“ก็ต้องอยู่ที่ผู้เสียหายครับ ว่าต้องการแจ้งความเพื่อเอาผิดหรือไม่ หรือว่าต้องการแค่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ตรงนี้ต้องระบุให้ชัด ยิ่งถ้าเป็นคดีทำร้ายร่างกายด้วยแล้ว ถือเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ และใช้ในการฟ้องหย่าได้ด้วยครับ ส่วนเรื่องการแจ้งความ ทางผู้เสียหายจะต้องเดินทางไปแจ้งด้วยตัวเองที่โรงพัก”
อริสาพยักหน้ารับรู้ เมื่อหันไปมองพริมาก็เห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อน้ำตาไหล จึงสะกิดเพื่อนเบา ๆ ให้รู้สึกตัว
พริมาตื่นจากภวังค์ รีบใช้มือเช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะคุณตำรวจ”
อริสาพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงลองเลียบเคียงสอบถามกับตำรวจนายนั้นว่า
“คุณตำรวจคะ ถ้าฉันจะขอร้องให้คุณพาตัวผู้ชายคนนั้นไปสอบปากคำที่โรงพักสักครู่ เพื่อนฉันจะได้รีบเข้าไปเก็บของในห้องแล้วหนีไปนอนที่อื่นก่อนที่มันจะกลับมา คุณตำรวจพอจะช่วยพวกฉันได้ไหมคะ เพราะยังไงคืนนี้คงกลับไปนอนที่ห้องไม่ได้แน่ ๆ และเพื่อนฉันก็มีลูกอ่อนด้วย อายุเพิ่งเจ็ดเดือนเอง ฉันกลัวเด็กจะเป็นอันตรายค่ะ”
“ได้ครับ นี่เป็นคดีทำร้ายร่างกาย หลักฐานพยานมีพร้อม ยังไงก็ต้องไปให้ปากคำที่โรงพักอยู่ดี”
“ถ้างั้นคุณตำรวจรีบพามันไปเลยค่ะ” อริสาพยักพเยิดไปทางหน้าห้อง
“รูปถ่ายที่เอาให้ผมดู ถ้าเป็นไปได้ รบกวนพิมพ์ออกมาเป็นภาพด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่สะดวก ส่งมาทางอีเมลของผมก็ได้”
ตำรวจนายนั้นหยิบกระดาษกับปากกามาเขียนอีเมลสำหรับติดต่อแล้วยื่นส่งให้ อริสาจึงรับมา
“ได้ค่ะคุณตำรวจ”
เมื่อตำรวจเดินไปทางหน้าประตูแล้ว อริสาจึงหันไปพูดกับพริมา
“ตกลงจะเอาไง จะหลบไปอยู่บ้านฉันที่ชลก่อนไหม”
“อืม คงต้องอย่างนั้นแหละ” พริมาตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
ทั้งสองคนได้ยินเสียงดังโวยวายของเปรมณัฐอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงียบลงไป ไม่นานนักจึงเห็นชลธีเปิดประตูเข้าห้องมา อริสาจึงถามเขาว่า
“ตำรวจพามันไปแล้วเหรอ”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า อริสาจึงหันไปพูดกับพริมาว่า
“แกจะเก็บของอะไรเพิ่มเติมในห้องอีกไหม ถ้ามีก็ไปเก็บเถอะ เดี๋ยวฉันดูน้องพีทให้”
พริมาพยักหน้าแล้วรีบเดินออกจากห้องไป ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงอริสากับชลธีเพียงสองคน ชายหนุ่มรอจนประตูห้องปิดแล้วจึงเอ่ยปากกับอดีตแฟนสาวว่า
“แล้วตกลงจะเอาไง จะพาพายไปอยู่ที่ชลบุรีก่อนเหรอ หรือว่าให้อยู่ห้องนี้กับทราย”
“คงต้องไปชลฯ นั่นแหละ อยู่ที่นี่ไม่ได้แน่นอนเพราะมันคงตามรังควานยายพายไม่เลิกแน่ เดี๋ยวมันสอบปากคำเสร็จก็คงรีบแจ้นกลับมา ทรายว่าทรายควรรีบไปเก็บของบ้างดีกว่า” หญิงสาวลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนทันที แต่แล้วเธอก็เดินออกมาอีกครั้ง
“จริงสิ ไม่มีอะไรต้องเก็บนี่นา เพราะของที่เอามาจากบ้านพี่ก็ยังอยู่ในกระเป๋า ยังไม่ได้เอาออกมาเลย”
ชลธีมองคนที่กำลังเดินไปตรงที่วางกระเป๋าล้อลากใบใหญ่ไว้ เขาจำได้ กระเป๋าสัมภาระล้อลากใบนี้เขาไปซื้อกับเธอที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เพราะตอนนั้นจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เขายอมจ่ายแพง เลือกยี่ห้ออย่างดีเพราะต้องการใช้ไปนาน ๆ และคิดว่าคงได้ไปเที่ยวด้วยกันในประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ
“เอางี้ไหมล่ะทราย พี่ว่าทรายกับเพื่อนไปอยู่บ้านพี่ก่อนก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องขับรถไปถึงชล”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ ๆ ในหัวของเขาก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า หากปล่อยให้อริสากลับไปชลบุรีคราวนี้ เขาคงไม่ได้เจอเธออีก
“ไม่เอา ไม่อยากรบกวน อุตส่าห์ขนของออกมาหมดแล้วจะให้ขนกลับไปอีกเนี่ยนะ ตลกแล้ว” เธอพูดกลั้วหัวเราะ
“รบกวนอะไรกันเล่า ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่อยู่บ้านคนเดียวก็อยู่แค่ช่วงเช้ากับตอนกลางคืนเท่านั้นเอง ตอนกลางวันพี่ไปทำงาน ทรายก็รู้”
เขาลองโน้มน้าวเธอดูอีกที อยากรู้ว่าหากคืนนี้มีเธออยู่ร่วมบ้านเดียวกัน เขาจะนอนหลับหรือไม่
“คงไม่ละพี่คราม ยังไงเสาร์นี้ทรายก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีเพราะมีทำบุญบ้าน จะกลับวันนี้หรือวันเสาร์ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ในเมื่ออริสายืนกรานอย่างนั้น เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เพราะรู้นิสัยของเธอดีว่าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น
“พ่อกับแม่รู้แล้วเหรอ เรื่องที่ทรายออกจากงานน่ะ”
เขาห่วงเรื่องนี้ของเธอไม่น้อย เพราะจำได้ดี อริสาเคยเล่าว่าบิดามารดาจะให้เธอไปรับช่วงทำกิจการเช่าอะพาร์ตเมนต์ที่นั่น แต่หญิงสาวเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อริสายังอยากหาประสบการณ์ในการทำงานไปเรื่อย ๆ ก่อน และยังอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่ เพราะอย่างไรเสียการดูแลอะพาร์ตเมนต์แห่งนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นของเธอกับน้องชายอยู่ดี
“ยังไม่รู้ และจะไม่บอกด้วย ทรายจะบอกไปว่าใช้วันลาพักร้อน”
ชลธีพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อถามคำถามสำคัญ
“และทรายก็จะบอกพ่อกับแม่เรื่องที่เรา...เลิกกัน...ด้วยใช่ไหม”
อริสาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า
“ก็ต้องบอกสิ เขาจะได้เลิกถามเรื่องของพี่ ทรายไม่อยากโกหกด้วย เป็นคนโกหกไม่เนียนพี่ก็รู้”
ชายหนุ่มหลุบตาลงมมองมือของตนเอง ยอมรับอย่างไม่อายว่าเขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขาอยากโสด อยากเป็นอิสระ อยากใช้ชีวิตแบบหนุ่มโสดให้เต็มที่ แต่พอได้มาแล้วกลับไม่ชินเสียอย่างนั้น
เสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากในห้อง อริสาตื่นตัวขึ้นทันที เธอรีบลุกขึ้นแล้วเดินเร็ว ๆ เข้าไปในห้องนอนเพื่อดูบุตรชายของพริมา ส่วนเขาได้แต่นั่งรออยู่ที่เดิม เมื่อไม่เห็นหญิงสาวอุ้มเด็กออกมา เขาจึงคิดว่าเธอคงกำลังกล่อมเจ้าตัวเล็กให้หลับไปอีกครั้ง
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปทางห้องนอน แอบดูอริสาตบก้นเพื่อกล่อมเด็กน้อยให้นอนหลับ และเพราะเธอขึ้นไปนั่งบนเตียง หันหลังให้ประตู จึงมองไม่เห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ เขาจึงแอบมองเธอได้เต็มที่
แต่พอหญิงสาวขยับตัว ชลธีก็รีบเดินกลับมานั่งที่เดิม และเพราะความรีบร้อน จึงทำให้มือของเขาปัดไปโดนกระเป๋าสะพายของอริสาที่วางอยู่บนโซฟาหล่นลงบนพื้นในลักษณะก้นกระเป๋าชี้ขึ้น และกระเป๋าของหญิงสาวเป็นทรงใบพัดไม่มีซิปรูดปิด ของที่อยู่ด้านในจึงหลุดออกมานอกกระเป๋ากระจัดกระจาย
“ฉิบหายแล้วไหมล่ะ!”
ชลธีรีบก้มลงไปเก็บ เพราะจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง เขาก็เคยทำกระเป๋าเธอร่วงแบบนี้ แล้วทำให้แป้งตลับยี่ห้อดังที่เธอใช้อยู่ประจำแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี อริสาไม่บ่นเขาสักคำ แต่กลับลงโทษเขาด้วยการลากเขาไปเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง และซื้อใช้คืนให้เธอ แต่วันนั้นหญิงสาวไม่ได้ซื้อแค่แป้งตลับ เธอจัดสกินแคร์ชุดใหญ่ น้ำหอม และลิปสติกอีกด้วย สรุปแล้วเขาต้องชดใช้คืนให้เธอสิบเท่า!
ขณะที่ชลธีเก็บของใช้ส่วนตัวของอริสาเข้ากระเป๋าอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ต้องสะดุดกับถุงกระดาษเล็ก ๆ ใบหนึ่ง ซึ่งหน้าถุงมีโลโก้ของโรงพยาบาลที่อยู่ละแวกนี้เด่นหราอยู่ทั้งสองด้าน และในถุงนั้นก็มียาอยู่หลายชนิด
“ยาอะไร ทรายป่วยเหรอ”