(MORPHINE TALK)
“เมื่อคืนหลับสบายไหมลูก” พ่อของฉันยิ้มกว้าง รอยยิ้มของท่านดูมีความสุข
แตกต่างจากฉันที่ค้นพบความสุขไม่เจอ
การข่มตาหลับในขณะที่ข้างตัวมีผู้ชายที่ฉันนึกรังเกียจนอนอยู่นั้น ฉันหลับไม่ลงจริง ๆ
“เหมือนปกติค่ะ” ฉันให้คำตอบที่เหมือนจะดูดี เพราะไม่อยากให้พ่อนั้นคิดมาก
“แล้ววอร์มล่ะ หลับสบายไหม” พ่อหันไปถามสามีในนามของฉัน สามีที่ฉันไม่อยากจะได้สักนิด
ทำไมชีวิตฉันต้องได้ของเหลือจากผู้หญิงคนนั้นตลอดเลยนะ ฉันเกลียดโชคชะตาที่สุด
“ดีครับ” จะไม่ดีได้ยังไง ในเมื่อก่อนนอนเขาฉีดยาเข้าเส้นเลือดของตัวเอง ถ้าให้เดาเล่น ๆ ก็คงจะเป็นยานอนหลับ เพราะในเวลาต่อมาไม่นานเขาก็หลับไป
“วันนี้พร้อมจะทำงานแล้วใช่ไหม” พ่อของฉันถามลูกเขย งานที่ว่าก็คือไปเป็นหมอที่โรงพยาบาลของพ่อ ศึกษาข้อมูลทุกอย่างให้มาก และเมื่อพ่อเห็นว่าเขาพร้อม พ่อก็จะให้เขาเป็นผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลนั้น ส่วนตัวพ่อฉันท่านบอกว่าท่านยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องสะสาง
และเหตุผลง่าย ๆ ที่ฉันต้องแต่งกับผู้ชายคนนี้ก็คือ เขาเหมาะสม เขาเป็นลูกชายของเพื่อนรักของพ่อฉัน และเขาต้องสืบทอดทุกอย่างที่พ่อฉันสร้างมา
น้ำเน่าสิ้นดี
แล้วตอนนี้พ่อหนุ่มน้อยของฉันก็ไม่ติดต่อฉันมาเลย ป่านนี้ไปมีเรื่องชกต่อยที่ไหนก็ไม่รู้
เฮ้อ…
คิดถึงเป็นบ้า ทำไมฉันต้องเกิดเร็วเกินไปด้วยนะ
“ฟีน มอร์ฟีน”
“คะ” ฉันหันไปมองหน้าพ่อบังเกิดเกล้าที่เรียกฉัน
“พ่อกับวอร์มจะไปโรงพยาบาล หนูอยากไปด้วยไหม”
“ไม่ค่ะ ฟีนไม่อยากไปไหน เหนื่อย ขอตัวนะคะอิ่มแล้ว” ฉันลุกจากเก้าอี้หลังจากที่ให้คำตอบผู้เป็นพ่อ
ฉันเดินมายังห้องที่พ่อสร้างไว้ให้ ห้องที่กักเก็บอุณหภูมิที่คงที่ เพราะร่างกายบ้า ๆ นี่มันไม่ได้มีแค่การปลูกถ่ายเปลี่ยนหัวใจ ฉันเบื่อจะตายไปที่ต้องทนอยู่แบบนี้
ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุด คิดว่าขยะแขยงฉันเป็นคนเดียวหรือไง ฉันน่ะโคตรรังเกียจ โคตรขยะแขยงเขาเลย
คนผิดสัญญาปากพล่อยเชื่อไม่ได้
‘เราจะไปเรียนหมอที่อเมริกาตามคำสั่งของป๊า ต่อไปเราคงไม่ได้มาหามอร์ฟีนอีก เราสัญญานะว่าเราจะตั้งใจเรียน เราจะศึกษาให้มากที่สุดแล้วเราจะกลับมารักษามอร์ฟีน รอเรานะ เราสัญญาว่าจะติดต่อมา’
เด็กผู้ชายที่ฉันรู้สึกดีด้วยเขามาลาฉัน ในวันที่ฉันฟื้นจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจครั้งแรก เขาให้คำสัญญาในวัยเด็กว่าเขาจะกลับมา หลังจากที่เขาพูดคำสัญญาจบ เขาก็แตะจูบที่ปากของฉัน
