สมองอันน้อยนิดขบคิดก่อนจะละล่ำละลักออกมา
“ท่านอ๋องทรงงานอยู่ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
อาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองรังแกสตรีอย่างนางมากแล้ว เวลาที่เซี่ยอิงลั่วขืนกายออกจากวงแขน เว่ยจิ่นอิ่งก็ไม่ได้หักห้ามอะไรแถมยังยอมปล่อยแต่โดยดีอีกด้วย ทว่าท่าทางรั้งชายกระโปรงแล้ววิ่งหนีออกไปราวกับโดนศัตรูไล่ล่าเช่นนั้นทำให้อดส่ายหน้าไม่ได้จริงๆ แต่เพียงครึ่งถ้วยชาสีหน้ากับแววตาเมื่อครู่ของจิ่นอ๋องพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นพร้อมกับน้ำเสียงเข้มห้วนเล็ดลอดออกมา
“อี้เทา”
ไม่รู้ว่าองครักษ์จางอี้เทาที่หมุนกายออกไปนั้นกลับเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เพราะตอนนี้อีกฝ่ายมาประสานมืออยู่เบื้องหน้า
“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยจิ่นอิ่งเหลือบตามองวงแขนที่ว่างเปล่าของตนแล้วแววตาพลันดำมืด ก่อนจะตรัสสั่ง “ไปสืบเรื่องคุณหนูสามมา ข้าอยากรู้ว่าก่อนเข้าวังมีอะไรเกิดขึ้นกับนางบ้าง”
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบเช่นเดิม ทว่าองครักษ์คนสนิทก็ยังรู้ดีว่างานนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกแล้ว เมื่อสักครู่นี้ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาต้องมีอะไรผิดแปลกเกิดขึ้น เขาจึงทำได้เพียงประสานมือรับคำ “กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของท่านอ๋อง มีแค่เพียงมือที่ยกขึ้นเล็กน้อยแล้วรอบกายไม่มีเงาร่างขององครักษ์คนสนิทอีกต่อไป สิ่งที่รั้งความสนใจของเว่ยจิ่นอิ่งได้จึงมีเพียงกระดาษเซวียนจื่อแผ่นใหญ่กับหมึกสีดำที่ถูกเจ้าตัวละเลงลงจนเต็มหน้ากระดาษเท่านั้น ทว่าตรงกลางความดำมืดกลับปรากฏเงาร่างสีขาวของสตรีที่มองเท่าไรใบหน้ากลับไม่ชัดนัก แต่ชายชุดลายบุปผานั้นกลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง