ตอนที่ 3 ขัดขวาง

1427 Words
ภพสวรรค์ เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อน สวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา “จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา “...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้ “ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุ จอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้ กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบเอี้ยวตัวเข้าห้ามส่งผลให้เพลี่ยงพล้ำจนร่างเทพสลายต่อหน้าต่อตาเทียนจวิน กระบวนทัพขาดตอนทำให้กงจื่อเย่ฉวยโอกาสสะบัดร่างหลุดจากวงล้อมกองทัพสวรรค์ แต่ไม่ทันไรจอมมารเกิดใหม่กลับโดนแส้กักมารตวัดเกี่ยวเอวของเขาติดกับแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์ “เฮอะ” จอมมารส่งเสียงฮึดอัดไม่พอใจคิดจะทำลายสิ่งกีดขวางแต่กลับขยับตัวไม่ได้ เวลานี้จึงมีเพียงสมุนของตนเองและดาบเขี้ยวอสูรกวัดไกวตามคำสั่งเจ้านายของตน “เห็นทีคงถ่วงเวลาได้ไม่นาน” เทียนจวินกระซิบบอกเทพวายุให้รีบตามหาสิ่งที่สงสัย แม้แท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จะดูดกลืนพลังมารได้คราวละหลายส่วน แต่ก็ใช้แก่นวิญญาณของเทพอาวุโสถึงสามองค์อัญเชิญขึ้นมา เทียนจวินประเมินกงจื่อเย่มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพลังมารของเขาไม่มีวันหมด สวีต้าเฟิงรับปากจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วหายตัวไปจากสนามรบพริบตาเดียว กงจื่อเย่แสยะยิ้มอีกครั้งสั่งการปีศาจสาวมือขวาให้รีบขวางทางสวีต้าเฟิงเอาไว้และหากเป็นไปได้ก็ทรมานเขาจนกว่าจะตายยิ่งดี เมื่อหลุดจากที่แห่งนั้นแล้ว เทพวายุจึงเริ่มค้นหาเบาะแสที่เหลืออยู่ เขานึกไม่ถึงเลยว่าสมุนของจอมมารจะสร้างความเสียหายในภพสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้เพราะสภาพของเหล่าเทพเซียนที่ไม่ได้อยู่ด่านหน้าต้านทานจอมมารก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน “ท่านพี่” เสียงหวานอันคุ้นเคยเรียกสวีต้าเฟิง ปีศาจสาวแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบนางได้อย่างแยบยลจนสวีต้าเฟิงเกือบตกหลุมพรางเพราะคิดว่าน้องสาวผ่านด่านเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ทว่า ร่างแปลงยังมีสิ่งที่แตกต่างจากน้องสาวตัวจริงหนึ่งอย่างที่ปีศาจสาวไม่เคยรู้มาก่อน สายใยระหว่างพี่น้องที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อวัยเด็กของสวีต้าเฟิงไม่อาจรู้สึกได้ถึงตัวตนของสวีลู่ชิงแม้แต่น้อย เขาจึงไม่รีรอหลอมรวมพลังเข้ากับอาวุธประจำกายซัดสาดเข้าใส่ร่างน้องสาวตัวปลอมอย่างทวีความรุนแรง “บังอาจใช้ร่างนางเพื่อหลอกข้า” สวีต้าเฟิงมองไปที่ด้านหลังของนางเห็นม่านศักดิ์สิทธิ์รอบต้นไม้แห่งโชคชะตาถูกทำลายไปบางส่วนจึงเข้าใจได้ว่าปีศาจตนนี้ต้องเห็นร่างเทพและชะตาบางส่วนของน้องสาวอย่างแน่นอน “สมกับเป็นพี่น้องกันแต่สายไปเสียแล้วล่ะ” นางพูดเช่นนั้นแต่ยังคงรูปลักษณ์ของเทพดาราเอาไว้ “ท่านพี่ เหตุใดจึงเหวี่ยงอาวุธนั่นทำร้ายข้าอยู่เล่า” หลิวอิงอิงใช้น้ำเสียงของสวีลู่ชิงพูดกับเขาอย่างสนุกสนานแต่คนตรงหน้าไม่คิดหลงกล ซ้ำยังขยะแขยงที่ปีศาจอย่างนางใช้เล่ห์กลต่ำช้าหลอกลวงเขา “หน้าตาปีศาจอย่างเจ้าคงดูไม่ได้เลยสิท่าถึงไม่ยอมละจากใบหน้าน้องสาวผู้เลอโฉมของข้าเสียที” แม้หลิวอิงอิงจะเป็นปีศาจแต่นางเคยเป็นมนุษย์มาก่อนย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างจากจอมมารที่กำเนิดจากสิ่งชั่วร้ายดั้งเดิม นางจึงรู้สึกฉุนเฉียวไม่น้อยที่ถูกเทพปรามาสรูปลักษณ์ของนาง ทั้งยังหงุดหงิดจนกลับมาใช้ใบหน้าและรูปร่างของตัวเองดังเดิม “พูดจากปากคอเราะราย เจ้าเป็นเทพประสาอะไร สังหารข้าให้ตายยังดีเสียกว่า” หลิวอิงอิงคิดในใจว่านางจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของเทพปากเปราะตรงหน้าเด็ดขาดเพราะถือคติฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ยิ่งหยามว่านางไม่งดงาม ยิ่งไม่อาจให้อภัย “ปีศาจเช่นเจ้าจำเป็นต้องยกยอด้วยหรือ” สวีต้าเฟิงยังคงไม่หยุดร่ายพลังพุ่งใส่นาง “น้องสาวข้างามทั้งใจและกาย เจ้าน่ะเทียบไม่ได้แม้เพียงนิด” คิ้วข้างซ้ายของหลิวอิงอิงกระตุกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “ปีศาจปากร้าย หน้าตาอัปลักษณ์ จิตใจมืดมัว การกระทำต่ำช้า...” เขาร่ายยาวราวกับอัดอั้นที่นางบังอาจแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงเพื่อดักเขาลงหลุม ทว่า คำพูดแต่ละอย่างที่เทพวายุพ่นออกมายิ่งจุดไฟและบรรยากาศมาคุกว่าเดิม สวีต้าเฟิงคิดในใจว่านางกำลังถูกหันเหความสนใจมาหาเขาเพียงคนเดียวและต้องหาวิธีดึงความทรงจำเรื่องร่างเทพดาราออกมาจากนางก่อนจะสายเกินไป เทพวายุยังส่งสัญญาณให้เซียนที่เหลือรอดชีวิตช่วยกันซ่อมแซมม่านศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะดึงหลิวอิงอิงออกไปจากที่แห่งนั้น “หยุดนะ!” นางตะโกนเสียงดังเพราะจู่ ๆ ก็ถูกพลังวายุหมุนพัดออกมาจนคลื่นเ**ยนเผลอเอ่ยปากเรียกคนตรงหน้าว่า “ท่านพี่” ทั้ง ๆ ที่ยังคงรูปร่างของหลิวอิงอิงไว้เช่นเดิม “...” เทพวายุเบ้ปากเพราะรู้สึกขนลุกที่ได้ยินเสียงนางเรียกเขาเช่นนั้น ครั้นหลิวอิงอิงรู้สึกตัวได้ว่าทำพลาดไปจึงเบือนหน้าหนีพลางกัดปากทำโทษตัวเองจนเลือดไหลแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบบอกเจ้านายของตนเรื่องเทพดารา ปีศาจสาวไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ร่างของนางกลับหมุนปลิวอยู่ในวงพายุลูกใหญ่สร้างความปั่นป่วนในท้องเป็นอย่างยิ่ง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนออกมาจากแกนกลางพายุหมุนสีหมอกแต่สวีต้าเฟิงไม่สนใจทำตามที่นางพูด เวลานั้นเซียนตำหนักเทพบุปผาวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบมาหาเขาพร้อมเมล็ดพันธุ์กลม ๆ หนึ่งเม็ดอันเป็นของสำคัญอย่างหนึ่งของนาง รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของสวีต้าเฟิง เขาร่ายพลังฝังความทรงจำที่ผิดเพี้ยนลงไปในเมล็ดพันธุ์นั้นอย่างแยบยลแล้วฉวยโอกาสตอนที่หลิวอิงอิงกำลังเวียนศีรษะหน้ามืดเปลี่ยนถ่ายความทรงจำที่แท้จริงเรื่องเทพดาราโดยที่นางไม่รู้ตัว “ข้าบอกให้หยุด!” นางร้องเสียงดังโวยวาย คิดแล้วก็แค้นที่แพ้ทางเทพวายุอย่างเขาก่อนจะร้องให้กงจื่อเย่ช่วยนาง น้ำเสียงเยือกเย็นตอบกลับมา “ไม่ได้เรื่อง” แต่กระนั้นพลังมารกลับโอบรอบตัวนางหยุดพายุหมุนของเทพวายุได้ในทันที “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะรายงาน” นางเลิ่กลั่กรีบบอกเขากลัวว่าจะถูกลงโทษเพราะทำพลาดครั้งที่สองโดยหารู้ไม่ว่านางกำลังจะทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สามเพราะบอกเรื่องสวีลู่ชิงเพี้ยนไปจากเดิม กงจื่อเย่ไม่ได้เฉลียวใจเพราะมัวแต่ใช้พลังมารดันตัวเองออกมาจากแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จึงเชื่อว่าสิ่งที่ลูกน้องมือขวาพูดเป็นเรื่องจริง เขาส่งต่อเรื่องราวปลอม ๆ ที่สวีต้าเฟิงสร้างขึ้นให้ฝ่ายที่ลงไปตามล่าสวีลู่ชิงในแดนมนุษย์ แล้วเอ่ยปากบอกนางว่า “หากครั้งนี้มีปัญหาให้ข้าเหนื่อยใจอีก ข้าจะกัดกินวิญญาณของเจ้าแทนอาหารมื้อค่ำ” “เจ้าค่ะนายท่าน” หลิวอิงอิงนิ่วหน้ามองเทพวายุที่สร้างเรื่องวุ่นวายให้นางแล้วร่ายพลังมารพร้อมสั่งเหยี่ยวเพลิงหลายร้อยตัวเข้าโจมตีคนตรงหน้า

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD