ตอนที่ 4 คืนเข้าหอ1

2660 Words
สามวันผ่านมาช่างรวดเร็วประหนึ่งว่าเป็นเวลาแค่หนึ่งเค่อ ค่ำคืนอันเป็นมงคลที่ประดับประดาไปด้วยม่านมุ้งสีแดงจนเต็มพื้นที่ เจ้าสาวในชุดสีแดงมงคลกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ภายในห้องหอสีแดงสดอย่างเดียวดายเงียบเชียบภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกับอาภรณ์ นางกำลังนั่งอยู่ด้วยอาการตื่นกลัวอยู่ไม่น้อยกับการสมรสที่รวดเร็วรวบรัดนี้ นางถูกบ่าวไพร่คุมตัวเอาไว้มิให้คลาดสายตามาตลอดสามวันกระทั่งวันส่งตัวขึ้นเกี้ยวแล้วเดินทางรอนแรมมานั่งอย่างเดียวดายอยู่ตรงนี้ เจ้าบ่าวของนางก็ช่างน่ากลัวยิ่งนัก นางเป็นของเขาด้วยวิธีผิดๆ และเขายังต้องรับผิดชอบนางด้วยความจำใจ มองดูสีหน้าของเขาเมื่อวันก่อนนั่นประไร เขาจะฆ่านางหรือไม่นางยังมิอาจคาดเดา หลิงเวยนั่งกำมือแน่นอยู่ตรงโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าสีแดงกลางห้องแห่งเรือนหอ นางนั่งอยู่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทากระทั่งโต๊ะตรงหน้ายังรับแรงสะเทือนนั้นดังกึกๆ นางผิดเองที่แอบหนีออกจากจวนในวันนั้นแล้วแอบเข้าไปนอนที่ห้องพักนั่นจนกระทั่งแผนการขยับขยายตระกูลของบิดาได้สำเร็จลุล่วงส่งผลให้บุรุษผู้นี้ต้องรับเคราะห์ไปกับนาง หญิงสาวนั่งครุ่นคิดด้วยใจที่เศร้าหมองในโชคชะตาที่แสนจะอับแสงของตน นางตั้งใจหลบหนีออกจากจวนมาเพื่อที่จะหนีหน้าบิดาหวังให้บิดานำพาบุตรีคนอื่นที่เต็มใจมากกว่านางไปแทนที่ นางสังเกตเห็นพี่น้องของนางสองคนที่แสดงออกชัดเจนว่าชมชอบท่านอ๋องนั่น นางเห็นพี่น้องพวกนั้นมองนางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางจึงตัดสินใจหลบหนีออกมา แต่ทว่านางหนีเสือมาเจอหมาป่าโดยแท้ นางต้องเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษที่ไม่รู้จักและไม่ได้รักเพราะความโง่เขลาของตนเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนางจะกล่าวโทษใครได้   หลิงเวยนั่งหลับตาพยายามข่มจิตใจมิให้ดำดิ่งสู่ห้วงหลุมลึกไปมากกว่านี้ มารดาของนางสั่งเสียให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันข้างหน้าที่สดใสมากกว่าที่เป็น แต่นางยังมิเคยได้เห็นว่าจะมีวันใดที่จะสว่างไสวดังคำมารดา มันจะมีแต่ดำมืดลงเรื่อยๆ มันช่าวมืดมิดน่ากลัวยิ่งนัก! ในขณะที่เจ้าสาวกำลังนั่งข่มจิตใจอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องเสียงฝีเท้าก้าวหนักๆ ของเจ้าบ่าวพลันดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูห้องหอแล้วตามด้วยเสียงเปิดประตูอย่างแรงและปิดลงเสียงดังอย่างไม่ไยดี หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจต้องลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงนั้น อาการตื่นกลัวและสั่นเทายิ่งเพิ่มมากขึ้น นางถึงกับต้องลุกขึ้นพลางแอบเปิดผ้าคลุมหน้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินหนีเข้าไปหลบตรงฉากกั้นด้านในห้องหออย่างเร็ว ฟงชินหยางมองเห็นกระต่ายตื่นตูมเกิดขึ้นกับเจ้าสาวของเขาอย่างนั้น เขาถึงกับหางคิ้วกระตุก นางควรจะนั่งยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงรอเขาอยู่มิใช่หรือไร ไยกระโดดหนีไปเยี่ยงนั้น “จะหนีไปไหน มานั่งนี่เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดต่ำทรงพลังของบุรุษในอาภรณ์เจ้าบ่าวเอ่ยขึ้นไปทางเจ้าสาวที่ยืนหลบอยู่หลังฉากกั้น หลิงเวยได้ยินพลันสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นความกลัวที่กำลังพุ่งขึ้นมาจับขั้วหัวใจ “มานี่!” ฟงชินหยางส่งเสียงคำรามดังมากกว่าเดิม หลิงเวยรีบปล่อยมืออันสั่นเทาจากฉากกั้นเดินออกมาอย่างยอมจำนนด้วยลำตัวเกร็งแข็งทื่อ ภาพของมารดาที่เคยถูกบิดาสั่งบ่าวไพร่เฆี่ยนตีพลันปรากฏอยู่ในสามัญสำนึก นางไม่อยากโดนแบบนั้น เมื่อเจ้าสาวเดินออกมาจนถึงโต๊ะกลางห้องหอภายในเวลานานเกินพอดีเจ้าบ่าวจึงส่งเสียงเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง “นั่ง!” เจ้าสาวสะดุ้งอีกเฮือกใหญ่จนอาภรณ์สีแดงหวามไหวอย่างน่าขัน นางค่อยๆ หย่อนกายลงนั่งด้วยดวงตาที่เริ่มเต็มรื้นไปด้วยม่านน้ำใสที่ไหลบ่าเป็นทางยาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง อย่าร้องไห้ หลิงเวย อย่าร้องไห้ เข้มแข็งไว้ หญิงสาวปรามตนเองในใจพร้อมกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลเพิ่มออกมา แต่ทว่า...ช่างยากเย็น ทันใดนั้นผ้าคลุมหน้าพลันถูกเปิดออกคล้ายกับกระชากดึงออกไปด้วยฝ่ามือใหญ่หนาของเจ้าบ่าวตรงหน้า หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเนื้อตัวสั่นเทาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนอย่างต้องการต่อกรเพื่อมิให้เขาข่มนางจนจมดินมากไปกว่านี้ แต่ทว่า...นางคงคิดผิดไป หญิงสาวรีบหลุบตาลงทันใดเมื่อมองเห็นใบหน้าคมเข้มสายตากราดเกรี้ยวเกินมนุษย์อย่างนั้นของคนตรงหน้า เขาน่ากลัวเกินไป... ฟงชินหยางก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่มีมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนจนกระทั่งเข้าพิธีช่วงเช้าและยิ่งโกรธหนักในยามนี้เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าสาวเป็นอย่างนั้น นางวางยาปลุกกำหนัดเขา ได้เสียกับเขาจนต้องแต่งงานกันด้วยแผนการอันแยบยลของนาง แต่เหตุไฉนนางถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน ไยไม่ยินดี ไยต้องร้องไห้ ชายหนุ่มยิ่งมองยิ่งนึกสงสัยระคนเข่นเขี้ยวจนต้องถามเสียงเข้ม “ร้องไห้ทำไม?” หลิงเวยสะดุ้งอีกหนึ่งทีก่อนตอบเสียงเบา “ข้า...