ในขณะที่เธอกำลังคิดหนักกับเรื่องของเขา เขาเองก็ถึงกับเหงื่อตกหลังจากที่ออกมาจากห้องของเธอ อา...ใช่ตอนนี้เขากำลังดับความร้อนรุ่มนั่นอยู่ ให้ตายเถอะ ถ้าออกมาจากห้องเธอช้ากว่านี้อีกนิด เธอได้ถูกจับกดลงบนเตียงแน่
“เอ้า! เลโอทำไมลงมาช้านักล่ะ ปล่อยให้มัมกับน้องรอตั้งนานสองนาน หรือว่าแกเผลอหลับไปใช่ไหม” ขณะที่มาดามเดียน่ากำลังนั่งคุยอยู่กับสุดที่รักเพื่อค่าเวลา เลโอนาร์ดก็เดินหน้ายุ่งลงมา
“ครับ” เขาจำต้องตอบรับไปอย่างจนใจ ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าที่ลงมาช้าก็เพราะากำลังดับร้อนให้ตัวเองอยู่ ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน อ๊ะๆ อย่าคิดลึก เขาก็แค่แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำเย็นๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย และถ้าจะถามว่าแบบนั้นน่ะแบบไหน คงต้องตอบว่า ก็แบบที่คิดนั่นแหละ
“อืม! ช่างเถอะๆ ในเมื่อมาแล้วก็ทานกันเลยแล้วกัน ฮันนี่คงหิวมากแล้วใช่ไหมลูก” มาดามเดียน่าโบกมือตัดบท เพราะเข้าใจว่าลูกชายคงจะเหนื่อยกับการที่ต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดของครอบครัว
“ฮันนี่ แล้วนี่หนูจะเริ่มเรียนเมื่อไหร่จ๊ะ” ประมุขของบ้านหันมาชวนเธอคุยขณะกำลังนั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
“อีกสองวันค่ะหม่ามี้ แต่หยีว่าจะเข้าไปเซอร์เวย์สถานที่ก่อนน่ะค่ะ” ระหว่างที่สองสาวต่างวัยกำลังสนทนากัน หนึ่งหนุ่มที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไร แท้จริงกำลังนั่งเก็บทุกรายละเอียด
“อืม! ก็ดีนะ ไปดูที่ทางเอาไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้างั้นเดี๋ยวหม่ามี้จัดคนรถประจำตัวไว้ให้หนูเลยดีกว่า ไปไหนมาไหนจะได้สะดวก หนูอยากไปไหนก็จะได้เรียกใช้ได้ตามสบาย ดีไหมจ๊ะ” มาดามเดียน่าบอกอย่างใจดี
“ไม่ดีค่ะหม่ามี้ แค่หยีมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็รบกวนมากพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้วุ่นวายหรอกค่ะ เรื่องไปไหนมาไหนให้หยีจัดการเองดีกว่าค่ะ หยีดูแลตัวเองได้ เมื่อก่อนตอนเรียนอยู่เมืองไทย หยีก็ไปไหนมาไหนเองตลอด หม่ามี้ไม่ต้องห่วงนะคะ” เธอบอกด้วยความเกรงใจ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นเจ้าของบ้าน แต่เธอก็ไม่อยากรบกวนมากขนาดนั้น เพราะยังไงซะตอนนี้เธอก็ยังถือว่าเป็นคนนอกอยู่ดี
“ที่นั่นกับที่นี่เหมือนกันที่ไหนล่ะ อีกอย่างหนูเองก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก เกิดหลงขึ้นมาจะแย่ หม่ามี้รู้ว่าหนูเก่ง แต่เรื่องนี้ปล่อยให้หม่ามี้จัดการให้นั่นแหละดีแล้ว แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น เพราะยังไงซะหม่ามี้ก็คิดว่าหนูคือลูกของหม่ามี้คนนึง มากกว่านี้หม่ามี้ก็ทำให้ได้” สุดที่รักมองอีกฝ่ายน้ำตาคลอ ด้วยกำลังคิดถึงพ่อแม่ของตัวเองขึ้นมา
“แต่ว่า” เธออึกอัก แต่ยังพูดไม่จบก็ถูกคนที่นั่งเงียบมาตลอดแทรกขึ้นมาซะก่อน
“ไม่ต้องเถียงกันหรอกครับ เอาเป็นว่าเรื่องของยาหยี ผมจะเป็นธุระจัดการทุกอย่างให้เอง มัมไม่ต้องเป็นห่วง” แล้วทั้งสองสาวก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว ด้วยไม่คิดว่าเขาจะเสนอตัว
“อืม! ก็ดีเหมือนกันนะ แกเองจะได้ทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีกับเขาบ้าง ว่าแต่พ่อคนงานยุ่งทั้งปีอย่างแกจะมีเวลามาจัดการเรื่องของน้องได้จริงๆ นะเหรอ” ถึงจะเห็นด้วย แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดีว่าลูกชายจะว่างพอ เกิดรับปากไปแล้วแต่กลับทิ้งๆ ขว้างๆ เขาแบบนั้นคงไม่ดีแน่
“ผมก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นสักหน่อย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมจะจัดการไม่ได้ เอาเป็นว่าผมจะเป็นคนไปรับไปส่งเขาเอง แล้วก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างของเขาเองด้วย ตกลงตามนี้นะครับ” เขาตัดบทด้วยการสรุปให้เองทั้งหมด
“อืม! ตามนั้นก็ได้ แล้วว่าแต่วันนี้แกจะเข้าบริษัทอีกรึเปล่า” ด้วยเห็นว่านี่ก็เกือบจะบ่ายแล้ว แต่ลูกชายยังไม่ได้ไปทำงาน จึงอดที่จะถามไม่ได้
“ผมยังมีเอกสารที่ต้องเซ็นอีกนิดหน่อยครับ” ตอบแบบนี้ก็แสดงว่าเข้า
“งั้นดีเลย ฝากพาฮันนี่ไปเปิดหูเปิดตาด้วยละกัน จริงๆ วันนี้มัมตั้งใจจะพาน้องไปเดินช้อปตามประสาผู้หญิง แต่เผอิญติดธุระซะก่อน ถ้ายังไงฝากแกช่วยดูแลน้องด้วยแล้วกัน เสร็จธุระแล้วจะรีบไปเอาคืน” สุดที่รักหันมองทางนั้นทีทางนี้ที ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าตัวเองยังใช่คนอยู่รึเปล่า ก็เล่นฝากกันไปมาแบบนี้
“เอ่อ! ให้หยีอยู่บ้านก็ได้นะคะหม่ามี้ จริงๆ วันนี้หยียังไม่อยากออกไปไหนด้วย ยังเพลียๆ อยู่เลย ว่าจะนอนพักต่ออีกสักหน่อยน่ะค่ะ” เธอรีบออกตัวด้วยยังไม่อยากออกไปไหนจริงๆ แต่...
“ไปแต่งตัว” จู่ๆ พ่อคุณก็หันมาออกคำสั่ง จนเธอหันขวับมามองอย่างไม่ชอบใจ
“แต่ฉันอยากพักนี่” เธอทำหน้างอง้ำ แต่เขาก็ยังทำเป็นไม่สนอีก
“ไปแต่งตัว แล้วรีบลงมาภายในสิบนาที ไม่งั้นมีเรื่องแน่” เขาหันมาสั่งอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เผด็จการ” เธอพูดขึ้นลอยๆ ก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปแต่งตัว ‘เฮอะ! ที่ถอยเนี่ยไม่ใช่เพราะกลัวนะจะบอกให้ แค่ไม่อยากมีเรื่องหรอก’
จนแล้วจนรอดเธอก็ต้องเดินตามเขาต้อยๆ เข้าไปในบริษัทใหญ่โต อา...! แต่การถูกจับจ้องทุกย่างก้าวแบบนี้ ก็ทำเอาเธออดประหม่าไม่ได้เหมือนกัน
“นี่คุณ ฉันผิดปกติตรงไหนรึเปล่า หรือฉันแต่งตัวแปลกประหลาด เอ๊ะ! หรือว่าหน้าฉันมันมีอะไรติดอยู่ คุณช่วยดูให้ฉันหน่อยสิ” สายตาเหล่านั้นทำเอาเธอเสียความมั่นใจจนต้องรีบเข้าไปเกาะแขนเขาอย่างต้องการหาที่พึ่ง แต่มันกลับยิ่งทำให้ทุกคนต้องมองมาจนตาแทบถลน ก็ปกติท่านประธานของพวกเขาไม่เคยให้ความสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อน ถึงขั้นจับมือถือแขนกันแบบนี้ยิ่งไม่เคยใหญ่ วันๆ มีแต่จะทำหน้าดุจนพนักงานทุกคนกลัวก็เท่านั้น
“รีบไปเถอะ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น” เขาปลดมือเธอออกจากแขนตัวเอง แล้วเปลี่ยนมาจับมือเธอเอาไว้แทน ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาทำแบบนี้เธอคงจะปลื้มมาก แต่เวลานี้เธอเอากลับแต่พะว้าพะวงกับสายตาของใครต่อใคร ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเองกำลังเดินจับมือกับเขาอยู่ตอนนี้ กระทั่งเข้าไปลิฟต์แล้วนั่นแหละ เธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจได้คล่องหน่อย บอกตรงๆ ว่าเธอไม่ชินเอาซะเลยกับสายตาของคนนับร้อยที่มองมาแบบนั้น ซึ่งเธอคงไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอหายเข้ามาในลิฟต์แก้วแล้ว ก็มีเสียงซุบซิบดังระงมขึ้นมาแทน และมันคงเป็นข่าวใหม่ที่ทำให้ใครต่อใครมีเรื่องให้เมาส์ไปอีกหลายวัน