EP5 - พี่คือคนที่ทำให้ฝันผมเป็นจริง

2197 Words
5 - พี่คือคนที่ทำให้ฝันผมเป็นจริง เช้าวันต่อมา “ทิวลิป น้องมานอนข้างล่างได้ยังไง” ผมเห็นแล้วยังแปลกใจว่าน้องนอนซบหัวตรงที่นั่งโซฟามือทั้งสองกางนิ้วทำท่าเหมือนเล่นเปียโนเรียงห้านิ้วตรง ผมเห็นแล้วตกใจมากราวกับมือเปื้อนรอยเลือดลากเป็นทางยาวขณะเล่นเปียโน ผมตกใจว่าน้องมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงทั้งที่เมื่อคืนผมส่งน้องเข้านอนแล้ว คนเราจะละเมอเดินลงมาถึงขั้นนี้เลยเหรอมันแปลกเกินไปไหม “พี่เขาพาผมมาเล่นเปียโน” “เดี๋ยวนะ จะบอกว่าพี่เอกมัยเหรอ พี่ไม่เห็นใครและพี่ไม่รู้จักนะ” ผมไม่รู้ว่าน้องหมายถึงใคร ผมได้ยินชื่อเป็นคำใบ้ที่เพิ่มเข้ามาแต่หน้าตาและตัวตนผมยังไม่เคยเห็น เขาเป็นใครผมยังไม่รู้เลย แล้วน้องไปรู้จักเขาที่ไหน ผมต้องถามน้องเพราะน้องเป็นคนเดียวที่เห็นมันได้ “เปียโน...” “พี่เขาให้ผมเล่นตรงนี้” ผมชี้ไปตรงพื้นที่นั่งโซฟานุ่ม ๆ เมื่อคืนผมเล่นเปียโนตรงนี้ให้พี่เอกมัยฟัง ผมบรรเลงแล้วพี่เขายิ้มอย่างมีความสุข เขินอายจนเก็บอาการไม่อยู่ ผมดูอาการพี่เขาออก พี่เขามีความใจเกเรสูงมาก ผู้ชายหน้าหวานและหล่อไม่แพ้หนุ่มเกาหลี ผมยังเสียดายเลยว่าพี่เขาไม่น่ารีบจากโลกนี้ไปก่อน ถ้ายังอยู่ผมจะไปหาพี่เขาที่บ้านหลังนั้นทุกวัน “พี่เขาอยู่บ้านหลังนั้นเหรอ” “ครับพี่ชรัส แต่เสียดายพี่เขา...” ผมเริ่มขนลุกมากกว่าเดิมเมื่อน้องทิวลิปเห็นคน ๆ หนึ่งแต่ไม่ได้มาในสถานะมนุษย์ แสดงว่าน้องกำลังเจอของดีที่เรียกว่าสุกี้น้ำตามมาหลอกหลอน ถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นแต่ความคิดผมเตลิดไปไกลขนาดนี้ ผมว่าน้องเจอดีและสัมผัสมันได้ ผมให้น้องมานั่งทานมื้อเช้าและพูดคุยกันตามปกติจะได้ไม่ทำให้บรรยากาศเงียบเกินไป น้องเล่าเรื่องที่ผมขอให้น้องเล่า ในบ้านหรูหลังนั้นที่เราสองคนไปตีแบดมินตันด้วยกัน การที่น้องเข้าไปแอบเล่นเปียโน เหมือนกับการไปปลุกเจ้าของเดิมให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนั้นน้องกำลังโดนวิญญาณตามมา ผมไม่รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้าย ถ้ามาเอาชีวิตน้องผมในขณะที่น้องผมไม่รู้เรื่องอะไร ผมจะทำยังไง “น้องเห็นอะไรอีก” “ผมเห็นแค่เปียโนกลางบ้านแค่นั้นครับ ผมไม่ได้เดินเข้าไปส่วนอื่น” “งั้นต่อไปพี่จะพากลับไปบ้านหลังนั้นอีก” น้องดีใจขณะที่ผมกำลังตักข้าวเข้าปาก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมน้องดีใจเหมือนว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านของทิวลิป บ้านของพวกเราก็อยู่ที่นี้แล้ว ทำไมต้องกลับไปเหมือนครอบครัวรอการกลับมาหลังจากหายไปเวลานาน “จริงนะครับ” “แน่นอนสิ เพราะพี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่นั่นมันมีอะไร” ผมอยากรู้แล้วว่าในบ้านหลังนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ในขณะที่ผมไม่รู้ตัวมาตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องคือสิ่งที่ได้รับมันมาอย่างไม่ถูกวิธี ต่อให้สิ่งที่ผมเห็นมันจะไม่ร้ายแรงก็ตาม การเล่นเปียโนคือความสามารถที่ไม่ใช่ได้ตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหัดจนคล่องได้เร็วขนาดนี้ “งั้นเราจะไปด้วยกัน พี่จะไปให้เห็นกับตาเลยว่ามันมีอะไร” ผมยืนยันแล้วว่าผมจะไปค้นหาความลับบางอย่างในบ้านหลังนั้น บ้านที่มีเปียโนตั้งอยู่กลางบ้าน มันไม่ปกติตั้งแต่ผมเห็นท่าทีและพฤติกรรมของน้องเปลี่ยนไปแสดงว่าสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังมอบความสุขให้น้องแต่แลกด้วยอะไรบางอย่างที่คาดไม่ถึงา ที่โรงเรียน ไกอาเป็นเด็กผู้ชายห้องเดียวกับทิวลิป ผมจะเป็นคู่ขัดคู่ขาไม่แพ้กับเขียว แต่ผมชอบแกล้งรุนแรงมากกว่า เพราะความไม่เข้าใจอะไรบางอย่างทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบหน้าทิวลิป อาจเพราะความสามารถและความโดดเด่นเก่งกว่าผมไม่มีเหมือนเขา ไม่แปลกที่จะอิจฉาเขาและรอบนี้เช่นกัน ผมไม่รู้ว่าจุดเด่นของทิวลิปทำไมถึงมีแต่คนสนใจ ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นเลยด้วยซ้ำ “ทำไมมีแต่คนชอบมันวะ” “มึงจะมาอิจฉาเพื่อนกูทำไม” เขียวเห็นว่าไกอาเป็นคนหนึ่งที่อิจฉาเพื่อนหลายคนเวลาใครมีความสามารถเด่นกว่าหรือมีคนสนใจกว่า ผมเข้าใจว่าคนเราอิจฉาเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับไกอาบอกเลยว่าอิจฉาไปทั่วเพราะมันก็อยากมี แต่ข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เขาไม่มี อาจเพราะความพร้อมทางด้านเงิน ครอบครัวและคนพร้อมสนับสนุน ผมสงสารเขาเหมือนกัน แต่ช่วยอย่าไประรานใครจะดีมาก “ตั้งแต่มันเล่นเปียโนเป็น มีแต่คนสนใจมันมากเลย ทำอะไรก็มีแต่คนสนใจ” “มึงพูดแบบนี้แปลว่ามึงอยากเรียกร้องความสนใจ” “จะว่าแบบนั้นก็ได้ กูก็อยากมีอะไรดี ๆ ในชีวิตเหมือนคนอื่นบ้าง” ผมเป็นคนหนึ่งที่แอบอิจฉาใครหลายคนเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งบางอย่างผมไม่เคยได้ในชีวิต ผมอยากมีแล้วถ้าความอิจฉาผมก่อตัวขึ้นมาอะไรก็หยุดผมไม่ได้ ผมเป็นคนอิจฉาที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับเอง “มึงไม่มี มึงก็พยายามสิ” “กูพยายามอยู่แล้วล่ะ” ไกอาสังเกตมาสักพักแล้วว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตผมมีหลายเรื่อง ทั้งเพื่อนและสังคมใหม่ สิ่งที่ผมอยากได้คือความสามารถพิเศษที่ผมสนใจ ผมพยายามมาหลายเรื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่สักที ผมไม่สามารถค้นหาความชอบตัวเองได้เลย ทุกวันนี้ผมไม่รู้ตัวเองว่าผมชอบอะไร นอกจากชอบกินและถนัดขวาเท่านั้น เห็นก็อิจฉาแก้ไม่หายสักที ผมเกิดมาพร้อมโรคอิจฉาถ่ายทอดผ่านสายเลือดหรือไง ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจสักที “งั้นกูจะทำอะไรให้ดูแล้วกัน” เวลาต่อมา “นายไปเรียนเปียโนมาจากไหน” เขียวเป็นเพื่อนกับทิวลิปมาตั้งนาน ผมกับเขาเวลาเล่นกันก็ชอบแกล้งกันตามประสาเพื่อนอยู่แล้ว แต่ว่ารอบนี้ความเปลี่ยนไปในตัวเขาเห็นชัดมากเพราะเพื่อนผมไม่เคยสนใจดนตรีมาก่อน พื้นฐานไม่มาก เปียโนในชีวิตก็ไม่เคยหัดเล่นมาก่อนแล้วความสามารถเหล่านี้มาจากไหน ถึงสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนผมประหลาดใจ “อืม จะบอกยังไงดี” “จะกั๊กวิชาคนเดียวไม่ได้นะทิวลิป” “เราไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย แต่เราบอกไม่ถูกเพราะเราได้มาแบบไม่อยากเชื่อเลย” ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย เพราะความสามารถพิเศษนี้ผมไม่เคยหัดมาก่อน ผมไปเล่นเปียโนมั่ว ๆ แบบไม่รู้หลักการหรือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน ผมมาคลั่งไคล้และเล่นมันได้ก็ช่วงนี้เลย “พี่นายสอนเหรอ” “พี่เราไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อน แต่เอาเถอะ เราเล่นได้ก็พอใจอยากบรรเลงชีวิตให้สวยงามขึ้น” เวลาผมเล่นดนตรี อารมณ์ศิลปินมาจากไหนทำไมผมถึงพูดอะไรสวยหรูเป็นทางดอกไม้เหมือนเสียงดนตรีจากสองมือ บรรเลงตามอารมณ์และปรับคีย์ตามต้องการ “เราว่านายเปิดเทปตอนเล่นมากกว่า” ไกอาเดินเข้ามาและได้ยินทิวลิปโอ้อวดสรรพคุณตัวเองเป็นการโฆษณาเกินจริง ผมว่าความสามารถของคนตรงหน้าอาจจะเป็นการหลอกลวงให้ทุกคนเชื่อและคิดว่าเป็นมาตั้งแต่หัดเล่น ผมไม่เคยเห็นทิวลิปเล่นเปียโนหรือสนใจอยากเล่นดนตรี แล้วทำไมถึงเล่นได้คล่องราวกับเล่นหลอกตาพร้อมเปิดเทปวางเครื่องไว้ใต้ปียโนหลบสายตา “เราไม่ได้เป็นแบบนายที่ชอบอิจฉาแล้วคิดไปเองนะ” ผมไม่ชอบเลยที่ไกอาคิดว่าผมกำลังหลอกลวง ผมจะไปหลอกทุกคนเพื่อให้ทุกคนสนใจทำไม ผมมีความสามารถผมก็ต้องยอมรับในทางที่ดี ไม่ใช่ชอบโอ้อวด พอทำไม่ได้ก็หน้าแตกรับความอาย ผมว่าไกอาควรไปปรับความคิดจากครอบครัวก่อนมาเจอสังคมในโรงเรียนก่อน เพราะการอิจฉาถือเป็น Toxic ชนิดหนึ่งรวมอยู่ในนั้น “นายให้ใครสอน ทุกคนอยากฟังทำไมไม่บอก” “เราบอกไม่ได้ มันเป็นความลับ” “ความลับของนายคือหลอกลวงทุกคนไง” ผมเชื่อว่าทิวลิปกำลังหลอกลวงทุกคนเพราะใครที่ไหนเขามีความสามารถคล่องแคล่วได้ในวันเดียว บางทีเขาอาจจะเปิดเทปหลอกคนดูก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจ “ไกอา เราว่านายพูดแรงไปนะ” “เราว่ามันไม่แรงนะ แผ่นดินไหวในใจยังไม่สะเทือนมาถึงเราเลย ถ้างั้นพิสูจน์ให้เราดูได้ไหม เที่ยงนี้เลยถ้าเล่นแบบไม่โกงคนฟังเราจะถือว่านายพูดจริง” ผมไม่รู้ว่าไกอาต้องการเอาชนะสิ่งที่ตัวเองไม่มีด้วยการมาระรานให้ผมพิสูจน์ความจริงกับทุกคนงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะทำให้เห็นเอง ที่ห้องพักครู ครูพลอยรับสายจากครูสอนดนตรีในโรงเรียน ฉันได้ยินแล้วยังแปลกใจเลยว่าครูด้วยกันเห็นความสามารถถึงขั้นโทรมาเสนอให้ช่วยอีกแรงเลยเหรอ ฉันมองรูปในแชทไวน์จากครูดนตรี พบว่าครูเขาส่งแผ่นพับออนไลน์การแข่งขันเปียโน “เอ่อ เดี๋ยวนะคะ น้องทิวลิปเหรอคะ ดิฉันว่ามันแปลกเกินไปที่น้องจะไปแข่งนะคะ” “ครูพลอย คุณเป็นครูประจำชั้นห้องน้องเขา ไม่เคยสังเกตตเลยเหรอครับว่าน้องมีความสามารถ” “ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ คือ...” ฉันไม่รู้จะอธิบายกับครูโจสอนวิชาดนตรียังไงให้เชื่อมากที่สุด แต่ถ้าพูดไปจะหาว่าฉันงมงายและบ้าไปแล้วใช่ไหม เอาเรื่องวิญญาณมาพูด ฉันต้องหาคำพูดเป็นกลางมาอธิบายแล้วล่ะ “ทิวลิปเขาเคยบอกฉันนะคะว่าน้องไม่เคยเล่นดนตรี ฉันสังเกตมาก็ไม่เคยเห็นเขาเล่นหรือสนใจมาก่อน ออกจะชอบกีฬามากกว่า” “แต่ผมคิดว่าความสามารถของน้องอาจสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน ผมอยากให้น้องไปทำตามความฝัน ผมเข้ามาขอให้ครูพลอยช่วยโน้มน้าวอีกแรงนะครับ” ฉันพยายามหาช่องว่างอธิบายแต่ก็ไม่เป็นผล ครูโจจะเป็นคนที่มองเห็นความสามารถนักเรียนได้ พอได้ที่แล้วจะหาโอกาสมาให้เสมอเช่นเดียวกับตอนนี้ ฉันต้องไปตามน้ำและตอบรับ ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาทิวลิปมาคุยเองแล้วกัน “ครับครู” “ทิวลิป สนใจไหม ครูโจเขามองเห็นความสามารถเธอ” ฉันหยิบแผ่นพับออนไลน์ในโทรศัพท์พร้อมใบประกาศรูปลิ่มเปียโน เป็นการบอกเขาว่านี่คือการแข่งขันดนตรีระดับโรงเรียนในจังหวัดนี้ น้องทิวลิปมองแล้วดูท่าทางตาลุกวาวเหมือนตื่นเต้น ดูทรงเขาจะชอบจนเก็บอาการไม่อยู่ “สนใจครับ” ฉันตกใจเพราะเขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าความสามารถตัวเองที่ได้มาแบบประหลาดและหาต้นเหตุไม่เจอ จะทำให้เขาตอบอย่างมั่นใจ ฉันเป็นกลางจะไปบังคับชีวิตน้องเขาคงไม่ได้ รับฟังและให้คำแนะนำเท่านั้น ในเมื่อน้องชอบฉันก็พร้อมจะแนะนำให้ “ว่าแต่ใครสอนดนตรีให้น้องล่ะ” “ก็พี่เอกมัยไงครับ” น้องชี้ไปตรงมุมห้อง พี่เขายืนมองผมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขกับสิ่งที่เขาทุ่มเมมอบให้ผมเป็นวิชาติดตัว คาดว่าพี่เขาอยากให้ใครสักคนเห็นความพยายามในโลกใบนี้แต่เป็นอีกตัวตนที่พี่ไม่เคยได้มัน “เอ่อ... น้องเห็นเขาจริง ๆ เหรอ” “ครับครู พี่เขาจะพาผมไปตามหาความฝันผ่านเสียงเพลง ขอบคุณที่มอบโอกาสให้ผมนะครับ” ครูพลอยช็อกไปพักหนึ่งเพราะสิ่งที่น้องพูดออกมาคาดว่าจะเห็นจริงไม่ได้คิดขึ้นมา ฉันขนลุกจริงขนาดหนาวสั่นไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ฉันยิ้มให้น้องก่อนจะคุยกันเสร็จ เมื่อน้องออกไปฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา สายที่ฉันคุยอีกสาย ยังไม่วางและไม่ได้คุยตั้งแต่เริ่มสาย เพราะอยากให้คนในสายได้ยินความจริง “ได้ยินแล้วใช่ไหม” “ครับครู ผมเข้าใจในสิ่งที่น้องบอกแล้ว...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD