ตอนที่ 10 คนใกล้ (ไกล) ตัว

2655 Words
ตอนที่ 10 คนใกล้ (ไกล) ตัว “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ คุณแม่” คุณครามเดินนำหน้าผมลงมายังชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ ผมเดินมาหยุดยืนมองโต๊ะอาหารขนาดใหญ่พร้อมกับความมั่นใจที่ต่ำเป็นศูนย์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองใบหน้านั้นหนักเกินกว่าจะเงยมันขึ้นมาสบตากับใครในห้องนี้ ตรงหัวโต๊ะตัวยาวคือ คุณลุงคนินทร สุดยอดนักธุรกิจวัยเฉียดเจ็ดสิบปีผู้กุมบังเ**ยนสามสิบบริษัทยักษ์ใหญ่ ในเมืองไทยที่เคลื่อนไหวครั้งใดก็ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วทุกวงการ แม้ยามนี้จะปลดระวางตัวเองแล้วส่งต่ออำนาจให้ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างคุณครามเข้ามาสานต่อธุรกิจแล้วก็ตามที อีกฟากของโต๊ะอาหารนั้นคือ คุณหญิงลินลดา เจ้าของฉายาคุณหญิงพันปีเพราะอิทธิพลที่มีนั้นไม่ได้น้อยหน้าสามีแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าสวยเฉิดฉายกับดวงตาเป็นประกายฉลาดหลักแหลม มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่ควรจะต่อกรด้วยและอีกมุมของโต๊ะใหญ่คือ น้องครีม เจ้าของเสียงใสซึ่งผมได้ยินเมื่อเช้า “เอ่อ...คุณลุง คุณป้า สวัสดีครับ” ผมยกมือสั่นๆ ขึ้นมาพยายามขยับปากแข็งเกร็งจนแทบพูดไม่เป็นคำกล่าวทักทายเจ้าของบ้าน แล้วก้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามประสาคนที่อายุน้อยกว่าสายตาก้มต่ำลงไปมองปลายรองเท้าของตัวเองอย่างเดิม “ไม่เจอกันนานนะหนูรินทร์ ตั้งแต่งานแต่งของดารัณ...ใช่มั้ย” “ครับ” ผมเหลือบตาขึ้นไปมองคุณหญิงท่าทางเฉียบขาดคนนั้นอย่างหวาดๆ และยังจำท่วงท่าสง่างามดุจนางพญาหงส์ของคนตระกูล นี้ได้ “นั่งลงสิ เห็นครามบอกว่าดารินทร์ปากยังเจ็บอยู่ ป้ากลัวจะทานขนมปังไม่ถนัดเลยให้แม่บ้านต้มโจ๊กเอาไว้ให้” “ขอบคุณครับ” ผมยกมือขึ้นมาไหว้ซ้ำอีกครั้งแล้วเหลือบตาลงไปมองชามโจ๊กทรงเครื่องกลิ่นหอมซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ “หืออออ...น่าตบจริงๆ สมควรแล้วที่ผู้ชายไม่เอา” เสียงของน้องครีมสบถออกมากลางโต๊ะอาหาร “ทุกคนดูเอาไว้นะ...นี่แหละโฉมหน้าของ ดารินทร์เล่นชู้....” ผมยืนสะดุ้งหัวใจสั่น รู้สึกจังหวะการเต้นของหัวใจมันรัวเร็วจนควบคุมไม่ได้ แขนขาอ่อนแรงจนเกือบล้มทรุดลงไปบนพื้นบ้าน กว่าจะรู้สึกตัวน้ำตาก็ไหลลงมาจนหยดถึงคาง เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในมือบางของคนอายุน้อยกว่า เสียงของน้องเอ๋ยเหมือนเงาดำพุ่งเข้ามาแล้วลากแขนผมกลับ เข้าไปภายในห้องแคบเมื่อคืนอีกครั้ง เศษซากความรู้สึกของผมที่มัน ป่นละเอียดเหมือนถูกเหยียบซ้ำด้วยการรีรันเทปไลฟ์สดเรื่องฉาวเมื่อคืน ที่ผ่านมา “ครีม! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงเข้มตวาดดังขึ้นมาอย่างน่ากลัว “ขอโทษค่ะ ครีมแค่อยากรู้ว่ามีกระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง...ครีมขอโทษนะคะพี่รินทร์” นิ้วเรียวปัดไปบนหน้าจอโทรศัพท์สองสามครั้งก่อนจะวางมันไว้กล่องเก็บมือถือด้านข้างตัว “นั่งสิหนูรินทร์” “เอ่อ...ผม” “นั่งลงได้แล้ว” ลูกชายเจ้าของบ้านเลื่อนเก้าอี้ตัวใหญ่ออกมาให้ก่อนจะกดน้ำหนักมือลงมาบนไหล่ทั้งสองให้ผมนั่งลงตรงข้ามตำแหน่ง ชิดติดกับประมุขของบ้าน ส่วนตัวเองนั้นลากเก้าอี้มานั่งขนาบอยู่อีกข้างห่างผมไปแค่ศอกเดียว “ทานได้หรือเปล่าหนูรินทร์” “ได้ครับ” ผมพยักหน้ารับแล้วยกมือจับช้อนตักโจ๊กเนื้อละเอียดในชามขึ้นมากินอย่างช้าๆ สายตายังทิ้งต่ำคว่ำลงบนลายของโต๊ะหินอ่อนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับใคร ริมฝีปากซึ่งยังเจ็บตึงเพราะรอยเย็บนับสิบนั้นทำให้ผมขยับอ้าปากให้กว้างขึ้นอย่างยากลำบาก “ทำไมพี่ครามไม่ป้อนพี่รินทร์ล่ะ เป็นคนทำพี่รินทร์เจ็บตัวไม่ใช่เหรอ” “อย่า! ไม่ต้องยุ่ง!” ผมผวาแล้วขยับตัวหนีอย่างลืมตัว แรงกระตุกของข้อมือพลัด ทำช้อนเซรามิกด้ามสวย ตกลงไปนอนกลิ้งอยู่บนผ้าเช็ดปากลาย กลีบกุหลาบโดยไม่ตั้งใจเศษโจ๊กเหลวเละเปื้อนเปรอะอยู่รอบชาม แต่มือของผมสั่นเกินกว่าจะควบคุมมันได้ “ดารินทร์” “ขอโทษครับ” ผมกดคางลงต่ำแล้วกล่าวขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสอง ซึ่งนั่งจ้องผมตาเขม็ง “หนูรินทร์ ที่นี่....ไม่มีใครทำร้ายหนูรินทร์นะ” น้ำเสียงนุ่มอ่อนหวานดังมาจากอีกฟากของฝั่งโต๊ะ ดวงตาเฉียบคมเขม็งเกร็ง ทอประกายอ่อนๆ ส่งกลับมาต่างจากเมื่อครู่ซึ่งดุเกร็งจนผมกลัว “จริงด้วยค่ะ พี่รินทร์...ผ่อนคลายนะคะ” น้องครีมส่งยิ้มแห้งกลับมาให้พร้อมกับยกมือขึ้นมาทำท่าทางเหมือนอยากให้ผมอารมณ์ดี “เอ่อ...ผม...ผม” “ที่นี่เป็นบ้านของฉัน เธอวางใจได้ว่าเธอจะปลอดภัย ภายใต้การปกครองของฉัน” คุณลุงคนินทรยกฝ่ามือหยาบวางทาบลงมาบนหัวของผมก่อนจะลูบลงเบาๆ มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิต ดวงตาสีสนิมเข้มดุดันแต่มั่นคงพุ่งตรงสื่อมาหาผม ริมฝีปากหนาหยักยกคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น ความรู้สึกของผมในเวลานี้เหมือนคนที่ถูกจับลอยแพไปกลางทะเล เคว้งคว้างไร้จุดหมาย ไม่มีปลายทาง โดดเดี่ยวเพียงลำพัง เหน็ดเหนื่อยกับคลื่นลมและอ่อนล้ากับพายุฝนที่สาดกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง แล้วบังเอิญว่ามีเรือลำใหญ่แล่นผ่านมาแล้วมีคนยื่นมือฉุดช่วยชีวิตผมให้ขึ้นไปบนเรือลำนั้น เท้าทั้งสองที่เคยรู้สึกว่ามันไม่อาจเหยียบยืนย่างก้าวไปที่ใดได้ เวลานี้ผมมีพื้นที่เล็กๆ ภายใต้ร่มเงาแห่งความเมตตาของคุณลุงที่ผมรู้สึกว่ามันมั่นคงและปลอดภัย ผมรู้สึกถึงแววตาแห่งความเมตตาปรานีจากดวงตาสีอ่อนของผู้หญิงอีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร ความหนาวเย็นในกระดูกที่ผมรู้สึกปวดร้าวมาตลอดเหมือนมันกำลังได้รับแสงแดดอุ่นๆ ในยามเช้าแล้วเวลานี้ “คุณลุง...ฮึก” ผมเอียงหัวพิงไว้กับฝ่ามืออุ่นนั้นครู่หนึ่ง อยากสัมผัสอยากรับรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน “ทุกคนในบ้านหลังนี้ จะปกป้องเธอเอง” “แผลหายดีหรือยังหนูรินทร์ ป้ากลัวมันจะเป็นแผลเป็น” คุณป้าเดินเข้ามาแล้ววางมือแตะลงบนแก้มของผมตำแหน่งที่ยังเห็นเป็นรอยแดงเพราะหนังกำพร้าที่หลุดหายไป “เริ่มแห้งแล้วครับ ถึงมันจะเป็นแผลเป็นก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ช่างมันเถอะ....” “โอ๊ยมันจะไม่เป็นอะไรได้ยังไงคะพี่รินทร์ รอยสิวแค่นิดเดียวครีมยังเครียดแทบตายเลยนะคะ ยังต้องขอตังแม่ไปเลเซอร์เลย แล้วดูสินั่นถลอกไปทั้งตัว ต้องโทษพี่ครามคนเดียวเลย เสร็จงานนี้เรียกค่าปรับสักร้อยล้านไปเลเซอร์ทั้งตัวเลยนะคะ” น้องครีมคว้ากล่องพลาสติกซึ่งดูคล้ายกล่องยาสามัญประจำบ้านมาวางโครมลงบนโต๊ะ “พี่ไม่เป็นอะไรหรอกครีม” “ไม่เป็นได้ยังไง พี่รินทร์เป็นดารานะ หน้าตาผิวพรรณเป็นเรื่องสำคัญเลยนะคะ จะให้เป็นแผลลายเป็นหนังตุ๊กแกได้ยังไงกัน มานี่ค่ะครีมทำความสะอาดแผลให้” ผมเห็นน้องครีมจับนั่นวางนี่ย้ายอันนั้นขยับอันนี้ดูง่วนไปหมด กว่านางพยาบาลจำเป็นที่อาสามาล้างทำความสะอาดแผลให้ผมจะจัดอุปกรณ์ครบก็กินเวลานานหลายนาที “ดารินทร์ฉันต้องออกไปทำธุระสำคัญเธอพักผ่อนอยู่ที่นี่ อยู่กับยัยครีมไปก่อนก็แล้วกัน ตอนเย็นเดี๋ยวฉันกลับมา” “แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดอีก ว่าผมกับคุณมีความสัมพันธ์อะไรกัน” “แล้วเรามีความสัมพันธ์อะไรกันอย่างนั้นเหรอดารินทร์” “ศัตรู คู่อาฆาต คนแปลกหน้าหรืออย่างดีคุณก็แค่เคยเป็นพี่เขยของผม” ผมตวัดสายตามองคู่สนทนาอย่างไม่วางใจนัก “แค่นั้นเหรอ?” “ใช่แค่นั้น...” “ฉันถามอีกครั้ง ให้เธอคิดอีกที” “ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดหรอกครับ” “ดารินทร์....เธอรู้มั้ยว่าตอนที่ฉันยังโสด มีผู้หญิงเป็นร้อยคนอยากขึ้นเตียงนอนกับฉันและทันทีที่ฉันแต่งงานจดทะเบียนสมรส กลับกลายเป็นว่ามีผู้หญิงเป็นพันคนที่อยากเข้ามากั้นกลางระหว่างฉัน กับดารัณ” “ขอโทษนะครับ บังเอิญว่าผมไม่ใช่หนึ่งในร้อยและไม่ใช่หนึ่งในพันของคนเหล่านั้น เพราะต่อให้คุณมานอนแก้ผ้าอยู่ต่อหน้าผม...ผมก็ไม่สน” ผมสะบัดหน้าหลบไปทางกล่องอุปกรณ์ปฐมพยาบาลของน้องครีมแล้วเพ่งมองไปทางกล่องพลาสติกทรงสูงสีขุ่นแทนมองหน้าคู่สนทนา “ถ้าอย่างนั้น...บอกฉันสิ ว่าคืนนั้นเธอขึ้นไปหาฉันบนห้องทำไม” “ผมบอกคุณไปแล้วว่าพี่รัณนัดให้ผมไปรอที่ห้อง เพื่อต้องการคุยเรื่องหย่ากับคุณ พี่รัณบอกว่าไม่อยากอยู่กับคุณตามลำพัง พี่รัณบอกว่าคุณนิสัยไม่ดี ผมเป็นห่วงพี่สาวผมจึงยอมไปด้วย” “ใช่...ฉันไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ แล้วเธอจำได้หรือเปล่าว่าทำไม หรือเพราะอะไรเธอถึงไปนอนอยู่บนเตียงของฉัน” “ก็....ก็....ผมไม่รู้...ผมจำไม่ได้...” นั่นแหละปัญหา ความทรงจำส่วนนั้นของผมมันหายไป จนกระทั่งวันนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจำได้แค่ผมนั่งอยู่ภายในห้องรับรองบนโซฟาแต่ทำไม ไปๆ มาๆ ผมถึงแก้ผ้าแล้วไปโผล่บนเตียงของคุณครามได้ นึกเกือบตายจนเส้นเลือดในสมองแทบแตกผมก็นึกไม่ออกจริงๆ “พี่รินโดนพี่ครามวางยาหรือเปล่าคะ ครีมเคยได้ยินพวกเพื่อนๆ คุยกัน เอ...เรียกอะไรนะ...ยาเสียสาว อะไรทำนองนั้นน่ะคะ กินแล้วไม่ค่อยรู้สึกตัว ตื่นมาจำอะไรไม่ได้” น้องครีมดีดนิ้วมือเสียงดังเป๊าะแล้วออกความคิดเห็นที่ผมก็เคยคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมาก “คุณวางยาผมจริงเหรอ? คุณทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นจริงเหรอ คุณคราม” “ตั้งสติหน่อยดารินทร์ คืนนั้นเธอดื่มอะไรจากมือฉันบ้าง” “ไม่มี...ใครจะไปไว้ใจคุณ...” ผมชะงักแล้วนิ่งใช้ความคิดไปครู่หนึ่ง นึกย้อนไปถึงเรื่องราวเหตุการณ์ในคืนวันนั้น ผมจำได้ว่าคุณครามยื่นแก้วเหล้าส่งมาให้ผมหนึ่งครั้งและผมปฏิเสธไป จากนั้นเขาเดินไปเปิดตู้เย็น แล้วนำน้ำผลไม้กระป๋องหนึ่งมาตั้งวางเอาไว้ตรงหน้า แต่ผมไม่ได้ยกมันขึ้นมาดื่มแม้แต่อึกเดียว “นั่นสิ...เพราะเธอไม่ไว้ใจฉัน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่เธอจะขึ้นห้องมา เธอได้ดื่มอะไรไปหรือเปล่า” คุณครามตั้งคำถามกับผมชั่วอึดใจนั้นเองผมรู้สึกว่าคุณลุง คุณป้าและน้องครีมเหมือนกำลังจดจ่อรอฟังคำตอบจากผมมากเป็นพิเศษ “ผมกินแค่น้ำในกระบอกที่พี่อาร์ตี้หยิบใส่ในมือให้ผม ก่อนที่ผมจะออกมาจากงาน” ภาพกระบอกน้ำเก็บความเย็นสีเงินซึ่งมันเสียบค้างเอาไว้ตรงคอนโซลหน้ารถวิ่งเข้ามากระแทกความทรงจำสีจางๆ ของผมสว่างวาบชัดเจนขึ้นมาในทันที “อาร์ตี้เหรอ...เป็นเขาจริงๆ ด้วย” คุณครามรำพึงรำพันออกมาเบาๆ “ทำไมล่ะ...คุณหมายความว่ายังไง” “เธอได้บอกอาร์ตี้หรือเปล่าว่าจะมาหาฉัน” “บอก...” “แล้วทำไมเขาไม่ตามมาด้วยล่ะ ในเมื่อเขารู้...ว่าเธอจะมาหาฉันคนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด...” “คุณจะบอกว่าคนที่....อาจจะวางยาผมคือพี่อาร์ตี้อย่างนั้นเหรอ” ผมกลืนน้ำลายฝืดๆ นั้นลงคอแล้วยังรู้สึกสับสนไม่หาย พี่อาร์ตี้เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ผมมาสองปีกว่าเขาจะทำแบบนั้นทำไมกัน มันไม่มีเหตุผลเลย “เขาไม่ได้แค่วางยาเธอ...แต่เขาทำมากกว่านั้น” “อะไร...” “คลิปวิดีโอที่ฉันถ่ายคืนนั้น คนที่ขายมันให้เว็บต่างๆ คืออาร์ตี้” ผมเหมือนนักมวยที่ถูกเหวี่ยงหมัดอัดเข้ากกหูกลางเวที มันอื้ออึงไปหมด สับสนจนไม่รู้จะจับเอาเรื่องราวจากตรงไหนมาต่อเข้าด้วยกันและผมไม่รู้ว่าควรจะเชื่อเรื่องไหนหรือเชื่อใครดี คนแปลกหน้า...หรือคนคุ้นเคย? “ไม่จริง พี่อาร์ตี้จะทำแบบนั้นทำไม” “ลองเดาสิ ว่าเขาทำแบบนั้นทำไม ฉันว่าเรื่องนี้เดาได้ไม่ยากนะ” “พี่อาร์ตี้...ขายคลิปนั้น?” “คืนนั้นฉันจงใจถ่ายคลิป....เพื่อวางลอบดักปลาตัวใหญ่ จริงอยู่ที่ฉันอาจจะเลวทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างที่เธอบอก แต่ฉันไม่ใช่คนปล่อยคลิปนั่น โทรศัพท์มือถือของเธอ ดารัณเป็นคนเอากลับไปด้วย...ฉันเดาว่าดารัณไม่รู้รหัสเข้าเครื่องใช่หรือเปล่า?” คุณครามเลิกคิ้วถามผมอย่างจริงจัง ระหว่างผมกับพี่รัณถึงแม้เราจะเป็นพี่น้องกันแต่ไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิดกันมากอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ และถูกต้องผมไม่เคยบอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์มือถือส่วนตัวให้คนอื่นรู้นอกจาก... “พี่อาร์ตี้...” หัวใจของผมหล่นลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มในทันที “คืนนั้นหลังจากฉันกับดารัณทะเลาะกันเสร็จเขาก็กลับไป สัญญาณจีพีเอสที่ฉันเชื่อมต่อกับเครื่องของเธอเอาไว้มันไปหยุดอยู่ที่คอนโดของอาร์ตี้ แล้วคืนนั้นคลิปที่ฉันถ่ายมันก็หลุดออกมา ฉันตรวจสอบแล้วมันถูกส่งมาจากโทรศัพท์ของเธอจริงๆ และคนที่ขายมัน...คือผู้จัดการส่วนตัวของเธอเอง เขาได้เงินไปจากการขายคลิปให้เว็บต่างๆ รวมแล้วหลายแสนบาท” “พี่รัณกับพี่อาร์ตี้เหรอ ทำไมล่ะ....เขาจะทำแบบนั้นทำไม” ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ความรู้สึกคล้ายๆ เหมือนตัวเองดิ่งพสุธาลงมาจากเครื่องบิน แล้วพยายามกระตุกเชือกเพื่อกางร่มแต่บังเอิญว่าร่มฉุกเฉินของผมมันไม่ทำงาน หัวสมองของผมจึงพุ่งโหม่งปักลงไปบนก้อนหินของคำว่า “คนใกล้ตัว” แล้วแตกละเอียดไม่เหลือแม้แต่เศษซากของส่วนใดทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกอย่างดำมืดไปหมด “หนูรินทร์...เป็นยังไงบ้าง” ผมได้กลิ่นหอมฉุนลอยมาแตะจมูกพร้อมกับรู้สึกปวดตึงตรงหัว ฝ่ามือนุ่มๆ กับน้ำเสียงละมุนช่วยให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้างแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตามที “คุณป้า...” ผมลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวภายในห้องรับรองของบ้านหลังใหญ่ “หนูรินทร์เป็นลมไป ดีขึ้นหรือยังลูก” ท่อนแขนเรียวเล็กสอดช้อนลงมาใต้ท้ายทอยพร้อมกับประคองให้ผมขยับลุกขึ้นนั่ง ด้านข้างนั้นน้องครีมนั่งเอามือเท้าคางย่นคิ้วมองผมโดยในมือยังถือก้านสำลีชุบแอมโมเนียโบกไปมาอยู่ใกล้ๆ “ทำไมใครๆ ถึงเกลียดผม ทำไมครับ ผมทำอะไรผิดอย่างนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD