แม้ว่าแมทธิวจะชวนหญิงสาวไปรับประทานอาหารด้วยกันหลังจากที่มิณทร์ทำแผลเสร็จ ทว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ พี่โมนากลับมีเรื่องให้ต้องไปจัดการแบบด่วนๆ ส่วนตัวเขาก็ต้องไปส่งมิณทร์กลับคอนโด
สุดท้ายทั้งสองคนจึงตกลงว่าจะแยกย้ายกันไปก่อนแล้วค่อยไปเจอกันอีกทีตอนเย็น แมทธิวเสนอกับหญิงสาวว่าจะเป็นฝ่ายไปรับไปส่งเธอเองซึ่งฝั่งพี่โมนาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
เธอตอบตกลง พอถึงเวลานัดหญิงสาวก็ส่งโลเคชั่นคอนโดของตัวเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับร้านอาหารที่แมทธิวตั้งใจพาเธอไปให้ชายหนุ่ม และเมื่อเขาขับรถไปถึงหน้าคอนโดของเธอก็พบว่า มาริลินลงมานั่งรอที่หน้าล็อบบี้เรียบร้อยแล้ว
แมทธิวนึกขอบคุณที่เธอมีธุระด่วนเข้ามา เขาถึงได้มีโอกาสได้เห็นหญิงสาวแต่งตัวสวยขนาดนี้
ตอนบ่ายที่โมนาสวมชุดเดรสผ้ามันสีขาวปลอดคู่กับรองเท้ามีส้นว่าสวยแล้ว ในตอนนี้ที่เธอสวมชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำล้วนเข้าชุดกับส้นเข็มสีขาวมุก ปอยผมด้านหน้าถูกม้วนเป็นลอนคลายขับให้ใบหน้าของเธอยิ่งหวานมากขึ้น
"พี่สวยจังครับ" หวานจนแมทธิวที่ยามนี้ขับรถพาเธอไปถึงร้านอาหาร และนั่งรับประทานอาหารอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ดวงตาเรียวมองเธอหยาดเยิ้มจนหญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ เธอก็ดูดีมากเหมือนกันนะ” มาริลินเอ่ยตอบ ดวงตามองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ๊ตผ้าเนื้อดีสีเทาเข้มเข้าชุดกับกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าหนัง เสริมให้ร่างสูงใหญ่ยิ่งดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้นแม้จะเป็นเพียงนักศึกษา
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงมื้ออาหารเย็นแสนอร่อยก็จบลงก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของการดื่ม แมทธิวเลือกดื่มไวน์แดงเพื่อย่อยสเต็กที่เพิ่งรับประทานเข้าไป สวนเธอที่ไม่ได้รับประทานของหนักนั้นเลือกดื่มไวน์ขาว
ท่ามกลางสายลมที่พัดเอื่อยๆ ร้านอาหารบนรูฟท็อปเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมากสำหรับเดทแรก เพราะมาริลินรู้สึกประทับจริงๆ ที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างเขาซึ่งยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำเลือกพาเธอมาที่แบบนี้
เพราะมันสื่อได้ชัดเจนว่าพื้นฐานครอบครัวของเขานั้นดีพอสมควร อย่างน้อยเขาก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองจะมีปัญญาจ่ายถึงกล้าพาเธอมา
แม้ว่าแท้จริงแล้วมาริลินจะไม่ได้ต้องการให้เขามาลงทุนอะไรกับตนมากมาย แต่การมากับผู้ชายที่มีพาวเว่อร์ในมือก็ดีกว่ามากับคนที่ไม่มีอยู่ดี อย่างไรเธอก็ยังอยู่ในโลกที่ผู้ชายตั้งตัวเป็นใหญ่ เลือกคนที่มีกำลังในการดูแลได้ย่อมสร้างปัญหาน้อยกว่า
“พี่เป็นลูกครึ่งประเทศอะไรเหรอครับ” เขาถามขณะที่ยกแก้วไวน์ของตนขึ้นแกว่งไปมา สายตามองเธออย่างลึกล้ำทว่าไม่ได้กวาดมองสำรวจให้ดูน่าเกลียดหรือมากพอที่เธอคิดว่าเขาลามก
