“เสี่ยวจูเราจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยใช่ไหม” หลังจากที่ซูเจินออกไปสองสาวก็ยังไม่ยอมหลับนอน คงเพราะว่ามันเป็นตอนกลางวันอยู่กระมัง
“ท่านหมอซูบอกแล้วว่าคุณหนูจะปลอดภัยนอนพักได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนูน้อยในท้องคงจะง่วงแล้ว”
“อืม..แล้วเจ้าคิดว่าหัวหน้าอี้สงคือใคร” หลินหลานก็ยังไม่หยุดถาม
“ก็เจ้าสำนักคุ้มภัยและเป็นคนรักของท่านหมอซูอย่างไรละะเจ้าคะ” เสี่ยวจูตอบแบบผ่าน ๆ เพราะอยากให้คุณหนูของนางได้นอนหลับพักผ่อนเสียที
“ฮึ! ข้าไม่ถามเจ้าแล้วก็ได้” หลินหลานทำเสียงฮึดฮัดใส่เสี่ยวจูที่เฉไฉแกล้งตอบไม่ตรงใจนาง หากจะตอบแบบนี้นางจะถามทำไมกันก็เห็น ๆ กันอยู่
“คิก ๆ นอนเถิดเจ้าค่ะตื่นขึ้นมาก็ค่อยถาม”
“อืมมม” หลินหลานได้แต่อือออตามแล้วก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียที่สะสมมาหลายวัน ถึงนางจะได้นอนบนรถม้ามาบ้างแต่มันก็ไม่ได้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยแบบนี้ต่อให้มีคนคุ้มกันคอยระวังภัยให้ก็ตามที
เรือนอีกหลังของท่านหมอซู...
แอ๊ด~~
“ยังไม่หลับหรือเจ้าคะ”
“รอให้เจ้ามากล่อมนอน”
“ชิ..แล้วเวลาไม่มีข้าอยู่ ท่านให้สตรีที่ไหนกล่อมนอนล่ะเจ้าคะ” หญิงสาวทำท่าแง่งอนแต่ก็ปีนขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอนหนุนแขนที่มีแต่มัดกล้ามอันแน่นปึ่กของชายหนุ่มผู้เป็นที่รักอยู่ดี
“ซูเจินอย่า...” อี้สงหายใจติดขัดเมื่อคนรักไม่ได้แค่ขึ้นมานอนข้างกายเฉย ๆ เหมือนทุกครั้ง มือบางไม่อยู่นิ่งนิ้วเรียวงามสอดเข้าสาบเสื้อและลูบไล้แผงอกไปมาปลายนิ้วก็เขี่ยหัวนมเล่นอย่างหยอกล้อ
“เสด็จแม่ไทเฮาทรงอนุญาตแล้วพิธีแต่งงานของเราก็เกิดขึ้นอย่างถูกต้องแล้ว ยังเหลืออะไรที่พี่อี้ต้องเป็นกังวลอยู่หรือ แต่งงานมาเป็นปีเรายังไม่ได้เข้าหอเลยนะ หรือจริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้รักข้าอย่างที่พูด”
“อย่าพูดว่าข้าไม่ได้รักเจ้าซูเจิน หากนับการแต่งงานแบบชาวบ้านเป็นงานแต่งของเราจริง ๆ พี่ก็ไม่คิดจะอดทนต่อไปแล้วนะ”
“แล้วใครให้พี่รอ” จ้าวซูเจินพูดพร้อมกับพลิกตัวขึ้นทาบทับร่างแกร่ง นางค่อย ๆ เปลื้องเสื้อใส่นอนของเขาออกช้า ๆ คงเหลือแค่กางเกงเกงสีขาวเนื้อบางตัวเดียวที่แทบจะปิดบังตัวตนขนาดใหญ่เอาไว้ไม่อยู่
“ซูเจิน” เขาเรียกชื่อนางด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ให้ข้าได้ปรนนิบัติท่านและทำหน้าที่ภรรยาให้สมบูรณ์เถิดนะชางอี้สง”
องครักษ์หนุ่มไม่ปฏิเสธอีกแล้วเพราะเขาเองก็โหยหานางมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ถึงแม้ทุกครั้งจะมีกอดจูบกันบ้างแต่ก็ไม่เคยเลยเถิดถึงขั้นนั้นสักที เป็นตัวเขาเองที่ไม่กล้าแตะต้องนางเพราะงานแต่งของเราที่จัดขึ้นมันเรียบง่ายเกินไปจนเขารู้สึกละอายใจ มันทั้งไม่เหมาะสมและไม่สมพระเกียรติขององค์หญิงแห่งแคว้นจ้าวเอาเสียเลย ถึงแม้ว่านางจะถอดยศออกมาเป็นสามัญชนแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้การรอคอยนั้นได้จบสิ้นลงทันทีที่คำตัดพ้อของนางพรั่งพรูออกมา จากนี้เป็นต้นไปเขาพร้อมแล้วที่จะสร้างครอบครัวกับนางอย่างจริงจังเสียที
“ปราณีสามีผู้นี้ด้วยนะภรรยาแล้วมอบบุตรตัวน้อย ๆ ให้ข้าสักคนสองคนเลยดีไหม”
“ตามที่สามีปรารถนา จะสักกี่คนก็ได้และข้าก็จะปราณีท่านให้สมกับที่ทำให้ข้าต้องรอคอยมานานนับปี” ซูเจินพูดพร้อมกับไถลตัวลงจากร่างหนาและปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออกไปอย่างง่ายดายตัวตนอันใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้างามทำให้นางเผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น
“กลัวแล้วหรือ” อี้สงกระเซ้าเย้าแหย่คนรักที่ยังคงจับจ้องกลางกายแกร่งไม่วางตา ความรู้สึกแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาคึกและอยากจะจับนางให้นอนอยู่ใต้ร่างจากนั้นเขาก็จะทรมานนางให้สมใจอยากกับความอดทนในหนึ่งปีที่ผ่านมา
“ใครกลัวกันเจ้าคะ” หญิงสาวเถียงก็นางแค่ประหลาดใจว่าทำไมมันถึงได้ใหญ่โตนัก แล้วความสงสัยก็หมดไปเมื่อนางได้สัมผัสกับมันจากนั้นนางก็เริ่มทรมานร่างหนาด้วยมือน้อย ๆ และปากนุ่มหยุ่นของนาง
“อ่ะ อืมมม ซูเจินอย่าทำ...”
คำห้ามปรามของเขาหรือจะเป็นผลเมื่อปากน้อย ๆ ได้ครอบครองตัวตนใหญ่โตเข้าไปแล้วถึงจะไม่หมดแต่ก็ทำให้เขาถึงกับเกร็งสะโพกสอบเอาไว้เพื่อสะกดความกระหายอยาก อี้สงองครักษ์มือหนี่งของชินอ๋องก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสตรีตัวน้อยที่ได้ขึ้นชื่อว่าเมียเสียงครางฮึมฮัมเล็ดลอดออกจากคอหนาเป็นระยะ ๆ เมื่อถูกรูดรั้งด้วยโพรงปากนุ่มและเรียวลิ้นร้อนความซ่านเสียวไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้อีกสายธารรักมากมายที่กักเก็บเอาไว้นานจึงถูกปลดปล่อยครั้งแรกในปากอุ่นของภรรยารักและนางก็จัดการมันจนหมดสิ้นดั่งกับว่าเป็นน้ำทิพย์อันโอชะ อี้สงกำลังจะยันกายลุกขึ้นเพื่อสลับที่ทางให้นางได้พักแต่กลับถูกนางผลักลงไปอยู่ในท่าเดิม
พี่อี้อยู่นิ่ง ๆ มันยังไม่จบเจ้าค่ะ ซูเจินบอกสามีแล้วนางก็ขึ้นคร่อมร่างหนาเอาไว้พร้อมกับปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออกทีละชิ้นอย่างช้า ๆ พาให้คนที่นอนมองหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงจะเพิ่งปลดปล่อยความปรารถนาออกไปแต่สายตาเชิญชวนยวนยั่วกอปรกับเรือนร่างงดงามของเมียรักก็ปลุกแก่นกายใหญ่ให้ลุกตั้งชันอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ถูกสัมผัสด้วยซ้ำ ซูเจินก็ไม่ต่าง ร่างเปลือยเปล่าของนางสั่นไหวทั้งร้อนวูบวาบเมื่อถูกสายตากระหายใคร่ของสามีโลมเลีย อาภรณ์ก็ถอดยังไม่หมดความอดทนขององครักษ์หนุ่มก็ขาดผึง เขาสลับที่กับนางและถอดอาภรณ์ที่เหลืออยู่ออกอย่างรวดเร็ว ซูเจินไม่ได้ขัดขืนนางสุดแสนจะยินดีที่อี้สงมีความกล้าที่จะกระทำต่อนางเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป ชายหนุ่มที่มีพลังมากล้นไม่ใช่แค่ในสนามรบหากแต่ในสนามรักเขาก็ทำให้นางสำลักความสุขซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดค่ำคืนของการเข้าหอ
ในขณะที่เรือนน้อยของซูเจินกำลังร้อนระอุเรือนอีกหลังกลับสงบเงียบเช่นเดียวกันกับใจของหลินหลานในยามนี้เป็นครั้งแรกในที่นางได้นอนหลับเต็มอิ่มและฝันดี ลางสังหรณ์เช่นนี้คงไม่แคล้วบุตรในครรภ์จะต้องเป็นเด็กชายอย่างแน่นอนแค่คิดว่าจะได้อุ้มเจ้าก้อนจ้ำหม่ำไว้แนบอกก็ทำให้นางเผยยิ้มออกมาจนหุบไม่อยู่เลยทีเดียว
“ยิ้มอะไรอยู่เจ้าคะ กำลังคิดถึงใครอยู่รึ..อย่าได้คิดเชียวหัวหน้าอี้เป็นของท่านหมอนะเจ้าคะ”
เพี๊ยะ!!! “นี่แน่ะปากเจ้าหาเรื่องแท้ ๆ ข้าแค่สนใจใคร่รู้ว่าเขาเป็นใครกันหาได้ชมชอบเขาไม่”
“คิก ๆ ข้าแค่ล้อเล่น ก็เห็นคุณหนูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่เจ้าคะเลยนึกว่ากำลังคิดถึงใครบางคน เพราะหากจะว่าเป็นท่านอ๋องก็คงไม่ใช่แน่นอน”
“ข้าแค่ฝันดีบางทีเจ้าอาจจะได้เลี้ยงดูคุณชายน้อยตัวจ้ำหม่ำเข้าแล้วล่ะ”
“คุณชาย? ไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยหรอกหรือเจ้าคะ”
“แค่บุตรของชายารองไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอ๋องน้อยหรอกนะและข้าก็ไม่ต้องการด้วยให้เขาเป็นแค่เด็กน้อยบ้านป่าบ้านเขาแหละดีแล้ว เราจะอยู่อย่างสงบสุขที่นี่จะไม่มีชายารองของอ๋องเย็นชาผู้นั้นอีกต่อไป”
วังหลวง...
“เฮ้อ! ประตูก็มี เข้าให้มันถูกที่ถูกทางหน่อยไม่ได้หรือ” จ้าวโม่เทียนทักท้วงเมื่อเห็นเงาใหญ่ปรากฎขึ้นในห้องบรรทมอย่างเงียบเชียบ
“จะให้มันเอิกเกริกไปทำไม หม่อมฉันแค่มาเงียบ ๆ ได้รับสารลับแล้วเสด็จพี่คิดเห็นว่าอย่างไร”
“เจ้าสืบค้นจนมั่นใจแล้วใช่ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องทางนี้พี่จะจัดการเอง ส่วนเรื่องของเจ้าให้ทางวังหลวงจัดการให้ดีหรือไม่โม่หยาง เพราะพี่กลัวใจของเจ้า”
“ใจของหม่อมฉันเข้มแข็งดีแล้ว จากนี้ไปในวังหลวงก็ให้หลี่ซวนมาดูแลคลังยาและคัดเลือกหมอหลวงใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม..พี่จะจัดการตามที่น้องว่า” องค์จักรพรรดิจ้าวโม่เทียนรู้สึกสลดหดหู่พระทัยเป็นเป็นอย่างยิ่งกับสารลับที่น้องชายส่งมาให้ เป็นเรื่องเกี่ยววังหลวงที่กวดขันกับหมอหลวงมาช้านานตั้งแต่สมัยก่อนที่เสด็จปู่จะขึ้นครองราชเสียอีก แต่มาบัดนี้ราชวงศ์จ้าวเกือบจะแย่เพราะหมอหลวงบางกลุ่มได้กระทำการบางอย่างลับ ๆ กับวังหลังของพระองค์ แต่จักรพรรดิจ้าวโม่เทียนก็โล่งพระทัยเพราะปัญหาที่เหล่าสนมทั้งหลายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้นั้นไม่ได้เกิดจากตัวของพระองค์เอง
“แล้วมาหาพี่มีเรื่องแค่นี้เองหรือ”
“เสด็จพี่ทรงออกราชโองการให้หม่อมฉันสักสองฉบับเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมถึงต้องสอง” จ้าวโม่เทียนแสร้งถามน้องชาย
“ของหลินกุ้ยฮวาและของหลินหลานพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคิดว่านางจะยอมหรือ ชายารองของเจ้าน่ะ”
“แค่เสด็จพี่ออกราชโองการให้ที่เหลือหม่อมฉันจะจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ..เอาอย่างนั้นก็ได้ นี่จะเป็นราชโองการสุดท้ายที่พี่จะให้เจ้าแล้วนะ”
“น้องทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องรับคำอย่างคนที่รู้สำนึกผิด
“ไหน ๆ ก็มาแล้วแวะไปหาเสด็จแม่บ้างเถิด”
“ยังก่อนพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปดูแลหวางเฟยเสียหน่อย ได้ยินว่านางไม่โปรดยาบำรุงครรภ์ที่หม่อมฉันจัดหาไปให้”
“หึ ๆ ๆ เช่นนั้นตามสบายเถอะชินอ๋อง แล้วก็รีบตามหาตัวน้องสะใภ้กับหลานของพี่ให้เจอด้วยล่ะ”
ชินอ๋องได้แต่ตอบรับทางสีหน้าอย่างเป็นทุกข์ เพราะตอนนี้มันมืดแปดด้านไปหมด หากพวกเขาปลอดภัยอี้สงก็ควรจะส่งข่าวมาบ้าง แต่นี่ก็ผ่านมาแล้วหลายวันข่าวคราวก็ยังไม่มี นี่แหละสิ่งที่ทำให้เขากังวลใจเพราะกลัวเหลือเกินว่านางกับลูกจะเป็นอะไรไป
คล้อยหลังเมื่อชินอ๋องจากไป...
“พวกเขาปลอดภัยดีแล้วใช่ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“แล้วองค์หญิงซูล่ะ”
“องค์หญิงทรงเกษมสำราญดีพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าอีกไม่นานพระองค์คงได้อุ้มหลานเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ อี้สงยอมนางแล้วหรือ ไม่เลว ๆ พรุ่งนี้ตามหลี่ซวนเข้าพบเราด่วน”
“รับด้วยเกล้าฝ่าบาท”
เพราะชินอ๋องเป็นคนดื้อดึงเรียกร้องอยากจะได้สิ่งใดก็จะเอาให้ได้ ทั้งยังไม่สนใจคำเตือนของคนในครอบครัวและยังคิดว่าตัวเองนั้นแน่กว่าใคร ๆ คราวนี้ก็คงต้องดัดนิสัยกันให้หนัก ๆ หน่อยแล้ว ไม้แก่อย่างชินอ๋องนี่แหละที่จ้าวโม่เทียนชื่นชอบอยากจะดัดนัก