เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอน
ทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน
“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา
“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัด
หลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น
“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอ
นางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมของเขาก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าของเขาถึงจะหล่อเหลาคมคายแต่รูปร่างใหญ่โตและแววตาขึงเครียดอย่างนั้นทำให้ความหล่อเหลาคล้ายกับเทพเซียนของเขาเสมือนถูกปีศาจกลืนกินไปจนหมดสิ้น
หลิงเวยยิ่งงงงันแต่กระนั้นนางก็แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้และไม่เคยมีความแค้นอันใดต่อกัน ไยเขาถึงต้องทำกับนางอย่างนั้น ทำไมกัน!?
หญิงสาวเริ่มร้องไห้หนักๆ ออกมา น้ำตาของนางไหลเป็นทางยาวไม่หยุดราวกับเขื่อนกั้นทะเลสาบแตกทลาย
“ท่าน...ท่านขืนใจข้า” นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิต ทำเอาชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันต้องคำรามออกมาเสียงดัง
“หยุดเล่นงิ้วเสียที!”
ประโยคอย่างนั้น น้ำเสียงอย่างนั้น ทำเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ ดวงตาพองโตเพ่งมองเขาผ่านน้ำตาชุ่มฉ่ำคล้ายม่านน้ำตก
อันใด!? ต้องเป็นนางมิใช่หรือไรที่ต้องโกรธจนอยากจะฆ่าเขา
“ท่าน...ท่าน...” หลิงเวยเริ่มละล่ำละลักทั้งน้ำตาหมายเรียกร้องความสูญเสียของตนที่เขาพรากไป แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะว่ากล่าวต่อคำสิ่งใด เสียงเกือกม้ากระทบพื้นพลันเงียบลงรถม้าพลันจอดนิ่ง
บุรุษร่างหนาใบหน้าหล่อเหลาสายตาดุดันเหี้ยมเกรียมก็ลุกออกไปจากรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองหลิงเวยแต่อย่างใด
เขาลุกออกจากรถม้าไปด้วยอาการฉุนเฉียวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองนาง หรือรอรับร่างบางของนางให้ลงจากรถม้าแต่อย่างใด
หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนอีกครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับกายตามเขาออกมาจากรถม้าหวังจะด่าทอเขาสักหลายๆ คำ
แต่ทว่าความเจ็บแปลบช่วงกลางลำตัวพลันเล่นงาน นางถึงกับต้องนั่งลงเอื้อมฝ่ามือขึ้นกุมหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวสวยต้องขมวดพันกันมุ่นสายตาคู่สวยพลันผงะเมื่อมองเห็นเบื้องหน้าของนางเป็นจวนของตระกูลหลิง
“คุณหนู โปรดลงมาเถิด” และตามด้วยเสียงของบ่าวชายผู้หนึ่งเอ่ยมาทางหลิงเวย
หลิงเวยลงจากรถม้าด้วยตนเองอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บร้าวไปหมดตั้งแต่ศีรษะลงมา นางพยายามประคองเรือนร่างของตนเดินตามหลังของบ่าวชายผู้หนึ่งมาตามทางเมื่อบ่าวชายผู้นี้บอกกล่าวให้นางเดินตามเขามายังห้องโถงกลางเรือนพร้อมกับมีบ่าวชายอีกสามคนเดินตามหลังนางเพื่อคุมตัวนาง
นี่มันเรื่องบ้าอันใด ไยนางถึงอับโชคปานนี้ นี่คงเป็นแผนการของบิดาใช่หรือไม่ เขาโกรธที่นางแอบหนีออกจากจวนไปใช่หรือไม่ ไยต้องทำกันถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมายังทรมานกันไม่พอหรืออย่างไร ไยต้องใช้วิธีการที่ชั่วช้าสามานย์ปานนี้กัน เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่
หลิงเวยพร่ำบ่นอยู่ในใจด้วยความชอกช้ำที่สุดในชีวิตน้ำตาแห่งความเสียใจพลันเริ่มเอ่อคลอหน่วยของดวงตาจนล้นออกมาเป็นทางยาว นางเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามายังเรือนรับรองอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตาอันอับแสง
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของผู้หนึ่งพลันดัง
“ข้าย่อมรับผิดชอบ ชายชาติทหารกล้าทำย่อมกล้ารับ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษที่นั่งมาในรถม้าคันเดียวกันกับหลิงเวยนั่นเอง หญิงสาวจำน้ำเสียงนี้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมองหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องมาแล้วนั่งลงกับพื้นกลางห้องเพื่อรอรับโชคชะตาอันอับเฉา นางเห็นเป็นเขาจริงๆ บุรุษร่างใหญ่ผู้นั้น
“เช่นนั้นย่อมดี” เสียงของบุรุษสูงวัยอีกเสียงหนึ่งพลันดังตาม เสียงนั้นเป็นเสียงของประมุขแห่งจวนตระกูลหลิงนั่นเอง หลิงเวยจึงผินหน้าไปมองบิดาของตนตาปริบๆ ผ่านม่านน้ำตา
“ข้าจะจัดงานสมรสให้หลังจากนี้อีกสามเดือนตามความเหมาะสม” เสียงเข้มข้นของบุรุษร่างใหญ่คนเดิมกล่าวออกมาอีกครั้ง หลิงเวยก็ผินใบหน้าเบนสายตากลับมามองเขาอีกครา
“กำหนดมงคลสมรสนั้น ข้าต้องการให้เกิดขึ้นภายในสามวัน นางเป็นบุตรีของข้าที่มิใช่สตรีข้างถนน ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกถึงเพียงนี้ ท่านจักรอให้อับอายแก่วงตระกูลยิ่งกว่าเดิมไปไย” หลิงอี้ถังเสนาบดีกรมคลังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอมด้วยสีหน้าจริงจังเอาเรื่องทั้งยังวางตัวเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าไปทางบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม หลิงเวยจึงพลิกสายตากลับมายังฝั่งบิดา
ฟงชินหยางกัดฟันกรอดตอบกลับเสียงกดต่ำ “ย่อมได้” จบคำก็สะบัดชายผ้าเสียงดังเดินออกจากห้องโถงของเรือนรับรองไป
หลิงเวยหันหน้ามองบุรุษผู้ที่นั่งรถม้ามากับนางอย่างอึ้งๆ และยังคงมองตามเขาอยู่อย่างนั้น
นางมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่งามสง่าของเขาอย่างเงียบงัน นางเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ของเขาเดินจากไปโดยที่เขาไม่หันมามองนางอีกเลย
หญิงสาวขมวดคิ้วพันกันแน่นมากยิ่งขึ้น บิดาของนางคงเป็นเจ้าของแผนการจับเสือให้กระต่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงเวยผินใบหน้าหันกลับมามองบิดาของตนอีกคราอย่างมิรู้ได้ว่าจะต้องกล่าวคำอันใดกับบิดาเช่นนี้ที่ไม่สมควรเป็นบิดาของนางเลยสักเสี้ยว
หลิงอี้ถังมองธิดาตัวเล็กของตนด้วยรอยยิ้มละไมประดับใบหน้าหล่อเหลารูปงามที่คมคร้ามตามอายุ บุตรีตัวดีของเขาบังอาจคิดหนีงานแต่งที่เขาหมายจะยกระดับอำนาจตระกูล
ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะแอบรักอยู่กับท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรผู้ถือกำลังพลมากมายอย่างฟงชินหยาง ถึงขั้นแอบไปนอนพรอดรักกันในโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าฟงชินหยางจะมีท่าทางคล้ายกับโกรธขึงประหนึ่งว่าถูกวางยากระนั้น
แต่หากว่าเขาถูกวางยาจริงก็นับว่าบุตรีของเขาช่างฉลาดล้ำยิ่งแล้ว ฮึฮึ!
หลิงอี้ถังคิดอย่างปลื้มปริ่มดีใจยิ่งอยู่ภายในใจหาได้เสียใจอันใดไม่พลางเอ่ยเสียงเรียบไปทางสาวใช้รายรอบ
“เวยเอ๋อร์คงเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าตามไปดูแลปรนนิบัตินางให้ดีอย่าให้คลาดสายตา” ประมุขตระกูลหลิงเน้นย้ำตรงปลายประโยคด้วยเกรงว่าบุตรีผู้นี้เกิดเปลี่ยนใจหนีตามบุรุษไปประเดี๋ยวเขาจะมิได้อันใดตอบแทนให้สาสมกับค่าน้ำแกงที่เลี้ยงดูมา
“เจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินเข้ามากึ่งจับกึ่งประคองหลิงเวยที่ยังคงหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจคล้ายกับสิ่งไร้ชีวิตให้เดินออกไปจนลับตา