“ขึ้น...ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว” ในกระจกทองแดงนั้นเซี่ยอิงลั่วเห็นดวงตาของตนเบิกกว้างราวไข่ห่าน “มะ...หมายความว่ายังไง”
เสี่ยวจือยิ้มล้อเลียน “ก็คุณหนูต้องแต่งเข้าวังอู่เทียนเป็นพระชายาของท่านอ๋องห้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ หรือคุณหนูลืมไปแล้ว”
“แต่งเข้าวังอู่เทียน”
“เจ้าค่ะ”
“ในอีกสองราตรีหรือ”
“วันที่สิบสี่เดือนหกที่จะถึงนี้เป็นฤกษ์ดี จึงเป็นวันที่คุณหนูของบ่าวต้องออกเรือน บัดนี้ฮูหยินทั้งสองต่างก็ยุ่งวุ่นวายเตรียมการไม่หยุดหย่อน ถ้าหากคุณหนูแข็งแรงกว่านี้คงได้รับการอบรมจากหมัวมัวสูงศักดิ์แล้ว ทว่าคุณหนูป่วยใต้เท้าจึงออกปากขอร้องไว้ก่อน เอาไว้คุณหนูเข้าวังอู่เทียนเป็นพระชายา จิ่นอ๋องค่อยรับการอบรมสั่งสอนในฐานะสะใภ้แห่งเชื้อพระวงศ์ เห็นไหมเจ้าค่ะ ใต้เท้ากับฮูหยินทั้งสองดีกับคุณหนูเหลือเกิน...”
สติของเซี่ยอิงลั่วมลายหายสิ้นไปตั้งแต่ได้ยินว่าตนเองต้องออกเรือนแล้ว แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังจับสังเกตสีหน้าของเสี่ยวจือได้เป็นอย่างดี อะไรคือบอกว่าเป็นเรื่องดีแต่แววตากลับหม่นหมองราวกับนางกำลังจะตายเช่นนั้นเล่า หรือเจ้าบ่าวที่นางแต่งให้เขานั้นเป็นคนแก่ชรา ป่าเถื่อน เป็นใบ้ ขาขาด แขนขาด อ้อที่หนักสุดคงเป็นไอ้นั่นใช้งานไม่ได้
ถึงแม้จากความทรงจำที่เจ้าของร่างทิ้งไว้จะพอบอกได้ว่าอ๋องห้าเป็นใคร แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากได้ความมั่นใจอยู่ดี
“ท่านอ๋องห้าที่ข้าต้องแต่งงานด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนเช่นไร”
เสี่ยวจือส่ายหน้าด้วยแววตาเศร้าสลดยิ่งกว่าเดิม “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ได้ยินเสี่ยวหังคนสนิทของใต้เท้าบอกว่า ท่านอ๋องห้า...ทรงน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”
น่ากลัว...คงไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งปีศาจอย่างที่เห็นในซีรีส์จีนใช่หรือไม่ คงไม่มีเขางอกหรอกนะ ยิ่งจินตนาการสีหน้าของ เซี่ยอิงลั่วพลันจืดเจื่อนราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ใต้ธารน้ำลึก จากคำพูดของเสี่ยวจือนางไม่มั่นใจสักเท่าไรนัก กระทั่งก่อนเช้าวันแต่งงานจะมาถึง สีหน้าแววตาของมารดาบังเกิดเกล้านั้นชวนให้สิ่งที่คิดเอาไว้คล้ายจะเป็นจริง
มือของมารดาบีบกระชับมือนางด้วยดวงตาแดงราวกับน้ำตาจะเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงฉาน
“เจ้าอย่าโกรธเคืองท่านพ่อเลยนะ ท่านพ่อของเจ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ”
อะไรคือไม่มีทางเลือก แต่ก็นั่นแหละมาอยู่ในยุคโบราณได้หลายวัน ก็พอจะรู้ว่าชะตาชีวิตของตนล้วนขึ้นอยู่กับบิดามารดา แม่สื่อ แล้วที่สำคัญคือฮ่องเต้ นางเกิดมาเป็นคุณหนูสามแห่งตระกูลเซี่ย แม้จะเกิดจากฮูหยินรองที่มีฐานะเทียบเท่าอนุ แต่มารดาของนางหลี่ถงจือดันเป็นหลานรักของไทเฮา เป็นน้องบุญธรรมของฮ่องเต้ ด้วยฐานะนี้มารดาของนางจึงสูงส่งกว่าอนุ และอาจสูงส่งกว่าฮูหยินใหญ่ด้วยซ้ำไป ดังนั้นต่อให้พี่หญิงรองของนางเซี่ยถิงม่านมีคุณสมบัติเหมาะสมเพียบพร้อมมากเพียงใด นางผู้เป็นน้องสาวก็ยังถูกเลือกให้แต่งงานก่อนอยู่ดี ดังนั้นผ่านมาจนกระทั่งตอนนี้จึงยังไม่เคยได้เห็นพี่หญิงรองเลย ส่วนพี่ชายใหญ่ในความทรงจำนั้นก็เป็นเพียงภาพๆ หนึ่งที่จับต้องไม่ได้ อีกอย่างพี่ชายใหญ่ในตอนนี้รับบัญชาจากฮ่องเต้ไปเป็นผู้ตรวจการในเมืองแห่งหนึ่ง อีกหลายเดือนถึงจะหวนกลับเมืองหลวง
วันแต่งงานของนางจึงได้ลูกพี่ลูกน้องผู้หนึ่งแบกขึ้นเกี้ยวท่ามกลางคำพูดของแม่สื่อที่บอกว่าบุตรสาวพอแต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้าน ไม่อาจเอาดินจากบ้านเดิมติดตัวไปด้วยได้ ในยามนั้นนางมองเห็นเพียงภาพสีแดงฉานที่ปิดบังทุกมุมมองเบื้องหน้า รอบกายมีแต่เสียงชื่นชมอวยพร แต่ในเสียงอวยพรเหล่านั้นยังได้ยินเสียงท่านแม่กำลังกลั้นสะอื้น พอเห็นท่านแม่ดวงตาทั้งสองข้างพลันแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่
เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรม เซี่ยอิงลั่วจึงหลับตาลง แต่ก็อดกัดฟันโอดครวญไม่ได้ ร่างกายของนางเพิ่งจะดีขึ้นแท้ๆ กลับถูกส่งตัวขึ้นเกี้ยวแปดคนหาม ยังไม่ทันได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมจรรยาสตรีจากหมัวมัวที่ถูกส่งตัวมาจากในวังจำต้องใส่ชุดเจ้าสาวสีแดงปักลายหงส์ สวมเครื่องประดับล้ำค่าหนักอึ้งเต็มศีรษะ คลุมด้วยผ้าสีแดงปักดิ้นทองลายเดียวกันกับชุด แล้วนั่งเกี้ยวออกจากจวนตระกูลเซี่ย ด้านหน้า ด้านข้างเต็มไปด้วยเหล่าทหารหลวง ด้านหลังมีบ่าวนับร้อยคนแบกหามหีบสมบัติจากบ้านเดิม เดินตามหลังเกี้ยวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ระหว่างทางมีบุปผาโปรยปรายลงมาไม่หยุด เสียงเครื่องดนตรีนำทางคึกคัก ดูยิ่งใหญ่ตระการตาราวกับพิธีแต่งงานในซีรีส์ดัง แล้วยังไงเล่า แค่ต้องตื่นขึ้นมาในร่างของใครอีกคนที่ไม่รู้จักยังไม่โชคร้ายเท่ากับร่างกายยังไม่หายดีต้องถูกส่งตัวไปสังเวยท่านอ๋องปีศาจผู้นั้น
โชคดีที่ต่อให้ไม่รู้อะไรเลย อรัญญิกาในร่างของเซี่ยอิงลั่วก็ยังจำได้ว่า บุรุษที่นางกำลังจะแต่งงานด้วยคือ อ๋องห้า เว่ยจิ่นอิ่ง เรียกขานกันว่า จิ่นอ๋อง เป็นโอรสองค์ที่ห้าของฮ่องเต้เว่ยหนิง-หวง เกิดจากพระสนมขั้นเฟยผู้หนึ่ง แต่บัดนี้พระสนมผู้นั้นได้ตายจากไปแล้ว และด้วยความรักที่ฮ่องเต้มีให้พระสนมผู้นี้เป็นอย่างมาก ตำแหน่งสนมจึงยังคงว่างไว้ มีพระมารดาของเว่ยจิ่นอิ่งเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังมีพ่อสามีเป็นฮ่องเต้ ส่วนแม่สามีตามศักดิ์ฐานะย่อมเป็นฮองเฮาจากตระกูลจิน จินฟางหรู แม่แท้ๆ ขององค์หญิงสามเว่ยซือเซียนและพระโอรสองค์ที่สี่เว่ยตงหาน ส่วนโอรสองค์อื่นๆ จะมีแม่เป็นใครนั้นนางไม่สนใจเลยสักนิด เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือ สามีผู้ได้ฉายาว่าเป็นอ๋องปีศาจ
มีคำเล่าลือกันว่าโอรสองค์ที่ห้าผู้นี้ เหี้ยมโหดที่สุด เหี้ยมกับตนเอง โหดกับศัตรู นึกอยากฆ่าใครก็ฆ่า ในวังที่ประทับของเขาจะโชยไปด้วยกลิ่นอายปีศาจ วังเวง เยือกเย็น อันตรายยิ่งกว่าดินแดนนรกทั้งสิบแปดขุมเสียอีก ว่ากันว่าทั้งเมืองหลวงไม่มีสตรีจากตระกูลใดปรารถนาจะสมรสเข้าวังอู่เทียนของอ๋องห้าเลยแม้แต่น้อย แต่โชคร้ายก็ตรงที่ต่อให้มีอำนาจมากล้นเพียงใดย่อมต้องพ่ายแพ้ให้แก่ราชโองการสีทองขององค์ฮ่องเต้ทั้งสิ้น ดังนั้นด้วยอำนาจในมือการทำให้อัครเสนาบดีฝ่ายขวาอย่างเซี่ยหลิวยอมยกบุตรีสุดรักให้แต่งเข้าวังอู่เทียนจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด นั่นคือเหตุผลที่เซี่ยอิงลั่วนั่งหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับอยู่ในเกี้ยวท่ามกลางเสียงคึกคักในเพลานี้นั่นเอง
ไม่ว่าภายนอกจะมีเสียงอึกทึกคึกโครมมากเพียงใด นางก็ยังอดนึกถึงคืนที่สามในยุคนี้ไม่ได้ วันนั้นนางบังคับให้เสี่ยวจือ ประคองร่างกายอ่อนแรง ฝ่าลมใบไม้ผลิในช่วงพลบค่ำไปยังบึงน้ำด้านหลังเรือน ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยเหล่าดอกบัวสีสันงดงาม นางยืนอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง เฝ้าคิดทบทวนถึงยามพลัดตกลงไป แต่ไม่ว่าจะขบคิดเท่าใดก็นึกอะไรไม่ออกเลย จากคำบอกเล่าของเสี่ยวจือมีอยู่ว่า ตั้งแต่นางพลัดตกน้ำ บ่าวรับใช้ที่ติดตามในเวลานั้นล้วนถูกลงทัณฑ์ บ้างก็ถูกโบยจนตาย บ้างก็ถูกส่งขายไปยังชายแดน ถ้าวันนั้นเสี่ยวจือไม่ถูกสั่งให้เฝ้าเรือนละก็ ตอนนี้คงไม่มีเสี่ยวจืออีกแล้ว
ตั้งแต่ยามนั้น จึงมีคำถามหนึ่งติดในใจเซี่ยอิงลั่วอยู่เสมอ นั่นคือ ไม่มีทางที่คุณหนูสามจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเป็นแน่ ถ้าไม่อยากตายด้วยตนเองก็คงเหลือแค่เพียง มีผู้อื่นคิดฆ่า แล้วใครคิดฆ่านางกัน เหตุใดคนผู้นั้นถึงได้อยากให้นางตาย ความสงสัยเหล่านั้นประเดประดังเข้ามาไม่หยุด บวกกับการแบกห้ามเกี้ยวแสนนุ่มนวลไร้การโยกคลอนเคลื่อนไปตามท้องถนนอันคับคั่งไปด้วยผู้คน ทำให้เซี่ยอิงลั่วยากจะเบิกตาได้อีก จึงค่อยๆ หลับไป ศีรษะหนักอึ้งเอนพิงมุมหนึ่งของผนังเกี้ยว โดยไม่รู้เลยว่าในยามที่สายลมพัดผ่านบางเบานั้น ทำให้ผ้าม่านที่ทิ้งตัวปิดกั้นคนในเกี้ยวจากภายนอกพัดพลิ้วขึ้น ภาพนางหลับใหลจึงไม่พลาดจากสายตาคมกริบของสองบุรุษผู้นั่งจิบสุราอยู่บนหอชุนหลันซึ่งเป็นเส้นทางผ่านไปยังวังอู่เทียนในทิศตะวันตกของเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย
ไอกรุ่นร้อนของน้ำชามีชื่อพวยพุ่งออกจากกาน้ำชา ก่อนจะมีชายในชุดดำผู้หนึ่งเทลงถ้วยใบเล็กยื่นให้กับบุรุษผู้หล่อเหลาคมคายทั้งสองท่านด้วยท่าทางอ่อนน้อมยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง
หนึ่งบุรุษนั่งนิ่งดูเย็นชาดุจน้ำแข็ง อีกหนึ่งบุรุษนัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายแววแผดเผาชวนให้ใจของคนอยู่ใกล้ไม่สงบเลย เสียงฝาน้ำชาถูกยกปาดกระทบเบาๆ แต่กลับส่งเสียงกังวานไปทั่วทั้งห้อง มุมปากของบุรุษท่าทีเย็นชายกขึ้นเล็กน้อย พลางเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“น่าสนใจ ช่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”
แม้ภายในห้องจะเงียบสงบ มีเพียงการยกถ้วยน้ำชาดื่มชิมตามปกติ ทว่าองครักษ์จาง จางอี้เทาในวัยยี่สิบห้ากลับอดเหลือบมองสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ด้านขวามือไม่ได้ ยามนี้จิ่นอ๋องของเขาไม่ใช่ต้องสวมชุดพิธีการสีแดงมงคลนั่งอยู่บนหลังม้าเคียงข้างเกี้ยวแปดคนหามหรอกหรือ ไม่เสด็จไปรับเจ้าสาวด้วยตัวเองยังไม่เท่าไร แต่นี่แม้แต่งานเลี้ยงในวังอู่เทียนก็ทรงปลีกตัวหนีออกมา ดูท่าทีแล้วไม่ได้คิดจะหวนกลับไปร่วมงานเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับว่าเป็นงานเลี้ยงแต่งงานของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
และบุรุษเย็นชาคงเห็นท่าทีของจางอี้เทาถึงได้เยี่ยมหน้ามากระซิบใกล้ๆ ผู้เป็นน้องชาย “จิ่นอิ่ง เจ้าไม่กลับวังหรือ อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามขบวนเจ้าสาวคงถึงวังอู่เทียนแล้วกระมัง”
อีกฝ่ายเหลือบดวงตาดำเข้มดุจบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งขึ้นเพียงเล็กน้อย จิบน้ำชาด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อนเอ่ยว่า “เรื่องอื่นใดหาได้สำคัญเทียบกับการดื่มชาเลิศรสกับพี่สามไม่”
“น้องห้าเกรงใจไปแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า พี่สามมีหรือจะกล้ารั้งเจ้าไว้”
“แน่นอนว่าย่อมเป็นเช่นนั้น” มุมปากของเว่ยจิ่นอิ่งยกขึ้นน้อยๆ “ความจริงนั้น น้ำชาถ้วยนี้ต่างหากที่รั้งข้า”
สิ้นวาจาไม่ทุกข์ร้อนก็ได้ยินเสียงเฮอะหลุดจากปากของ องค์ชายสามเว่ยหลิงหง ผู้มีนามรองว่าหลิงอ๋อง เจ้าของวังน้ำแข็งซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง ตามมาด้วยการคุกเข่าลงดังตุ้บขององครักษ์จาง ไม่ต้องคาดเดาก็พอรู้ว่าต่อให้ต้องจบชีวิตลง องครักษ์คนสนิทผู้นี้ย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้จิ่นอ๋องเสด็จกลับวังอู่เทียนให้ได้ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับคนแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหดออกมาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น