‘เราเป็นจูบแรกของกันแล้วนะ วอร์มสัญญาว่าจะกลับมาหา และเมื่อโตขึ้นเราจะแต่งงานกัน มีชีวิตอยู่เพื่อวอร์มนะ'
จูบแรกของฉันเขาขโมยไปด้วยความไร้เดียงสา
แล้วเชื่อไหมว่าฉันรอเขามาตลอด เฝ้ารอคอยให้เขากลับมา ให้เขาติดต่อมา แต่มันก็ไม่มีเลย
คำสัญญาของเด็ก 9 ขวบกว่า ฉันรอคอยเขาติดต่อมากระทั่งฉันอายุ 18 ปี ฉันก็เลิกรอ เพราะเขาไม่เคยติดต่อมา และเป็นช่วงเดียวกับที่อีลูกบุญธรรมมันจะไปเรียนต่างประเทศ
ฉันจึงอ้อนวอนพ่อ ขอออกมาเรียนข้างนอก นั่นจึงทำให้ฉันได้รู้จักโลกภายนอก และรู้จักพ่อหนุ่มน้อยของฉัน
จากนั้นมาฉันก็ได้รับรู้จากปากมิเกลว่ามันตกลงเป็นแฟนกับผู้ชายที่ฉันรอคอยมาตลอด 9 ปี
และต่อมาฉันก็ได้รู้ว่ามันมีอะไรกันแล้ว
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ฉันโกรธเกลียดผู้ชายปากพล่อยคนนี้ ฉันเกลียดที่เขาลืมคำสัญญา ฉันเกลียดที่เขาปากพล่อยกล้าเสนอหน้ามาสัญญาทั้งที่มันเป็นแค่ลมปาก
ฉันเกลียดการให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุด และฉันไม่มีทางจะใกล้ชิดเขาแน่นอน
“คุณหนู จะไปมหาลัยเหรอคะ ทำไมไม่บอกป้าก่อนคะ” แม่บ้านคนเก่าคนแก่รีบเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันลงมาจากชั้นบนด้วยชุดนักศึกษา ซึ่งนาน ๆ ครั้งฉันจะไปสักที เนื่องจากไอ้อาการป่วยนี่แหละเลยทำให้ฉันขาดเป็นว่าเล่น
แต่ทางมหาวิทยาลัยก็เข้าใจ เพราะพ่อฉันเป็นหุ้นส่วนเกินครึ่งของที่นั่น
แล้วที่ฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจจะไปก็เพราะเป็นห่วงพ่อหนุ่มนักเลงของฉัน ที่หายหน้าหายตาจนน่าสงสัย ฉันกลัวเขาจะมีเรื่องมีราวแล้วไม่ดูแลตัวเอง
“ไปแป๊บเดียวค่ะป้า” ฉันหันไปตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ซึ่งฉันเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วไ
“แล้วบอกคุณพ่อกับคุณวอร์มหรือยังคะ”
“ไม่ค่ะ คุณพ่อคงไปโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวป้าให้คนขับรถเอารถออกด้วยนะคะ”
“แต่คุณหนูน่าจะบอก…”
“ฟีนไปแล้วป้าก็รายงานพ่อสิคะ ถ้าคนรถยังไม่เอารถออกฟีนจะนั่งแท็กซี่ไปแล้วนะคะ” ฉันตัดบทอย่างไม่มีมารยาท
มันน่ารำคาญ จะกลัวอะไรนักหนาแค่พ่อฉัน…
“กรี๊ด พี่มอร์ฟีน” แล้วฉันก็มาถึงมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา ฉันคงลืมเล่าให้ฟังว่าฉันเป็นที่คลั่งไคล้ของน้องนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก ทั้งที่ฉันไม่เคยยิ้มแย้มสักครั้ง ไม่รู้จะกรี๊ดอะไรฉัน
ด้วยหุ้นที่พ่อฉันมี มันเลยเสริมบารมีให้คนรู้จัก แม้จะไม่ได้โผล่หัวมาเลยสักครั้ง แต่ผู้คนก็ยังรู้จักและพูดถึงฉัน
ไหนจะความสวยที่ผู้คนกล่าวถึง บ้างก็บอกชื่นชอบที่สีผิวของฉันที่มันขาวจนผิดตา บ้างก็ว่าชื่นชมทั้งใบหน้าที่มองแล้วละสายตาไม่ได้ บ้างก็ว่าฉันเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉา เพราะทั้งสวยทั้งหุ่นดี ทั้งมีพ่อรวย
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าฉันโคตรเกลียดการมีชีวิตอยู่ที่แสนจะทรมาน
“อ้าวพี่” น้องวิศวะเพื่อนของเคลิ้มเอ่ยทักฉัน ฉันน่ะไม่ได้เรียนวิศวะหรอก แต่ตั้งใจมาหา มาดูว่าเขายังอยู่ดีไหม
“ไอ้แสบของพี่มาเรียนไหม” ฉันถามเพื่อนสนิทของเขา
“มาครับ นั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ชอบนั่งกับพี่นั่นแหละ” น้องนักศึกษายิ้มหลังจากที่ให้คำตอบฉันแล้ว
“ขอบใจมากนะจ๊ะ” ฉันยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและเดินเลี่ยงไปยังสถานที่ที่เขาบอก
มันเป็นที่เงียบ ๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจ และเป็นที่ประจำของเขา และของฉันเวลาที่ฉันมาเรียน
และเมื่อฉันเดินมาถึง สองเท้าของฉันก็หยุดชะงัก เพราะที่ที่ฉันเคยอยู่ มันมีผู้หญิงอีกคนอยู่แทน
ใบหน้าของเคลิ้มอาจจะยังไม่ได้ยิ้มแย้มและติดไปทางบึ้งตึง แต่ผู้หญิงคนนั้นคงได้สิทธิพิเศษเหมือนฉัน ถึงแตะต้องใบหน้าของเขาได้
เขาดูเหมาะสมกันดี ฉันไม่ควรเข้าไปจะดีกว่า เคลิ้มควรมีใครสักคนจริง ๆ สักที เพราะยังไงเรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้
ฉันเลือกที่จะเดินหันหลังกลับออกมา ปล่อยให้เธอคนนั้นเข้ามาเยียวยารักษาหัวใจเคลิ้มคงจะดีที่สุด
ทุกอย่างที่มันไม่ใช่มักมีจุดสิ้นสุดเสมอ และฉันกับเคลิ้มเราเดินคนละเส้นทางกัน ไม่มีทางจะรักกันได้อยู่แล้ว
ปล่อยให้เขาเริ่มต้นใหม่ ดีกว่าจมปลักอยู่กับฉันที่ไม่รู้จะตายวันไหน
“คุณหนูไม่ควรร้องไห้มากเกินไปนะครับ” คนขับเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยเมื่อฉันนั้นร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่เดินกลับมาที่รถกระทั่งเข้ามานั่งในรถ
“กำลังพยายามหยุดค่ะ” ฉันพยายามทำใจให้โล่ง คิดแค่ว่าเขากับฉันเรารักกันไม่ได้ ฉันได้แต่กุมสร้อยที่เขามอบให้ฉัน และบอกให้ฉันสวมมันไว้ตลอด
สักวันฉันคงต้องคืนเขาแล้วล่ะ
ฉันอยากจะเดินเข้าไปหา ไปอยู่ในที่ที่เคยเป็นของฉัน แต่ตอนนี้ฉันเข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะฉันแต่งงานแล้ว ฉันไม่อยากทำร้ายเขาอีก ฉันไม่อยากให้เขาร้องไห้เพราะฉันอีกแล้ว