สติมาปัญญาเกิด

1957 Words
“แม่นางทั้งสอง พวกเจ้าไม่คิดจะปลดผ้าคลุมหน้าออกเลยหรือแล้วจะดื่มจะกินอย่างไร” “เราชินกันแล้วท่านแม่ทัพไม่ต้องห่วง หากเราเปิดเผยใบหน้า เกรงว่าท่านและลูกค้าในร้านจะพากันหมดอารมณ์ดื่มชาเสียเปล่า” ซูเจินตอบพร้อมกับให้เหตุผล “ในสนามรบข้าเคยแม้กระทั่งกินข้าวต่อหน้าศพมากมาย แค่ใบหน้าที่มีตำหนิของพวกเจ้าคงไม่อาจทำให้ข้าขนลุกขนพองได้หรอกนะ” จ้าวโม่หยางแสดงท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนจะถูกพวกนางดูหมิ่นน้ำใจของเขา “อาหารเย็นชืดหมดแล้วข้าขอกินก่อนไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ” หลินหลานหยุดการตอบโต้ของทั้งสองที่ทำท่าว่าจะลุกลามไปไกลด้วยความหิว “แม่นางเชิญลงมือเถอะอย่าได้เกรงใจ” โม่หยางเสียงอ่อนลงเมื่อพูดกับคนท้อง ทั้งยังไม่โกรธที่นางพูดแทรกขึ้นมา ตามปกติแล้วเขาไม่เคยชอบสตรีเช่นพวกนางเลย แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่วังอ๋องทำให้เขาได้คิดว่า อย่าหลงเชื่อความเป็นผู้ดีและคำพูดหวานหูแม้กระทั่งความงาม “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เมื่อคนท้องลงมือกินความเงียบจึงบังเกิด จ้าวโม่หยางเห็นแล้วว่าผ้าบางที่ปิดครึ่งหน้าไม่ได้ทำให้นางกินช้าลงแต่ก็อยากจะรู้เหลือเกินว่าพวกนางอัปลักษณ์แค่ไหนถึงขนาดไม่ยอมปลดผ้าปิดหน้าออกแม้ยามกิน ด้วยเวลาอันรวดเร็วเตี่ยนซินที่อยู่บนโต๊ะหลายเข่งก็ไม่เหลือหลอ ชินอ๋องได้แต่มองเหม่อผ้าผืนบางที่ปิดครึ่งใบหน้าไม่เป็นอุปสรรคต่อการกินสำหรับพวกนางจริง ๆ นั่นแหละ [เข่งทำมาจากไม้ไผ่สานขนาดเล็กไว้ใส่อาหารนึ่งประเภทติ่มซำ=เตียนซิน] “เราอิ่มแล้วคงต้องลาท่านแม่ทัพกลับบ้านเสียที” หลินหลานเป็นคนพูดขึ้นเพราะไม่อยากอยู่ต่อหน้าคนผู้นี้นานเกินไปเกรงว่านางจะเผยพิรุธออกมาให้จับได้ พอพี่สะใภ้บอกไปแบบนั้นซูเจินก็เข้าใจในทันที นางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่สะใภ้อึดอัดเลยนะ แค่อยากจะเห็นหน้าพี่ชายให้เต็มตาอีกครั้งหลังจากที่ไม่พบเจอกันมานานถึงสามปี ความห่างเหินของเรามันเกิดจากงานแต่งของพี่ชายเมื่อสามปีที่แล้วเพราะนางคือคนเดียวที่คัดค้านอย่างหนักไม่ยอมรับหลินกุ้ยฮวาให้เข้ามาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์จ้าว จนถูกพี่ชายโกรธหาว่านางเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไร้เหตุผลและเอาแต่ใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราทะเลาะกันและนางก็โกรธชินอ๋องมากเหมือนกันจนตัดขาดการติดต่อกับวังอ๋อง และนางก็ไม่กลับเมืองหลวงอีกเลย “ท่านแม่ทัพเราคงต้องขอลาแล้วขอบคุณที่เลี้ยงน้ำชาเจ้าค่ะ” ซูเจินและหลินหลานกล่าวลาแล้วพากันลุกออกไป “ให้ข้าเดินไปส่งนะแม่นาง บางทีพวกพ้องของพวกมันอาจจะยังหลงเหลืออยู่” แม้จะอยากรีบหนีไปให้พ้นหน้า แต่เมื่อแม่ทัพจ้าวให้เหตุผลเช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้สองสาวปฏิเสธลงได้ เพราะตลอดมาพวกนางก็ไม่เคยเจอะเจอเรื่องอันตรายเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน จ้าวโม่หยางเดินตามสตรีทั้งสองไปเรื่อย ๆ ตลอดเส้นทางผู้คนก็จะมองมาที่พวกเขาแปลก ๆ ระคนสงสัย ว่าเหตุใดหนุ่มรูปงามถึงได้เดินตามสตรีอัปลักษณ์ไปแบบนั้นนั่นคือคำพูดที่จ้าวโม่หยางจับใจความได้ แล้วสายตาก็มองไปที่สตรีทั้งสองพวกนางช่างน่านับถือกับจิตใจที่เข้มแข็งและไม่ยี่หระต่อสายตาแปลก ๆ และคำนินทาเหล่านั้น “ถึงแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” จากนี้ไปคงไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว สองสาวหันกลับมาค้อมศีรษะให้แม่ทัพจ้าวแล้วกล่าวลา จ้าวโม่หยางรอจนกระทั่งพวกนางไปเอารถม้าออกมาและสิ่งที่สะดุดตาแม่ทัพหนุ่มคือม้าศึกพันธุ์ดีที่ถูกเอามาเทียมรถม้านั่น พวกนางเป็นใครกันหนอ ดูอย่างไรม้าตัวนั้นก็เป็นม้าของกองทัพอย่างไม่ต้องสงสัยดูจากตราประทับที่ต้นขาหน้าแล้วเป็นม้าจากค่ายบูรพาเสียด้วย หรือมีทหารคนใดแอบเอาม้ามาขายให้พวกนาง จ้าวโม่หยางไม่ได้เอ๊ะใจเรื่องหญิงสาวทั้งสองแต่กำลังคิดหาตัวคนที่ฉ้อฉลในกองกองทัพ “เอ้อสงพวกนางมาจากไหน” จ้าวโม่หยางถามองครักษ์เงาที่ติดตามมาด้วยอย่างเงียบ ๆ “สตรีจากหมู้บ้านซานเหิงพ่ะย่ะค่ะ ใคร ๆ ก็ว่าที่นั่นเป็นหมู่บ้านประหลาดและเป็นที่รวมตัวของหญิงอัปลักษณ์ ไม่ค่อยมีคนอยากจะไปกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ” “หมู่บ้านซานเหิงหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้มาก่อน ช่างน่าสนใจยิ่ง” จ้าวโม่หยางมองตามรถม้าที่เคลื่อนตัวจากไปอย่างช้า ๆ หมู่บ้านประหลาดที่รวมสตรีอัปลักษณ์มาอยู่ด้วยกันและยังมีม้าศึกเอาไว้เทียมรถม้าอย่างนั้นหรือ “เราไปหมู่บ้านซานเหิงกัน” “อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องจะไปซานเหิงทำไมพ่ะย่ะค่ะ” เอ้อสงตกใจที่จู่ ๆ เจ้านายก็อยากไปสถานที่ที่ไม่ควรจะไปอย่างยิ่ง หมู่บ้านประหลาดและสตรีอัปลักษณ์ที่นั่นน่าจะเป็นที่สุดท้ายที่ท่านอ๋องต้องไปไม่ใช่หรือ แบบนี้เขาต้องโดนพี่ชายกับพี่สะใภ้ยำเละแน่ ๆ “บางทีหลินหลานอาจจะไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็ได้ เจ้าคิดเหมือนข้าไหม และข้าก็อยากจะรู้จักหมู่บ้านประหลาดที่เจ้าว่าด้วย เราตามพวกนางไปกันเถอะ” ความปรารถนาของนายเหนือหัว องครักษณ์อย่างเขาหรือจะกล้าขัด ก็ได้แต่ตามเจ้านายไปเอาม้าที่ฝากเอาไว้เท่านั้นเอง เรื่องนี้หวังว่าพระชายากับพี่สะใภ้คงจะไม่โกรธเขาหรอกนะ หากไม่มีเรื่องความรักมาบังตาท่านอ่องคือบุรุษที่ช่างสังเกตและฉลาดที่สุดคนหนึ่งทีเดียว หลังจากแยกย้ายกับท่านแม่ทัพที่โรงฝากรถม้า ซูเจินและหลินหลานก็รีบขับเคลื่อนรถม้าออกนอกเมืองด้วยความเร็วยิ่งกว่าเดิมเพราะเกรงว่าจะมืดค่ำเสียก่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้พวกนางตระหนักได้ แม้นจะมีใบหน้าที่อัปลักษณ์เพียงใดมันก็ไม่ช่วยให้พวกนางปลอดภัยได้เลยจริง ๆ กุบกับ ๆ กุบกับ ๆ กุบกับ ๆ “เสียงม้านี่เจ้าคะ มีคนตามเรามา” หลินหลานใจเต้น ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะนางหวาดกลัวกับเสียงฝีเท้าของม้าที่กำลังควบตามมา “พี่สะใภ้อย่าตื่นเต้นนักสิ เดี๋ยวเจ้าก้อนแป้งจะตกใจไปด้วย บางทีอาจจะเป็นแค่คนที่สัญจรไปมาจากหมู่บ้านอื่นก็เป็นได้” ซูเจินพูดปลอบใจพี่สะใภ้และก็ปลอบใจตัวนางเองด้วยเช่นกัน ถึงนางจะแสดงออกว่าเก่งกาจแค่ไหนแต่ภายในใจก็หวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะพานพบมาไม่น้อย ทั้งยังกลัวว่าพี่ชายของนางจะตามมาด้วยเช่นกัน แต่ข้อหลังถูกปัดตกไปเพราะคนผู้นี้คงไม่ใส่ใจกับหญิงอัปลักษณ์อย่างพวกนางหรอก ความงามของอิสตรีเท่านั้นที่สามารถดึงดูดสายตาของชินอ๋องได้ “เสียงฝีเท้าม้าเงียบไปแล้วเจ้าค่ะ” หลินหานที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลาเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าแค่คนที่สัญจรไปมาจากหมู่บ้านอื่นเท่านั้น” ซูเจินก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ทำไมลดฝีเท้าม้าลงพ่ะย่ะค่ะ หรือท่านอ๋องจะเปลี่ยนใจไม่ไปที่นั่นแล้ว” เอ้อสงก็พลอยโล่งอกเช่นกันที่จู่ ๆ ชินอ๋องก็ผ่อนฝีเท้าม้าและหยุดลงในที่สุด “ข้าไม่อยากทำให้พวกนางตื่นกลัวจนพาลขับรถม้าเตลิด หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำอย่างไรยิ่งมีคนท้องอยู่ด้วย เราตามไปช้า ๆ เดี๋ยวก็ถึง” “พ่ะย่ะค่ะ” เอ้อสงตอบรับว่าเข้าใจทั้งยังแปลกใจกับความใจเย็นของเจ้านาย หมู่บ้านซานเหิง... ซูเจินกับหลินหลานเข้ามาถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน เช่นกันกับชินอ๋องและเอ้อสงที่เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างไร้อุปสรรคขวางกั้น สายตาเหยี่ยวของชายชาตินักรบมองกราดตลอดทางเข้าหมู่บ้าน ทุกคนต่างหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมออกมาให้เขาถามไถ่ จากการสำรวจแค่ผ่าน ๆ สายตา หมู่บ้านนี้ดูเหมือนจะอยู่ดีกินดีและร่ำรวยกันทุกครัวเรือน ถึงบ้านจะหลังไม่ใหญ่แต่ก็สวยงามและรูปทรงก็คล้ายกันแทบทุกหลังเหมือนกับมีใครบางคนมาสร้างให้ทั้งหมู่บ้าน แบบนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ “เป็นหมู่บ้านประหลาดอย่างที่เจ้าว่า พวกเขาเป็นใครมาจากไหนและทำมาหากินอะไร ดูแล้วไม่ธรรมดาเอาเสียเลย แล้วเหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่ามีหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในเขตของเมืองหยาง” “เอ่อ...พวกนางเป็นหมอและปรุงยาขายพ่ะย่ะค่ะ” เอ้อสงเอาความจริงมาตอบแค่บางส่วน “เหมือนเจ้าจะรู้ดี” “หมอโจวกับหมอหลี่ก็ซื้อยาบางตัวจากที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” “โจวเฉินกับหลี่ซวนก็รู้จักงั้นรึ แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยรู้” จ้าวโม่หยางทำเสียงไม่พอใจที่คนอื่นรู้จักหมู่บ้านนี้กันหมดแต่เขาเองกลับไม่รู้อะไรเลย เหมือนเขาเป็นคนที่ไม่เข้าพวกยังไงยังงั้น “เรื่องซื้อยาเราเคยแจ้งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านอ๋องสั่งให้หมอโจวจัดการเองได้เลยไม่ต้องรายงานอีกพ่ะย่ะค่ะ” “อ้อ...ข้าคงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สินะ และเจ้าก็รู้จักนางตั้งแต่แรก” จ้าวโม่หยางหลับตาพลางนึกถึงน้ำเสียงกับท่าทางของสตรีทั้งสองที่เพิ่งจะพานพบ “พ่ะย่ะค่ะ” “นางมีนามว่าอะไร” ชินอ๋องถามเสียงเย็นใบหน้าก็ไร้ซึ่งอารมณ์ชวนให้หวาดหวั่นยิ่งนัก “ท่านหมอซูพ่ะย่ะค่ะ หมอซูเจิน” เอ้อสงกล่าวนามของท่านหมอซูด้วยเสียงอันเบาหวิว หนึ่งในสัจจะของเหล่าองครักษ์คือความซื่อสัตย์จะโป้ปดกับคนเป็นนายก็ไม่ได้เสียด้วย แต่หากเจ้านายไม่เอ่ยปากถามนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ชินอ๋องยิ้มเยาะกับความโง่งมและไม่เอาไหนของตัวเอง สามปีที่ผ่านมา เขายอมรับว่าหลินกุ้ยฮวามีความสำคัญต่อความคิดและความรู้สึกของเขามากจนละเลยพี่น้อง เพียงนางเอ่ยปากขอสิ่งใดเขาก็จะรีบทำให้นางทุกอย่างไม่เคยขัดใจ ทุกครั้งที่ต้องกลับวังอ๋องเพียงแค่เสียงออดอ้อนของนางก็ทำให้เขาไม่สนใจใครอื่นเลยแม้กระทั่งปฏิเสธเข้าเฝ้าฝ่าบาทและเสด็จแม่ก็ยังเคย ที่หนักสุดก็คือ เขาทะเลาะกับน้องสาวคนเดียวที่รักยิ่งหลังจากเรื่องราวครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยพบเจอนางอีกเลย สามปีมาแล้วสินะ ซูเจินพี่หวังว่าเจ้าจะอภัยให้พี่ชายที่แสนจะโง่งมคนนี้ “แล้วแม่นางคนที่ท้องนั่นล่ะเจ้ารู้จักนางไหม” ชินอ๋องหันไปยิ้มเหี้ยมให้กับองครักษ์อันดับสองหลังจากตั้งคำถามแล้ว แต่เขาไม่อยากได้คำตอบหรอกเพราะเขาจะค้นหามันด้วยตัวเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD