อริสาช้อนตามองคนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม วันนี้ชลธีดูคล้ายมีเรื่องในใจบางอย่างอยากพูดกับเธอ แต่ยังลังเลไม่กล้าพูด หญิงสาวจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง
“พี่ครามมีอะไรจะพูดกับทรายรึเปล่า”
เธอคิดว่าตนพอจะเดาคำตอบเองได้ แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากของเขาเองมากกว่า ท่าทางแบบนี้ สีหน้าแววตาแบบนี้ คงมีเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ซึ่งเธอก็ไม่ใช่คนโลกสวยที่จะคิดเข้าข้างตนเองว่าเขาจะเซอร์ไพรส์เธอด้วยการขอแต่งงานเป็นแน่
...เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้!
ชลธีวางช้อนส้อมลงแล้วยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นมองหน้าเธอด้วยแววตาเคร่งเครียด เขากระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเกริ่นขึ้นว่า
“ทรายรู้สึกไหมว่าพักหลังนี้เราสองคนค่อนข้างจะ...เอ่อ...เฉย ๆ ด้วยกันทั้งคู่”
อริสาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับวางช้อนส้อมในมือ แล้วดื่มน้ำบ้าง แต่เธอไม่ได้ดื่มจนหมดแก้วเหมือนเขา ดื่มไปแค่สองสามอึกก็วางแก้วไว้ที่เดิม มุมปากแค่นยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยกับตนเองในใจว่า
...เฉยงั้นหรือ วันอาทิตย์ที่ผ่านมายังนอนเอากับเธออยู่เลย บ้าบอ!
“แล้ว...” หญิงสาวช้อนตามองเขาเป็นเชิงให้เขาพูดต่อ
ชลธีถอนหายใจแผ่วก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พี่คิดว่า...เราเลิกกันเถอะ หรือทรายคิดว่าไง คิดว่าเราพอจะไปต่อกันได้ไหม”
“ทำไมพี่ครามถึงคิดว่าเรายังจะมีทางไปต่อกันได้อีกล่ะ”
อริสาถามไปตามตรง เพราะครึ่งปีหลังมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขานับว่ามีแต่ความเฉยชาต่อกันจริง ๆ
ทั้งสองคนไม่ได้ควงแขนไปดูภาพยนตร์ หรือดินเนอร์ช่วงวันหยุดด้วยกันนานมากแล้ว แค่นั่งกินข้าวด้วยกันสองคนในบ้านอย่างเช่นตอนนี้ ยังหาเวลาแทบไม่มี อริสากับชลธีเริ่มพูดคุยกันน้อยลง ใช้วันหยุดด้วยกันน้อยลงเพราะต่างคนต่างไปทำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ทั้งที่เธอกับเขาอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน และร่วมเตียงเดียวกัน
แต่กระนั้น กิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันบนเตียงตามประสาคู่รักทั่วไปก็ยังดำเนินไปอยู่ หากแต่ไม่ได้บ่อย หรือถี่เหมือนตอนคบหากันปีแรก
อริสาเห็นเขาหลุบตาลงมองจานข้าวของตน ไม่รู้เธอตาฝาดหรือคิดไปเองหรือเปล่า ถึงได้เห็นว่าสายตาของเขามีแววเศร้าเจืออยู่เบาบาง แต่มันก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เพราะตอนเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของชลธีก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม
“ไม่รู้สิ ก็เผื่อว่าเราสองคนอาจจะมีทางแก้ไข หรือปรับตัวจูนเข้าหากันใหม่อีกทีก็ได้”
“ทรายว่าอย่าเลย ไม่ไหวก็อย่าฝืน ทรายรู้ว่าพี่เองก็อึดอัด”
เธอพูดจบ เขาก็รีบโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะทราย พี่ไม่ได้อึดอัดอะไรเลย พี่ก็แค่...”
