ภพสวรรค์
เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อน
สวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่าง
ครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา
“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา
“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้
“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุ
จอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้
กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบเอี้ยวตัวเข้าห้ามส่งผลให้เพลี่ยงพล้ำจนร่างเทพสลายต่อหน้าต่อตาเทียนจวิน
กระบวนทัพขาดตอนทำให้กงจื่อเย่ฉวยโอกาสสะบัดร่างหลุดจากวงล้อมกองทัพสวรรค์ แต่ไม่ทันไรจอมมารเกิดใหม่กลับโดนแส้กักมารตวัดเกี่ยวเอวของเขาติดกับแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์
“เฮอะ” จอมมารส่งเสียงฮึดอัดไม่พอใจคิดจะทำลายสิ่งกีดขวางแต่กลับขยับตัวไม่ได้ เวลานี้จึงมีเพียงสมุนของตนเองและดาบเขี้ยวอสูรกวัดไกวตามคำสั่งเจ้านายของตน
“เห็นทีคงถ่วงเวลาได้ไม่นาน” เทียนจวินกระซิบบอกเทพวายุให้รีบตามหาสิ่งที่สงสัย
แม้แท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จะดูดกลืนพลังมารได้คราวละหลายส่วน แต่ก็ใช้แก่นวิญญาณของเทพอาวุโสถึงสามองค์อัญเชิญขึ้นมา เทียนจวินประเมินกงจื่อเย่มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพลังมารของเขาไม่มีวันหมด
สวีต้าเฟิงรับปากจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วหายตัวไปจากสนามรบพริบตาเดียว
กงจื่อเย่แสยะยิ้มอีกครั้งสั่งการปีศาจสาวมือขวาให้รีบขวางทางสวีต้าเฟิงเอาไว้และหากเป็นไปได้ก็ทรมานเขาจนกว่าจะตายยิ่งดี
เมื่อหลุดจากที่แห่งนั้นแล้ว เทพวายุจึงเริ่มค้นหาเบาะแสที่เหลืออยู่ เขานึกไม่ถึงเลยว่าสมุนของจอมมารจะสร้างความเสียหายในภพสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้เพราะสภาพของเหล่าเทพเซียนที่ไม่ได้อยู่ด่านหน้าต้านทานจอมมารก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน
“ท่านพี่” เสียงหวานอันคุ้นเคยเรียกสวีต้าเฟิง ปีศาจสาวแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบนางได้อย่างแยบยลจนสวีต้าเฟิงเกือบตกหลุมพรางเพราะคิดว่าน้องสาวผ่านด่านเคราะห์เรียบร้อยแล้ว
ทว่า ร่างแปลงยังมีสิ่งที่แตกต่างจากน้องสาวตัวจริงหนึ่งอย่างที่ปีศาจสาวไม่เคยรู้มาก่อน
สายใยระหว่างพี่น้องที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อวัยเด็กของสวีต้าเฟิงไม่อาจรู้สึกได้ถึงตัวตนของสวีลู่ชิงแม้แต่น้อย
เขาจึงไม่รีรอหลอมรวมพลังเข้ากับอาวุธประจำกายซัดสาดเข้าใส่ร่างน้องสาวตัวปลอมอย่างทวีความรุนแรง “บังอาจใช้ร่างนางเพื่อหลอกข้า”
สวีต้าเฟิงมองไปที่ด้านหลังของนางเห็นม่านศักดิ์สิทธิ์รอบต้นไม้แห่งโชคชะตาถูกทำลายไปบางส่วนจึงเข้าใจได้ว่าปีศาจตนนี้ต้องเห็นร่างเทพและชะตาบางส่วนของน้องสาวอย่างแน่นอน
“สมกับเป็นพี่น้องกันแต่สายไปเสียแล้วล่ะ” นางพูดเช่นนั้นแต่ยังคงรูปลักษณ์ของเทพดาราเอาไว้ “ท่านพี่ เหตุใดจึงเหวี่ยงอาวุธนั่นทำร้ายข้าอยู่เล่า”
หลิวอิงอิงใช้น้ำเสียงของสวีลู่ชิงพูดกับเขาอย่างสนุกสนานแต่คนตรงหน้าไม่คิดหลงกล ซ้ำยังขยะแขยงที่ปีศาจอย่างนางใช้เล่ห์กลต่ำช้าหลอกลวงเขา “หน้าตาปีศาจอย่างเจ้าคงดูไม่ได้เลยสิท่าถึงไม่ยอมละจากใบหน้าน้องสาวผู้เลอโฉมของข้าเสียที”
แม้หลิวอิงอิงจะเป็นปีศาจแต่นางเคยเป็นมนุษย์มาก่อนย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างจากจอมมารที่กำเนิดจากสิ่งชั่วร้ายดั้งเดิม นางจึงรู้สึกฉุนเฉียวไม่น้อยที่ถูกเทพปรามาสรูปลักษณ์ของนาง ทั้งยังหงุดหงิดจนกลับมาใช้ใบหน้าและรูปร่างของตัวเองดังเดิม
“พูดจากปากคอเราะราย เจ้าเป็นเทพประสาอะไร สังหารข้าให้ตายยังดีเสียกว่า” หลิวอิงอิงคิดในใจว่านางจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของเทพปากเปราะตรงหน้าเด็ดขาดเพราะถือคติฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ยิ่งหยามว่านางไม่งดงาม ยิ่งไม่อาจให้อภัย
“ปีศาจเช่นเจ้าจำเป็นต้องยกยอด้วยหรือ” สวีต้าเฟิงยังคงไม่หยุดร่ายพลังพุ่งใส่นาง “น้องสาวข้างามทั้งใจและกาย เจ้าน่ะเทียบไม่ได้แม้เพียงนิด”
คิ้วข้างซ้ายของหลิวอิงอิงกระตุกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“ปีศาจปากร้าย หน้าตาอัปลักษณ์ จิตใจมืดมัว การกระทำต่ำช้า...” เขาร่ายยาวราวกับอัดอั้นที่นางบังอาจแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงเพื่อดักเขาลงหลุม
ทว่า คำพูดแต่ละอย่างที่เทพวายุพ่นออกมายิ่งจุดไฟและบรรยากาศมาคุกว่าเดิม
สวีต้าเฟิงคิดในใจว่านางกำลังถูกหันเหความสนใจมาหาเขาเพียงคนเดียวและต้องหาวิธีดึงความทรงจำเรื่องร่างเทพดาราออกมาจากนางก่อนจะสายเกินไป
เทพวายุยังส่งสัญญาณให้เซียนที่เหลือรอดชีวิตช่วยกันซ่อมแซมม่านศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะดึงหลิวอิงอิงออกไปจากที่แห่งนั้น
“หยุดนะ!” นางตะโกนเสียงดังเพราะจู่ ๆ ก็ถูกพลังวายุหมุนพัดออกมาจนคลื่นเ**ยนเผลอเอ่ยปากเรียกคนตรงหน้าว่า “ท่านพี่” ทั้ง ๆ ที่ยังคงรูปร่างของหลิวอิงอิงไว้เช่นเดิม
“...” เทพวายุเบ้ปากเพราะรู้สึกขนลุกที่ได้ยินเสียงนางเรียกเขาเช่นนั้น
ครั้นหลิวอิงอิงรู้สึกตัวได้ว่าทำพลาดไปจึงเบือนหน้าหนีพลางกัดปากทำโทษตัวเองจนเลือดไหลแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบบอกเจ้านายของตนเรื่องเทพดารา
ปีศาจสาวไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ร่างของนางกลับหมุนปลิวอยู่ในวงพายุลูกใหญ่สร้างความปั่นป่วนในท้องเป็นอย่างยิ่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนออกมาจากแกนกลางพายุหมุนสีหมอกแต่สวีต้าเฟิงไม่สนใจทำตามที่นางพูด
เวลานั้นเซียนตำหนักเทพบุปผาวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบมาหาเขาพร้อมเมล็ดพันธุ์กลม ๆ หนึ่งเม็ดอันเป็นของสำคัญอย่างหนึ่งของนาง รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของสวีต้าเฟิง
เขาร่ายพลังฝังความทรงจำที่ผิดเพี้ยนลงไปในเมล็ดพันธุ์นั้นอย่างแยบยลแล้วฉวยโอกาสตอนที่หลิวอิงอิงกำลังเวียนศีรษะหน้ามืดเปลี่ยนถ่ายความทรงจำที่แท้จริงเรื่องเทพดาราโดยที่นางไม่รู้ตัว
“ข้าบอกให้หยุด!” นางร้องเสียงดังโวยวาย คิดแล้วก็แค้นที่แพ้ทางเทพวายุอย่างเขาก่อนจะร้องให้กงจื่อเย่ช่วยนาง
น้ำเสียงเยือกเย็นตอบกลับมา “ไม่ได้เรื่อง” แต่กระนั้นพลังมารกลับโอบรอบตัวนางหยุดพายุหมุนของเทพวายุได้ในทันที
“นายท่าน ข้ามีเรื่องจะรายงาน” นางเลิ่กลั่กรีบบอกเขากลัวว่าจะถูกลงโทษเพราะทำพลาดครั้งที่สองโดยหารู้ไม่ว่านางกำลังจะทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สามเพราะบอกเรื่องสวีลู่ชิงเพี้ยนไปจากเดิม
กงจื่อเย่ไม่ได้เฉลียวใจเพราะมัวแต่ใช้พลังมารดันตัวเองออกมาจากแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จึงเชื่อว่าสิ่งที่ลูกน้องมือขวาพูดเป็นเรื่องจริง
เขาส่งต่อเรื่องราวปลอม ๆ ที่สวีต้าเฟิงสร้างขึ้นให้ฝ่ายที่ลงไปตามล่าสวีลู่ชิงในแดนมนุษย์ แล้วเอ่ยปากบอกนางว่า “หากครั้งนี้มีปัญหาให้ข้าเหนื่อยใจอีก ข้าจะกัดกินวิญญาณของเจ้าแทนอาหารมื้อค่ำ”
“เจ้าค่ะนายท่าน” หลิวอิงอิงนิ่วหน้ามองเทพวายุที่สร้างเรื่องวุ่นวายให้นางแล้วร่ายพลังมารพร้อมสั่งเหยี่ยวเพลิงหลายร้อยตัวเข้าโจมตีคนตรงหน้า