“ดัตช์ค่ะ แม่พี่เป็นชาวเนเธอร์แลนด์พ่อเป็นคนไทย เธอล่ะคะเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ทำไมถึง…ขอโทษนะ พูดไทยไม่ชัด” เธอถามท่าทางกังวลว่าเขาจะรู้สึกไม่ดี แต่สำหรับคนที่พูดไทยไม่ชัดจริงๆ อย่างแมทธิวกลับมองว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักมาก
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้ เขาเจอมาเยอะมาก แต่เธอน่ารักมากเป็นพิเศษ
“ผมไม่ได้เป็นคนไทยครับ”
“อ้าว จริงดิ” เธอตาโตทันทีที่เขาพูดจบกระนั้นก็ไม่ได้ดูแปลกใจอะไร คงเพราะใบหน้าของเขามันคงบอกยี่ห้อมากพออยู่แล้ว
“ครับ พ่อแม่เป็นคนจีนแต่เกิดที่ชิคาโก้แล้วก็โตที่นั่น พอจะเข้ามหาลัยแม่เพื่อนก็ชวนแม่ผมย้ายมาทำธุรกิจที่ไทย เราเลยย้ายตามกันมา” แมทธิวยิ้มกว้างมองใบหน้าสวยเพลินตาของเธอขณะที่เล่าถึงชีวิตของตัวเองไปด้วย
ด้านมาริลินเมื่อรับรู้อย่างนั้นก็พยักหน้ารับอย่างสนอกสนใจดวงตาสวยยังคงมองพิศใบหน้าของชายหนุ่มรุ่นน้องอยู่แบบนั้น ราวกับว่าเธอกำลังเดาอยู่ในใจว่าเขาเป็นคนประเทศอะไรกันแน่
“เห็นเธอพูดไทยเก่ง พี่เลยคิดว่าเธอจะมีเชื้อไทยบ้างเสียอีก สรุปไม่มีเลยเหรอคะ”
“ไม่มีเลยครับ ภาษาไทยก็เพิ่งมาให้เพื่อนสอนตอนที่มาไทยเมื่อสามปีที่แล้ว คือมันใช้ทุกวันน่ะครับก็เลยพูดได้เยอะ แต่เรื่องสำเนียงสำหรับภาษาที่มีโทนสูงต่ำแบบนี้มันยากเกินไปสำหรับผม”
“เพื่อนพี่ก็พูดแบบนั้นกันหมด แล้วเพื่อนที่เธอหมายถึงใช่น้องลูกครึ่งคนนั้นหรือเปล่าคะ ที่บอกว่าย้ายมาไทยด้วยกัน ชื่ออะไรนะ เดคใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมกับเดคเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็สนิทกัน พอแม่ของเราสองคนย้ายกลับไทยก็เลยมาด้วยกัน”
“ถึงว่า แล้วจะอยู่ไทยนานไหมคะ หลังเรียนจบจะย้ายกลับไหม”
“ยังไม่ได้คิดเลยครับ แต่วงการหนังในไทยไม่ค่อยโตเท่าไหร่ ผมกับเดคก็คิดกันอยู่ว่าอาจจะต้องย้ายกลับไปทำงานที่อเมริกา” แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกพึงพอใจในตัวเธอ มากพอสมควรแต่แมทธิวก็ยังเลือกที่จะบอกไปตามตรง เพื่อนทุกคนของเขาก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น
แม้กระทั่งมาริลินที่นั่งฟังอยู่ก็เหมือนจะคิดไม่ต่างกัน เธอพยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด เพราะอยู่ไทยมานานหลายปีรู้ดีว่าวงการหนังในไทยนั้นเป็นอย่างไร
“ก็จริงของเธอ”
“แล้วพี่ล่ะครับ เรียนจบอะไรมา” เมื่อเล่าเรื่องของตัวเองจบแล้วแมทธิวจึงเอ่ยถามถึงเรื่องของเธอบ้าง หญิงสาวได้ยินอย่างนั้นก็พลันยิ้มน้อยๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ
ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังสัมผัสได้ถึงความกังวลบางอย่าง ก่อนจะมาเข้าใจตอนที่เธอเริ่มเล่า
“พี่เรียนจบด้านงานเขียนมาน่ะค่ะ ตอนนี้ก็เป็นนักเขียนอิสระแล้วก็มีงานพาร์ทไทม์นิดหน่อย”
“เขียนเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ”
“ส่วนใหญ่จะเป็นฟิคชั่นค่ะ พวกนิยายรัก นิยายโรมานซ์ แต่ส่วนใหญ่พี่จะถนัดโรมานซ์เสียมากกว่าที่เหลือก็แล้วแต่ลูกค้าจ้าง พี่พอมีฐานลูกค้าที่เคยเขียนบทความส่งสมัยมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง”
แต่แม้จะมีความกังวลใจให้สัมผัสได้ ทว่าเธอก็ยังตอบกลับมาอย่างภาคภูมิใจในเนื้องานที่ตัวเองทำ ออกจะมั่นใจมากเสียด้วยซ้ำเพราะดูท่าแล้วเธอไม่ได้ไส้แห้งอย่างที่นักเขียนมักจะโดนปรามาสเอาไว้แน่
"ผมพอจะเคยอ่านอยู่บ้างตอนหาข้อมูลทำหนังสั้น ของพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะทำขึ้นมาได้ง่ายๆ เลยนะ ปกติพี่เขียนยาวไหมครับ" คล้ายกับว่าปฏิกิริยาของเขาทำให้หญิงสาวประทับใจอยู่พอสมควร เพราะอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าสวยจึงแย้มกว้าง ดูผ่อนคลายมากกว่าเดิม
"ส่วนใหญ่ก็จะยาวค่ะ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยเขียนเรื่องสั้นแล้ว เรื่องยาวขายดีกว่าน่ะค่ะ" ประโยคสุดท้ายเธอโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบอย่างทะเล้น เป็นที่น่าเอ็นดูมากในสายตาของชายหนุ่มรุ่นน้อง
“แหงสิ ไม่ว่าจะงานที่รักหรือไม่รักเงินก็สำคัญเสมอครับ”
“พูดอีกก็ถูกอีก” แมทธิวแทบไม่ได้นับแล้วว่าเขาชมเธอว่าน่ารักในใจไปกี่ครั้งกี่หน
หลังจากนั้นบทสนทนาสัพเพเหระก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม โมนาดื่มไวน์ขาวไปอีกสามแก้ว ส่วนแมทธิวที่ยังต้องทำหน้าที่เป็นคนขับเขาดื่มไวน์เพิ่มไปอีกแค่แก้วเดียวแล้วสั่งน้ำผลไม้มาดื่มล้างปาก
ในที่สุดช่วงเวลาแห่งเดทแรกก็ดำเนินมาถึงช่วงท้าย หญิงสาวที่ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบบัตรของตนออกมา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะหลังจากที่แมทธิวแจ้งบริกรไปว่าจะเช็กบิล
“ให้พี่หารนะคะ พี่ดื่มไปเยอะเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงยานคางเล็กน้อย ดวงตาสวยที่เริ่มฉ่ำสบกันดวงตาคมที่ยังจับจ้องใบหน้าของเธอไม่ละสายตามาตั้งแต่เมื่อครู่ ทว่าเขากลับดันบัตรของเธอกลับทั้งที่สายตายังคงประสานกัน
“เอาไว้พี่ค่อยเลี้ยงผมคราวหน้านะครับ รอบนี้ให้ผมจ่ายเถอะ” แมทธิวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร เพราะพอจะเดาสิ่งที่เธอคิดได้ผ่านสายตาที่มองไปรอบๆ
เขายังเรียนไม่จบยังไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขายังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ พอมาที่ๆ ราคาสูงขนาดนี้มาริลินจึงอาจจะไม่อยากให้เขาจ่ายอยู่คนเดียว เธอไม่ได้รู้นี่ว่าเขาหาเงินได้หกเจ็ดหลักต่อเดือนด้วยตัวเองมานานแล้ว
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวยังมีท่าทีไม่แน่ใจและยังไม่หยิบบัตรของตัวเองกลับไป เห็นอย่างนั้นแมทธิวจึงถือวิสาสะเอื้อมมือไปดึงมือของเธอมากุมเอาไว้
“ให้ผมจ่ายเถอะครับคนสวย ผมอยากเทคแคร์พี่”
จะว่าเขาปากหวานหวังผลก็ได้เพราะก็หวังจริงๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าหลังจากได้กุมมือเธอพร้อมกับพูดประโยคนั้นจู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ยิ่งได้สบกับแววตาหวานเชื่อมของเธอก็ยิ่งเหมือนถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้ละไปไหน
ได้แต่สบลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น จ่อมจมลงไปในห้วงกับดักอันหอมหวานที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเธอหรือตัวเขากันแน่ที่เป็นคนสร้าง อยู่ๆ เขาก็คิดถึงรสจูบของเธอที่มุมอับร้านเหล้าเมื่อคืนก่อนขึ้นมา
ถ้าได้ชิมอีกสักครั้งคงเยียวยาหัวใจไปได้อีกนาน
“พี่ก็คิดถึงจูบของเธอค่ะ” แมทธิวมัวแต่มองใบหน้าสวยๆ ของเธอโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของเธอดังผ่านโสตประสาท
ใบหน้าของหญิงสาวรุ่นพี่แดงซ่านทว่าเธอกลับไม่หลบตาเขาเลยแม้สักวินาที ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้หวนคิดว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรออกไปมาริลินก็พูดขึ้นอีกประโยค ก่อนที่ดวงตาของเธอจะลากจากดวงตาลงมายังริมฝีปากของเขา
ริมฝีปากสวยเคลือบลิปกลอสแวววาวแย้มยิ้มเล็กน้อย
“ไปดื่มต่อกันที่ห้องพี่ไหมคะ พี่ไม่อยากดื่มคนเดียว” ถ้าเขากล้าปฏิเสธเธอเขาก็เป็นผู้ชายที่ใจร้ายที่สุดในโลกแล้ว
“ได้สิครับ”
ติ้ด ติ้ด ติ้ด ติ้ด
เสียงกดรหัสสี่ตัวดังขึ้นติดๆ กัน ก่อนจะตามด้วยเสียงบานประตูที่เปิดออกจนแสงจากพาดนอนพาดลงไปในความมืดเป็นทางยาว ในแสงนั้นปรากฏเงาของหญิงสาวและชายหนุ่มที่กำลังกอดรัดพัวพันกันอย่างหิวกระหาย
ลืมเรื่องดื่มที่พูดถึงก่อนหน้านี้ได้เลย เพราะรสจูบร้อนแรงที่ดำเนินมาหลายวินาทีแล้วนั้นยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่แมทธิวเป็นคนทำหน้าที่เอื้อมมือข้างหนึ่งไปดันประตูปิดอย่างทุลักทุเล ส่วนมืออีกข้างกอดกระหวัดรอบเอวคอดของเธอเอาไว้
เมื่อปิดประตูเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็ดันตัวของเธอไปกับกำแพง ริมฝีปากยังคงดูดดึงไม่พัก เรียวลิ้นร้อนผ่าวฟาดฟันกันอยู่ภายในอย่างไม่มีใครยอมแพ้ มือหนาสัมผัสแผ่นหลังนิ่มนวลของเธอไปเสียจนถ้วนทั่ว
“อือ…” เอวเล็กคอดบิดเร้าไปมาตอบสนองแรงนวดเฟ้นของชายหนุ่มรุ่นน้อง มือบางไล่ไปตามแผงอกแกร่งลากยาวลงมาถึงหน้าท้องที่กำลังหดเกร็งจนกล้ามขึ้นเป็นลูก
กว่าจะผละออกจากกันได้ต่างคนก็ต่างหอบหายใจรุนแรง แมทธิวหน้าแดงก้มมองริมฝีปากสีเชอร์รี่ของหญิงสาวก่อนจะมองเลยไปยังเนินอกขาวที่โผล่พ้นชุดเดรส แม้ไม่ได้เห็นทั้งหมดแต่ในหัวของเขาจินตนาการไปแล้วว่ามันจะเต็มไม้เต็มมือขนาดไหน
ได้มองแค่นี้ก็ว่ารู้สึกจนปวดไปหมดแล้ว ทว่ายามที่เหลือบขึ้นมาสบตาเธอ ได้เห็นว่ามือข้างหนึ่งของเธอที่ไม่ได้ลูบลอนหน้าท้องเล่นกำลังเกี่ยวเข้าที่หัวเข็มขัด แมทธิวก็ยิ่งรู้สึกว่าส่วนนั้นมันยิ่งพองขยายเหมือนจะทะลุกางเกงออกมาเสียให้ได้
“ยังใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะคะ น้องแมทธิว”
ผ่านคืนนี้ไปได้เขาจะไม่ด่ามิณทร์ที่ชอบผู้หญิงอายุมากกว่าอีกแล้ว