“พี่คราม เราอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้วนะ เจอหน้ากันแทบทุกวัน พี่คิดยังไง รู้สึกยังไง คิดว่าทรายจะไม่รู้หรือ ถึงพี่ไม่พูดออกมาแต่ทรายก็รู้สึกได้”
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางผินหน้ามองไปทางสวนเล็ก ๆ ข้างกำแพงบ้าน ไม้ประดับเหล่านี้เธอกับเขาร่วมกันปลูกตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่กับเขาที่บ้านหลังนี้ใหม่ ๆ ตอนนั้นไม่ว่าอะไรก็ล้วนดีไปหมด ราวกับโลกทั้งใบเป็นสีชมพู
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ “พี่ไม่เคยอึดอัด พี่แค่รู้สึกว่าความรู้สึกของพวกเรามันเปลี่ยนไป”
อริสานิ่งไปนาน สุดท้ายจึงพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“ก็จริงของพี่”
หญิงสาวมองอาหารบนโต๊ะ ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
“งั้นนี่ก็เป็นอาหารมื้อสุดท้ายระหว่างเราแล้วน่ะสิ”
ชลธียิ้มอย่างฝืน ๆ เช่นกัน “คงไม่หรอก ถึงเราจะเลิกกัน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อน หรือเป็นพี่เป็นน้องกันได้นี่นา เราจบกันด้วยดี ไม่ได้ทะเลาะหรือเกลียดกันสักหน่อย”
“ทรายถามอะไรพี่เรื่องหนึ่งได้ไหม ขอให้พี่ตอบทรายมาตามตรง อย่าโกหก” หญิงสาวเงยหน้ามองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของเขา เพราะเรื่องนี้เธออยากได้ยินคำตอบที่เป็นความจริงเท่านั้น
“ได้ พี่สัญญาว่าจะตอบตามความจริง” เขามองตอบกลับมา
“พี่ครามมีคนอื่นรึเปล่า” เรื่องนี้เธออดสงสัยไม่ได้จริง ๆ
ชลธีจัดว่าเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดี แม้ไม่ถึงกับเรียกว่าหล่อจนสาวต้องเหลียวมอง แต่เขาก็มีเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ชวนให้คนอยากเข้าไปทำความรู้จัก เขาเป็นคนอัธยาศัยดี เพื่อนเยอะ ทั้งยังชอบสังสรรค์ พักหลังมานี้เขาเที่ยวกลางคืนหลังเลิกงานกับเพื่อนบ่อยมาก กลับบ้านดึกเป็นประจำ ส่วนเธอนั้น จากที่เคยนั่งรอเขากลับบ้าน ก็เริ่มกลายเป็นความเคยชิน เขาจะกลับเวลาไหน เมื่อไร เธอไม่ได้สนใจอีกแล้ว
“ไม่มี! พี่ไม่เคยมีคนอื่น” เขาตอบอย่างหนักแน่นจริงจัง และเธอเชื่อเขา เพราะถ้าเขาโกหก เขาจะหลบตาเธอ
อริสาถอนหายใจอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วรวบช้อนส้อมวางเป็นระเบียบบนจานข้าวของตนพลางเอ่ยว่า
“ถ้างั้น...ทรายขอไปเก็บของของทรายก่อน พี่ครามกินต่อได้เลยนะ ทรายอิ่มแล้ว”
ชลธีลุกขึ้นคว้าแขนของเธอไว้
“เดี๋ยวสิทราย จะไปวันนี้เลยหรือ”
“วันนี้เลยสิ จะอยู่ต่อทำไมล่ะ”
หญิงสาวแค่นยิ้ม เขาก็ช่างถามแปลก ในเมื่อเลิกกันแล้วยังจะให้เธออยู่บ้านหลังนี้ต่อไปเพื่ออะไร
“แล้วทรายจะไปที่ไหน บอกพี่ได้ไหม” เขายังจับแขนเธอไว้อย่างนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ดูถามเข้า คราวนี้หญิงสาวหัวเราะออกมาจริง ๆ แล้ว
“พี่ครามลืมแล้วรึไงว่าทรายก็มีคอนโดฯ อยู่นะ”
ชลธีเลิกคิ้วขึ้นคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงปล่อยแขนเธอ
“เออว่ะ พี่ก็ลืมไปเลย”
“เคยจำอะไรได้ที่ไหนล่ะพี่น่ะ”
เธออดค่อนขอดใส่เขาไม่ได้ ข้าวของหลายอย่างในบ้านหลังนี้ เธอล้วนเป็นคนเก็บ และจำให้เขา ส่วนเขานั้น แม้กระทั่งกุญแจรถ บางครั้งยังลืมเลยว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน
ชายหนุ่มทำหน้าเจื่อน แต่อริสาคร้านจะใส่ใจ เดินไปเก็บข้าวของเสื้อผ้าเครื่องใช้ของตนในห้อง และตามที่ต่าง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หน้าประตูบ้าน นอกจากกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่แล้วก็มีแต่ถุงกระดาษกับถุงพลาสติกอีกหลายใบวางกองรวมกันอยู่
“พี่ช่วยขนขึ้นรถนะ”
ชลธีก้าวเท้าจะเดินไปตรงที่หญิงสาววางกระเป๋าสะพายไว้เพราะตั้งใจจะหยิบกุญแจรถมากดปลดล็อก อริสาเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปแล้วคว้ากระเป๋าของตนมาถือไว้เองทันที
“ขอบคุณนะพี่คราม”
เธอตีเนียนยิ้มขอบคุณเขาขณะล้วงหยิบกุญแจขึ้นมากดปลดล็อกรถ ไม่สนใจกับสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอเมื่อครู่
เธอไม่สนใจหรอกว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร แต่จะให้เขาเห็นของที่อยู่ในกระเป๋าสะพายไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เพราะในนั้นมีที่ตรวจครรภ์ที่เธอเพิ่งตรวจไปเมื่อเช้าอยู่หนึ่งอัน
ซึ่งผลของมันคือ...สองขีด!