ตอนที่ 2

1335 Words
“ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ บางครั้งยัยดาก็ออกจะเรียบร้อยซะด้วยซ้ำ แม้จะเติบโตมาในสังคมฝรั่งมังค่า แต่ภาษาไทยและมารยาทไทย ยัยดาก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ตอนอยู่ด้วยกันที่บ้านฉันบังคับให้ลูกสาวพูดภาษาไทยตลอด รับรองว่าคร่องปร๋อเชียวหละคุณ แต่ถึงจะพูดไทยไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ภาษาอังกฤษคุณก็คล่องใช่หยอก” ที่อัญชันบอกว่าชรัมภ์ไม่มีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษ แน่ละสิ! เพราะชรัมภ์เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นสเปน แม่เป็นคนไทย “ลูกสาวคุณ เอ่อ ‘ดา’ ชื่อจริงว่าอะไรนะครับ?” “ดาหลาค่ะ” ชรัมภ์นึกชื่นชมอยู่ในใจว่าชื่อนั้นช่างไพเราะจับใจ ‘ดาหลา’ มันทำให้เขานึกถึงพืชตระกูลข่า ฐานใบเรียวลาดโค้งเข้าหาปลายใบแหลม กลีบสีสดแดงสลับสล้างจากโคนก้าน กระจายซ้อนกันเป็นกระพุ่มกลมแน่น ก้านดอกเหยียดตรงแข็งแรง ที่ฟาร์มของเขาก็ปลูกเอาไว้มากมาย  “แม่ชื่ออัญชัน…ลูกชื่อดาหลา มีความหมายถึงดอกไม้ด้วยกันทั้งคู่” เขาเอ่ยเบาๆ “ถูกค่ะ ฉันชอบดอกไม้ ผู้หญิงกับดอกไม้เป็นของคู่กัน เสียดายจัง ตอนนี้แกไม่อยู่ ออกไปซื้อเสื้อผ้า ก็อารามรีบ ตอนลงจากแท็กซี่นั่นละค่ะ ดันลืมกระเป๋าอีกใบเอาไว้หลังเบาะ แล้วเสื้อผ้าแกก็อยู่ในนั้นหมด เสียดาย…คุณเลยไม่ได้เจอ”           “ไม่เป็นไรครับ ยังไงต้องได้เจอกันแน่นอน”           ชรัมภ์เอ่ยพร้อมๆกับเหลือบมองนาฬิกาที่หลังมือ ได้เวลาที่เขาต้องกลับ มีธุระอื่นรออยู่ “ตอนนี้ลูกสาวคุณอายุเท่าไรแล้ว?” “ยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วค่ะ…ว่าแต่ถามทำไม?” “ก็เผื่อผมเผลอเคลมลูกสาวคุณเข้า…จะได้ไม่ผิดกฎหมายไง ถ้าอายุเกินสิบแปด” เขาแกล้งทำสีหน้าจริงจัง “บ้า…! ถ้าเป็นอย่างนั้น รับรองว่าแม่ยายอย่างชั้นจะเรียกสินสอด เรียกค่าเสียหายให้หนักเชียว” กล่าวพลางทุบไปที่ต้นแขนกำยำของชรัมภ์ด้วยท่าทางสนิทสนม เธอรู้ว่าเขาพูดเล่น “คุณเก็บความลับได้เก่งนะครับ ตั้งแต่หายหน้าไปจากวงการ กระทั่งลูกโตเป็นสาว ไปอยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ไม่เคยมีใครได้ข่าวคราวคุณเลย กระทั่งถึงวันที่คุณกลับมาเมืองไทยพร้อมกับลูกสาว” ชรัมภ์ว่า           “เรื่องมันยืดยาวเกินกว่าจะสาธยายในตอนนี้ เอาไว้จะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ระหว่างที่อยู่เมืองไทย ฉันฝากยัยหนูไว้ที่บ้านคุณก่อนก็แล้วกัน รู้หรือเปล่าว่าเมื่อวานนี้ ทันทีที่มาถึงสนามบิน ผู้สื่อข่าวก็กรูกันเข้ามารุมล้อม ตอนนั้นยัยหนูตกใจมาก งงว่าเกิดอะไร? อย่าว่าแต่ยัยหนูเลย ฉันเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกัน ดีว่าตอนนั้นเสื้อผ้าหน้าผม เป๊ะ รูปที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เลยออกมาสวยอย่างที่เห็น” เธอว่าพลางกระเสือกหนังสือพิมพ์ ยื่นไปตรงหน้าเขา หารู้ไม่ว่าชรัมภ์อ่านไปหลายรอบแล้ว           “คุณเป็นคนสวย ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหน จะมองมุมไหนก็สวยเสมอ”            เขาทอดสายตาไปที่รูปของเธอที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ลงข่าวเกี่ยวกับการกลับมาเมืองไทยของเธอพร้อมด้วยลูกสาว หลังจากหายหน้าไปจากวงการบันเทิงนานเกือบ 20 ปี           ชรัมภ์กล่าวโดยไม่รู้ตัวว่ากังวานหวานในน้ำเสียงและแววตาของเขา กำลังจะละลายหัวใจเธอ อัญชันจึงคว้าวอดก้าในแก้วขึ้นกระดกดื่มอีกครั้ง เพื่อดับเถ้าธุลีของถ่านไฟเก่า ก่อนที่มันจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ในบรรยากาศที่รู้เห็นเป็นใจเสียนี่กระไร           “รู้ตัวหรือเปล่าว่า 20 ปีผ่านมา อะไรในตัวคุณที่ยังไม่เคยเปลี่ยน?”           เธอจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขา เหมือนต้องการค้นหาความจริงบางอย่าง           “หืม…”           เขาเลิกดวงตา แลเห็นเส้นขนคิ้วสีดำดกหนา เรียงแนวแน่นเป็นระเบียบอยู่เหนือกรอบดวงตาคมกริบ           “ก็ความเจ้าชู้…แล้วก็ปากหวาน”           “แค่นั้น…”           เขาย่นหน้าผาก จ้องมองดวงหน้าหวานของอัญชัน แม้วัยของเธอจะเฉียดเลขสี่ จวนเจียนจะถึงในอีกไม่กี่วัน หากเธอยังดูสาวกว่าอายุจริง เพราะความเอาใจใส่ดูแลตัวเอง ไม่เคยละเลยในเรื่องความสวยความงาม ทำให้ชรัมภ์นึกชื่นชมอยู่ในใจ           “อ๋อ…ลืมไป อีกอย่างที่ไม่เปลี่ยน…คุณยังหล่อเหมือนเดิม คุณทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้”           เธอกล่าวยิ้มๆ จ้องมองดวงตาสีนิล ใบหน้าคมคร้าม แก้มระคายเคราน่าลูบไล้ ขนที่หน้าอกรกรามเลยกระดุมเม็ดแรกที่ไม่ได้กลัดเอาไว้  ผิวสีน้ำตาลแดงอย่างคนที่เผชิญกับชีวิตกลางไร่ส้มมาอย่างโชกโชน แผงหนวดหนาเหนือริมฝีปากหยัก ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูเข้มจนออกไปทางดุ ถ้าเขาไม่ยิ้ม           “ฟาร์มของผมยินดีต้อนรับคุณกับลูกสาวเสมอ” ชรัมภ์รีบเปลียนเรื่อง           อัญชันสังเกตเห็นรอยยิ้มอบอุ่นประดับไว้ตรงมุมปาก           “ขอบคุณมากชรัมภ์…” “เล็กน้อยน่ะ…” “ในบางครั้ง บางวันที่ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีใคร อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีอย่างคุณ ขอบคุณเหลือเกิน” กล่าวพลางโผเข้าสวมกอดร่างสูงใหญ่ของเขา             “ถ้าในยามที่คุณเดือดร้อนแล้วผมช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้…เพื่อนอย่างผมต่างหากที่ควรจะรู้สึกผิด”           “ขอบคุณเหลือเกิน…ชรัมภ์”           น้ำเสียงซาบซึ้ง หยาดน้ำตาเคลื่อนคลอออกมาบางๆ           “โอ๋ๆ…อย่าร้องไห้ ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คุณก็ยังเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาเหมือนเดิม” เขาแกล้งว่า           “บ้า!...จำผิดคนแล้ว นางเอกเจ้าน้ำตานั่นอีกคนค่ะ ไม่ใช่ฉายาของฉันสักหน่อย” เธอทำหน้าง้ำ           “ผมล้อเล่น ใครจะลืมฉายาคุณได้ล่ะ ‘ดาวยั่วหน้าอกภูเขาไฟ…บั้นท้ายดินระเบิด’ ถูกต้องมั้ย”           “บ้า!...”           เธอทุบไปที่ปั้นไหล่กำยำของเขา ผิวขาวซ่านแดงไปด้วยสีของโลหิต ออกอาการเอียงอายน้อยๆ ยกมือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่ซึมคลอออกมา ครั้นแล้วจึงกล่าวต่อ           “ยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันปกปิดลูกสาวมาโดยตลอด ลูกไม่เคยระแคะระคายว่าในอดีตแม่เคยเป็นดารา กระทั่งความแตกก็ตอนเจอกับบรรดากองทัพนักข่าวที่สนามบิน”           “คุณปกปิดได้เก่ง”           ชรัมภ์กล่าว พลางเอื้อมไปรินวอดก้าลงแก้วให้เธอ           “ขอบคุณค่ะ”           มือเรียวเอื้อมรับแก้วเหล้าจากมือใหญ่ของเขา           เรื่องที่อัญชันอ้อนวอนให้ชรัมภ์ช่วย คืออยากให้ลูกสาวไปเก็บตัวเงียบๆอยู่ที่ฟาร์มของเขาสักพัก ในระหว่างที่เธออยู่เมืองไทย เพราะชรัมภ์เคยบอกว่าฟาร์มของเขากว้างขวาง เงียบสงบเป็นส่วนตัว เค้าเองก็ยังไม่มีครอบครัว บ้านช่องรึก็ใหญ่โตราวกับคฤหาสน์           ชรัมภ์เคยชวนให้อัญชันมาเที่ยวที่ฟาร์มของเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเธอก็ไม่มีโอกาสได้มาเห็นสักที เพราะหลังจากคลอดลูก เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเรื่อยมา           “ว่าแต่คุณพร้อมวันไหน…ผมจะให้คนไปรับคุณกับลูกสาวทันที แต่ถ้าไม่ติดธุระอะไร ผมจะมารับด้วยตัวเอง” น้ำเสียงกระตือรือร้น บ่งบอกว่าเขาใส่ใจ ให้ความสำคัญกับธุระของเธอเป็นอันดับแรก “ขอบคุณมาก” คงมีเพียงคำพูดที่จะตอบแทนเขาได้ อัญชันไม่มีญาติที่เมืองไทย เธอเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มจำความได้ “มาพักที่ฟาร์มของผมดีกว่า ไม่เห็นจะต้องไปนอนโรงแรม” ชรัมภ์ชวน ในวินาทีนั้นอัญชันรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจของเขา แม้ชรัมภ์จะเป็นผู้ชายที่เรียบง่าย รักชนบทเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าความซื่อและจริงใจของเขานั่นเอง ที่ทำให้อัญชันแอบประทับใจมาตั้งแต่แรก 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD