ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ” นาราภัทรเคาะประตู
“เชิญครับ”
“สั่งงานมาเลยค่ะ เหลือเวลาอีกเก้านาที ห้าสิบวินาที” เธอก้มดูนาฬิกาโดยที่ไม่มองหน้าเจ้าของห้อง
“จะรีบไปไหน?”
“กลับบ้านค่ะ ผู้ปกครองกำลังจะมารับแล้ว”
“กลัวบ้านหายเหรอ”
“เก้านาทีค่ะ”
“ไม่ต้องนับแล้ว วันนี้กลับบ้านพร้อมพี่”
“ไม่กลับค่ะ”
“รับโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าสิ” ปิติภัทรชี้นิ้วมาที่กระเป๋าผ้าที่เธอสะพายอยู่ นาราภัทรที่ไม่รู้สึกตัว เงยหน้ามองเขา ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ที่กำลังสั่งครืดๆ
“ค่ะพ่อ”
.
“เพิ่งเลิกค่ะ”
.
“แต่...”
.
“ก็ได้ค่ะ”
.
“ค่ะ” นาราภัทรกำโทรศัพท์ไว้แน่น เมื่อผู้เป็นพ่อวางสายไป
“ถ้าพี่บอกให้หนูขึ้นรถไปพร้อมพี่เลย หนูคงจะไม่สบายใจ ถูกไหม?” เขารู้ว่าเธอได้รับคำสั่งจากพ่อเธอให้กลับบ้านพร้อมเขาแล้ว และคนที่เกรงกลัวพ่ออย่างนาราภัทร ก็ปฏิเสธคำสั่งไม่ได้ด้วย
“ค่ะ มะนาวเดินไปรอที่ป้ายรถเมล์หน้าคณะแล้วกันค่ะ”
“ได้ครับ รถพี่สีดำนะ ไม่ใช่คันเมื่อวาน”
“ดูจากสีผิวก็รู้แล้วค่ะ ไปได้หรือยังคะ”
“ได้ครับ เรื่องอื่นไว้คุยกันบนรถ” เขายิ้มให้เธอ แต่นาราภัทรก็ไม่สนใจ เพราะทันทีที่เธอได้ยินคำว่า ได้ครับ เธอก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป
“เอาเรื่องเหมือนกันนะมะนาว อย่างนี้ต้องปราบพยศสักหน่อย” เขาประเมินความประพฤติของนาราภัทร ก็รู้ว่าเธอไม่ได้หัวอ่อนแบบที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้แน่
“ทำไมวันนี้ต้องไปกินบ้านนาวอีกคะ ที่บ้านไม่มีข้าวกินเหรอ” นาราภัทรถามเขา เพราะอึดอึดกับความเงียบ ตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถเขา จนตอนนี้ก็เป็นเวลายี่สิบนาทีแล้ว แถมสภาพรถติดยังทำให้เธอเบื่อจนถึงที่สุด ปิติภัทรยิ้มอยู่ในใจ เมื่อในที่สุด สงครามความเงียบที่เขาตั้งใจจะสู้กับเธอ เขาได้เป็นผู้ชนะ แม้จะรู้ว่าที่เธอเปิดปาก เป็นเพราะว่าโทรศัพท์ของเธอแบตเตอรี่หมด จนเธอใช้มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ได้แล้ว
“ไปถามแม่พี่สิ แม่พี่ก็เพิ่งบอกพี่ ก่อนที่พ่อหนูจะโทรมาแป๊บเดียว”
“แล้วพี่อิฐมาด้วยไหมคะ” นาราภัทรไม่รู้จะถามอะไรต่อ เมื่อเจอคำถามปิดตายของเขา
“น่าจะมานะ พ่อพี่ก็น่าจะมาด้วย”
“อันหลังไม่ได้ถามค่ะ”
“ตอนเด็กๆ ไม่เห็นจะพูดจาไม่น่ารักแบบนี้เลย”
“เราเคยเจอกันตอนเด็กๆ ด้วยเหรอคะ”
“เคยสิ”
“งั้นก็คงไม่น่าจดจำพอ”
“ก็พี่หล่อขึ้นไง ผอมด้วย ตอนเด็กพี่อ้วนจะตาย”
“ใครถามคะ”
“พี่พยายามจะชวนหนูคุยดีๆ อยู่นะ ทำไมหนูต้องขัดพี่ตลอดเลย”
“ก็พี่ขัดหนูก่อน ตอนแรกหนูก็ถามพี่ดีๆ เหมือนกัน”
“โอเค พี่ยอมแพ้” ปิติภัทรปล่อยมือจากพวงมาลัย และหันมาก้มหาหยิบเงินที่เตรียมไว้สำหรับจ่ายเงินค่าทางด่วน
“มองถนนไปค่ะ เดี๋ยวนาวหยิบให้” เธอก้มเก็บเหรียญที่กระเด็นตกอยู่ที่ฝั่งที่นั่งของเธอ
“ขอบคุณครับ” เขารับเงินจากมือเธอ โดยที่ไม่ลืมใช้มือใหญ่รวบมือนุ่มของนาราภัทรด้วย
“สุภาพบุรุษ ไม่ควรจะฉวยโอกาสกับผู้หญิง ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ นาวไม่ชอบ” เธอมองเข้าด้วยสายตานิ่ง จนคนที่มีความผิดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“ครับ”
“เมื่อวานนาวไม่เอาเรื่องพี่ดินก็ดีแค่ไหนแล้ว ถ้าพ่อรู้ พี่ตายแน่”
“ถ้ารู้... ลุงปราโมชย์จะจับพี่แต่งงานกับนาวเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ เพราะนาวไม่อยากแต่งงานกับพี่”
“แต่ถ้าเป็นคำสั่งของพ่อ หนูจะกล้าขัดคำสั่งเหรอ”
“พ่อนาวคงไม่ใจร้าย ถึงขั้นให้นาวแต่งงานกับคนที่นาวไม่ได้รักหรอกค่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะคะ นาวจะฟังเพลง” นาราภัทรเอื้อมมือไปเปลี่ยนคลื่นวิทยุ ก่อนจะหันหน้ามองข้างทางอีกครั้ง ปิติภัทรแอบมองเธอตลอดทาง แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาแปลกๆ
“นาวลืมหนังสือไว้หลังรถพี่ค่ะ” นาราภัทรนึกขึ้นได้ เมื่อกำลังจะเดินเข้าบ้าน
ติ๊ด
“ไปเอาสิ” ปิติภัทรปลดล็อครถให้เธอ ก่อนจะยืนมองร่างบางที่กึ่งวิ่ง กึ่งเดินไปเปิดประตูรถ
“เชี่ย! ซวยแล้ว” เขารีบวิ่งตามเธอไป เมื่อคิดอะไรบางอย่างออก
“มะนาว! เดี๋ยวพี่หยิบให้” เขารั้งแขนเธอไว้ เมื่อเธอกำลังก้มลงหยิบหนังสือ
“นาวหยิบได้ค่ะ” นาราภัทรงุนงงกับท่าทางของเขา ที่ดูกังวลมากเหลือเกิน
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่หยิบให้” เขาดันตัวเธอออกห่างจากรถ จนนาราภัทรตัดสินใจปล่อยให้เขาทำตามที่ต้องการ แต่เมื่อเขาเผลอ เธอก็วิ่งไปที่ประตูรถอีกฝั่งทันที
“เอามาให้นาว” นาราภัทรจับแก้วพลาสติกที่อยู่ในมือเขา
“ไม่ให้” ปิติภัทรดึงมันกลับเข้าหาตัว
“เอามาให้นาวเดี๋ยวนี้” เธอบอกเขาเสียงแข็ง
“ไม่ให้ นี่มันเป็นเรื่องของอาจารย์ นักศึกษาอย่างหนูห้ามยุ่ง เฮ้ย!” ปิติภัทรมัวแต่จ้องหน้าบอกเธอ เลยไม่ทันได้สังเกตว่ามือของนาราภัทร หยิบกระดาษที่พับอยู่ออกมาเต็มกำมือ
“นาราภัทร” เธอคลี่กระดาษออก และอ่านรายชื่อนักศึกษาที่แสดงอยู่ในนั้น
“หยุดเลยมะนาว” เขาเดินอ้อมมาอีกฝั่ง และพยายามแย่งกระดาษในมือของเธอ นาราภัทรเดินถอยหลัง และโยนกระดาษที่อ่านแล้วไปทางเขา ก่อนจะคลี่อีกใบ
“นาราภัทร” เธอมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
“นี่ก็นาราภัทร ใบนี้ก็นาราภัทร” เจ้าของชื่อรู้ทันทีว่าในแก้มพลาสติกที่มีรายชื่อนักศึกษานั้น ไม่ได้มีชื่อใครเลยนอกจากเธอ
“พี่อธิบายได้นะ” ปิติภัทรร้อนรน แต่ก็ยังคิดคำแก้ตัวไม่ออก
“ว่ามาค่ะ” นาราภัทรยืดกอดอก รอคำตอบจากเขา
“คือ...”
“จะอธิบายว่ายังไงคะ อา – จารย์ – ปิ – ติ – ภัทร!” เธอออกเสียงเน้นหน้าที่การงานของเขาอย่างชัดเจน
“เอ่อ... แป๊บนึงนะ ไอ้อิฐโทรมา” เขารีบยกโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อ โชว์ให้นาราภัทรดู
“ว่าไงอิฐ”
[“พี่ดิน ผมไปช้าหน่อยนะ ฝากขอโทษแม่”]
“อ้าว ทำไมวะ”
[“มีเคสด่วนเข้ามาที่คลินิก แค่นี้ก่อนนะพี่”]
“ด่วนอะไรขนาดนั้นวะ” เขาถามลอยๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าบ้านของนาราภัทร
“จะไปไหนคะ”
“เข้าบ้านไง ให้ผู้ใหญ่รอนานๆ เสียมารยาทรู้ไหม”
“ไม่หยิบหนังสือให้นาวแล้วเหรอคะ” นาราภัทรปลายตามองไปที่รถ
“อ๋อ... หยิบสิ เดี๋ยวพี่หยิบให้” ปิติภัทรหันหลังกลับไปที่รถ ก่อนจะก้มลงหยิบหนังสือ
ป๊าบ!
“มะนาว! ถีบพี่ทำไม” อาจารย์หนุ่มที่นอนหน้าคว่ำอยู่บนเบาะรถ ตะโกนไล่หลังถามหญิงสาวที่เดินเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเขา ถ้ามีใครว่าเธอไม่ให้เกียรติคนเป็นอาจารย์ล่ะก็ เธอจะเถียงกลับให้ดูว่าสิ่งที่เขาทำก็ไม่เกียรตินักศึกษาอย่างเธอเหมือนกันนั่นแหละ
“มาแล้ว ตาอิฐ มานั่งเร็ว ลุงปราโมชย์กับป้าทิพารอเราทานข้าวเย็นอยู่นะ” นภาแม่ของปิตินันท์และปิติภัทร ดีใจเมื่อเห็นลูกชายคนเล็ก
“สวัสดีครับ ขอโทษที่ให้รอนะครับ ที่โรงพยาบาลมีเคสน้องหมาโดนรถชน เข้ามาด่วนครับ” ปิตินันท์กล่าวขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาประกอบอาชีพเป็นสัตวแพทย์ และมีโรงพยาบาลสัตว์เป็นของตัวเอง
“ไม่เป็นไรลูก กินข้าวกันเลยดีกว่า” ทิพาและปราโมชย์ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เธอจัดแจงให้เด็กในบ้าน จัดอาหารเย็นเมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันแล้ว
โต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนี้ ประกอบไปด้วย ครอบครัวของเจ้าของบ้านทั้งสามคน ป้านภา และลูกชายทั้งสองคนของเขา เมื่อมื้ออาหารจบลง ปราโมชย์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ก็มีสีหน้าตึงเครียด และจนนาราภัทรสังเกตได้ถึงความผิดปกติของผู้เป็นพ่อ และไม่นาน เขาก็เอ่ยปากออกมา
“มะนาว” เขามองหน้าลูกสาวที่เพิ่งจะวางแก้วน้ำดื่มลงอย่างไม่วางตา
“คะ?” เธอพยายามรักษาอาการหวาดกลัวจากน้ำเสียงอันเยือกเย็นของพ่อไว้ภายใต้รอยยิ้ม แต่ก็คนที่คอยจับสังเกตเธออยู่ตลอดเวลา อย่างปิติภัทรก็รับรู้ถึงมันได้ เธอแอบเห็นแม่ของเธอ ส่งสายตาบอกอะไรบางอย่างกับเพื่อนรัก โดยที่ไม่ต้องพูดออกมา ก็เข้าใจถึงกันได้
“มะนาว...” แม่ของเธอเรียกเธอ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
“มีเรื่องอะไรที่มะนาวต้องรู้ใช่ไหมคะ บอกตรงๆ เลยก็ได้ค่ะ มะนาวคิดว่า มะนาวน่าจะโอเค” เธอมองผู้ใหญ่ทั้งสามที่ดูอ้ำอึ้งกันไปหมด ปิติภัทรมองหญิงสาวด้วยความชื่นชม ที่เธอมีความกล้าหาญ แม้จะกลัวกับสิ่งที่จะได้ยินมากเพียงใด ส่วนตัวเขาและปิตินันท์ ก็อยากรู้เรื่องไม่แพ้กัน
“พ่อจะให้หนูแต่งงาน”
“แต่งงาน!”
“ใช่จ้ะลูก แต่งงานกับลูกชายป้า แต่งงานกับพี่อิฐ” ป้านภาที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาจับมือนาราภัทรเอาไว้ เธอและทิพา ตั้งใจที่จะให้ทั้งสองได้แต่งงานกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และตอนนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสม
“พ่อดูแลธุรกิจเราไม่ไหว เพราะมันเติบโตเกินกว่ากำลังของพ่อจะดูแล แล้วคนของเราที่มี พ่อก็ไม่ไว้ใจเท่าไหร่ อย่างที่หนูรู้ว่าเราเคยถูกโกงมาแล้ว พ่อไม่อยากให้บ้านเราตกอยู่สถานการณ์แบบนั้นอีก ถ้ามะนาวแต่งงานกับอิฐ ธุรกิจของเราจะรวมกับครอบครัวของป้านภา นอกจากจะรักษาลูกค้าเดิมไว้ เรายังขยายฐานลูกค้าได้อีก ลูกก็รู้ว่าบริษัทของป้านภามีชื่อเสียงขนาดไหน พ่อจะมีคนช่วยแบ่งเบาภาระ และยังได้ร่วมงานกับคนที่ไว้ใจได้ด้วย” ปราโมชย์พยายามพูดที่ละคำอย่างชัดเจน สายตายังคงจับจ้องดวงตาของลูกสาวที่เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า
“เอ่อ... ผมก็ไม่ค่อยได้ช่วยงานธุรกิจที่บ้านเท่าไหร่นะครับ แค่มีตำแหน่งบริหารงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วน้องมะนาวก็ยังเด็กอยู่ด้วย” ปิตินันท์รีบชี้แจง เขารู้ดีว่านาราภัทรไม่ได้อยากแต่งงานกับเขา และเขาก็ไม่ได้อย่างแต่งงานกับเธอเช่นกัน
“แม่ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้แต่งงานกันวันพรุ่งนี้ที่ไหนล่ะ รอให้น้องเรียนจบก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ก็ศึกษากันไปก่อน” นภาหันไปบอกลูกชาย เธอตัดสินใจจับคู่ปิตินันท์และนาราภัทร เพราะเห็นว่าทั้งสองมีอายุห่างกันเพียงห้าปีเท่านั้น ส่วนกับปิติภัทร ผู้เป็นลูกชายคนโตนั้น อายุห่างกับเธอถึงสิบปี
“มะนาวเข้าใจนะคะ เข้าใจทั้งพ่อกับแม่ และก็ป้านภาด้วย”
“เฮ้อ... โล่งอกไปที แม่คิดว่าหนูจะไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อซะอีก” ทิพาสบายใจขึ้นมา หลังจากกังวลอยู่หลายวัน
“ค่ะ มะนาวขอคุยกับพี่อิฐสักครู่ได้ไหมคะ” เธอหันไปขออนุญาตป้านภา
“ได้สิลูก ไปตาอิฐ ไปคุยกับน้อง” นาราภัทรปลีกตัวออกจากโต๊ะอาหาร ก่อนที่ปิตินันท์จะเดินตามเธอไป
“มองหน้าก็รู้แล้วว่าเราไม่อยากแต่งงานกัน” ปิตินันท์หันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แล้ว เขาจึงเอ่ยปากออกมา
“ใช่ค่ะ มะนาวก็ดูออก คนเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ จะให้แต่งงานกันได้ยังไง แล้วอีกไม่กี่เดือนมะนาวก็จะเรียนจบแล้ว จะให้มะนาวรีบแต่งงานไปไหน มะนาวยังใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่คุ้มเลย ต้องมาทำตัวเป็นภรรยา เป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำกับข้าวรอสามี ไม่เอาหรอก มะนาวไม่แต่งแน่”
“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องทำท่ารังเกียจพี่ขนาดนั้นก็ได้นะ” ปิตินันท์รู้สึกเหมือนโดนด่ายังไงก็ไม่รู้
“ขอโทษทีค่ะ มะนาวไม่ได้จะว่าพี่อิฐ”
“พี่เข้าใจ ไม่เป็นไรหรอก แล้ว... ตกลงอยากคุยอะไรกับพี่?”
“ไม่มีค่ะ ไม่อยากนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ มะนาวอึดอัด ก็เลยลากพี่อิฐมาด้วย”
“เยี่ยมมากน้อง!” ปิตินันท์ชื่นชมในความคิดของนาราภัทร
“อย่าเพิ่งหันหลังนะคะ ตอนนี้แม่พี่อิฐ กำลังแอบมองเราอยู่ เดินตามมะนาวไปที่สวนหลังบ้านดีกว่าค่ะ” นาราภัทรแอบเห็นนภายืนแอบอยู่หลังผ้าม่าน และพยายามสอดส่องเธอและปิตินันท์
“โอเคครับ” เขาตอบตกลง ก่อนจะเดินตามนาราภัทรไป