ข้ามิได้ร้องไห้”  “ไม่ได้ร้องไห้ แล้วที่ทำอยู่คืออันใด อย่าบอกว่าเสียใจ” ฟงชินหยางยังคงดุดันในน้ำเสียงพร้อมสายตาคมกล้าสาดใส่อย่างกราดเกรี้ยวทั้งยังเย้ยหยันในที นางควรจะดีใจที่ทำกับเขาได้สำเร็จ นางควรจะดีใจที่ทำให้พยัคฆ์อย่างเขาต้องเสียท่าพลาดพลั้งอย่างน่าอับอาย หญิงสาวไม่ตอบคำ นางไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดให้เขามีอารมณ์คุกรุ่นไปมากกว่านี้ นางจึงยกฝ่ามือขึ้นแล้วใช้ชายผ้าซับน้ำตาให้หมดไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเขา นางกำลังพยายามทำใจดีสู้เสือที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดียวกันถึงกับหางตากระตุกอีกหนึ่งคราเมื่อมองเจ้าสาวของตน ใบหน้าของนางยามนี้ต้องบอกว่าไม่ค่อยๆ จะเหมือนสตรีปกติสักเท่าไหร่ นางร้องไห้จนดวงตาบวมปูดแดงช้ำใบหน้าแดงก่ำพองออกเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นจนเริ่มซับสีเลือด ทั้งยังกล้าถลึงตาจ้องมองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ มองจากเนื้อตัวของนางที่กำลังสั่นเทานั่น อวัยวะภายในเคลื่อนที่แล้วกระมัง ฟงชินหยางยิ่งมองยิ่งต้องขมวดคิ้วพันกันแน่น นางจะทำมารยาไปเพื่อการใด ในเมื่อทุกอย่างช่างชัดเจน ห้องพักของเขาที่ผูกรายปีเอาไว้ไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาพักได้ นางแอบเข้ามาแล้ววางยาเขาทั้งยังนอนยั่วยวนเขาบนเตียงนอนของเขา นางใช้ตนเองเป็นเครื่องมืออย่างไร้ยางอาย พวกลูกน้องของตระกูลนางก็มายืนรอเป็นพยานกดดันเขากันอย่างพร้อมเพรียง แผนการของนางลึกล้ำออกปานนั้น “เจ้าช่างงดงามแต่ทำตัวเยี่ยงนี้ช่างน่าเสียดาย” ชายหนุ่มในอาภรณ์เจ้าบ่าวเริ่มเอ่ยคำตามตรง เขามีนิสัยตรงไปตรงมาเยี่ยงชายชาติบุรุษตามหน้าที่การงานที่เป็นทหารทระนงองอาจ มิได้ต้องใส่หน้ากากเสมือนขุนนางในรั้วในวัง และยิ่งเกลียดที่สุดคือสตรีเจ้าเล่ห์เจ้ามารยาเห็นแล้วพาหงุดหงิด ยามเข้าวังแต่ละครั้งต้องทนกับรอยยิ้มหวาดหยดแต่พร้อมเชือดเฉือนให้ตายตก สหายร่วมรบของเขายังต้องตายไปด้วยพิษน้ำผึ้งของอิสตรี รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาอย่างกล้าแกร่งแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสตรียิ้มหวาน เขาเองในยามนี้ก็คงไม่ต่าง ฮึ! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “หยุดเล่นงิ้วเสียที ข้ารำคาญ” ฟงชินหยางกล่าวปิดท้ายเสียงเข้มใบหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตกอยู่ในภวังค์ของตนเมื่อครู่ หลิงเวยได้แต่ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ หากนางมารยาเป็นดังคำเขาว่ามาก็คงดี แต่นางทำไม่เป็นและไม่ได้เล่นงิ้วอะไร หญิงสาวยังคงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นดังเดิม นางไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร ส่งยิ้มให้เขาดีหรือไม่แต่นางยิ้มไม่ออกเอาเสียเลย ฟงชินหยางส่งสายตาดุดันเข้าฟาดฟันสตรีตรงหน้าอีกอึดใจก่อนพรู่ลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเริ่มปรับอารมณ์ของตนให้เข้าที่เข้าทาง เขาได้รับวันหยุดยาวให้พักผ่อนได้สามเดือนหลังจากไปประจำการที่ค่ายทหารห่างไกลถึงสามปี วันหยุดยาวนี้ได้มาเพราะสิ้นศึกหนักเมื่อไม่นานมานี้เพื่อให้ได้มีเวลากับครอบครัว  ใช้เวลากับท่านพ่อท่านแม่ที่แก่ชรา พวกท่านภาคภูมิใจในตัวของเขามาแต่ไหนแต่ไรอีกทั้งน้องๆ ทั้งสองของเขาที่มิเคยเคลือบแคลงอันใดในตัวพี่ชายอย่างเขา และงานแต่งงานที่รวบรัดนี่ก็นำพาให้คนในครอบครัวเข้าใจผิดกันไปแล้วจนสิ้น ว่าสตรีตรงหน้านางนี้เป็นคนรักของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ดูสีหน้าของทุกคนในพิธีแต่งงานนั่นประไร ยิ้มแย้มกันจนปากจะฉีกถึงรูหู เขาไม่เคยรู้สึกเสียการควบคุมตัวตนอย่างนี้มาก่อนเลย ปกติเขามักจะเยือกเย็นพูดน้อยต่อยหนัก แต่ยามนี้เห็นทีจะถนอมคำพูดเอาไว้มิได้ เห็นทีคงต้องพูดให้หนักและต่อยให้หนักอีกด้วย ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงออกมาคำโตอีกคราก่อนเริ่มต้นเอ่ยคำตามเงื่อนไขที่เขาคิดเอาไว้ตลอดสามวันที่ผ่านมา “เจ้า” เส้นเสียงทุ่มต่ำเพียงหนึ่งคำทำเอาคนรอฟังสะดุ้งตกใจ ฟงชินหยางมิได้สนใจ เพราะยามที่เขาคุมลูกน้องทหารพวกนั้นก็สะดุ้งไม่ต่าง เขาจึงเอ่ยต่อพลางรินเหล้าลงจอกเพื่อหมายดื่มลงคอหวังดับอารมณ์คุกรุ่น “...แต่งงานกับข้าแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนของข้าต่อไปนี้เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหลิงของเจ้าอีก” หลิงเวยได้ฟังประโยคนั้นพลันหูผึ่ง แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่นางต้องการที่สุดในชีวิต ฟงชินหยางยังคงดื่มสุราตรงหน้าพลางเอ่ยต่อคำข่มขู่หมายเชือดเฉือนโดยไม่สนใจคนฟังอย่างนาง “ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ภายในหรือภายนอก จวนตระกูลของเจ้ากับจวนของข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน เจ้าต้องไม่ติดต่อการใดๆ กับตระกูลของเจ้าอีก และอย่าคิดว่าตระกูลของข้าจะอยู่ข้างตระกูลของเจ้ายามเมื่อต้องการความเห็นชอบใดๆ ในราชสำนัก จำเอาไว้ว่าข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าเป็นทหารมีหน้าที่แค่เป็นรั้วของชาติ อย่านำความนอกจวนมาใส่ในจวนของข้าเป็นอันขาด และที่สำคัญ...” ชายหนุ่มเว้นคำเอาไว้เพื่อปรับอารมณ์อีกเล็กน้อยโดยดื่มเหล้าย้อมใจไปด้วย เขากระดกเหล้าจากจอกลงคออึกใหญ่ทำเอาหลิงเวยต้องเอื้อมมือไปหยิบเหล้ามารินใส่จอกของตนแล้วยกขึ้นดื่มบ้าง เนื่องจากว่ามันเป็นเหล้ามงคล ไม่คล้องแขนก็คงไม่เป็นไร นางเองต้องการดื่มเหล้าย้อมใจเสียหน่อยหวังว่าคืนนี้คงหลับตาได้ลง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกผ่อนคลายเมื่อดื่มเหล้าไปหลายจอก เขาจึงเริ่มเอ่ยคำคล้ายชวนคุยถึงแม้จะยังไม่พอใจเจ้าสาวของตนอยู่หลายส่วน “ยามอยู่ต่อหน้าครอบครัวของข้า เจ้าต้องทำตัวตามน้ำไปอย่าถามให้มากความ ส่วนในเรือนส่วนตัวแห่งนี้เราก็ต่างคนต่างอยู่ไป” หลิงเวยได้ฟังจึงเริ่มสงสัยขึ้นมา “ทำไมหรือ?” “เรื่องอันน่าอับอายระหว่างเรามีเพียงเราที่รู้เท่านั้น กับคนในครอบครัวของข้ามิได้รับรู้ และเหนือสิ่งอื่นใดข้ามิได้รักเจ้า  ข้าแค่เสียทีให้เจ้าและเจ้าก็แค่เสียตัวให้ข้า” เขาเน้นย้ำไม่คิดจะถนอมน้ำใจสตรีร้ายกาจตรงหน้า หลิงเวยตั้งใจฟังเป็นอย่างดีและเริ่มทำความเข้าใจจนกระทั่งมาถึงตรงท้ายประโยคพลันต้องกะพริบตาพาจอกเหล้าในมือนิ่งค้าง เขาแค่เสียทีให้นาง อันนั้นนางพอเข้าใจ แต่นางแค่เสียตัวให้เขา อืม...การเสียตัวใช้คำว่า ‘แค่’ หรือ? มันใช่หรือไม่!? “ท่านจะไม่ต้องเสียท่าให้ข้าอีก” หญิงสาวเริ่มเอ่ยบ้างเนื่องจากเริ่มไม่พอใจกับประโยคสะดุดหูเมื่อครู่ “และข้าก็จะไม่เสียตัวให้ท่านอีกเช่นกัน ดีหรือไม่” ครานี้เป็นฟงชินหยางบ้างที่ต้องสะดุดหูเมื่อได้ฟัง เขาจึงกระดกเหล้าลงคออีกอึกใหญ่อย่างนึกขัดเคืองขึ้นมาเพราะมันคล้ายกับว่า เขาพลาดอีกแล้ว... หลิงเวยที่เริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นไม่แตกต่างทั้งยังได้เหล้าย้อมใจจึงเอ่ยต่อคำอย่างต่อเนื่อง “ข้ามิได้รักท่านเช่นกัน ข้ามิได้ต้องการเป็นของท่าน ข้าก็แค่พลาดไปเช่นเดียวกัน ข้ามิได้ต้องการให้มันเป็นเช่นนี้ ข้ามิได้ต้องการจะแต่งงานกับท่านหรือกับใคร ท่านเป็นใครข้าก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า เจอกันคราแรกก็อยู่บนเตียงนอนนั่น” พูดไปก็พาเอาน้ำตาพลันไหลริน มันน่าเจ็บใจเสียจริง ชีวิตของนางช่างน่าอดสูยิ่งนัก ฟงชินหยางได้ฟังยิ่งทำให้อารมณ์รุ่มร้อนพวยพุ่ง ดูเถิด ดูนางกล่าวอ้าง ทำอย่างกับว่าเป็นเขาที่วางยานางและเป็นนางที่ถูกเขาวางยาเสียเอง นางมีนิสัยอย่างนี้ใช่หรือไม่ ชอบกลับดำเป็นขาว ชอบกลับขาวเป็นดำ ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างดุดันพลางยกเหล้าขึ้นดื่มทั้งเหยือกโดยไม่เหลือให้สตรีตรงหน้าอีกต่อไป กับบุรุษที่ถนัดเพียงใช้ดาบหาได้ถนัดใช้ลมปากกับอิสตรีจึงทำได้แค่แผ่กลิ่นอายสังหาร พาเอาเจ้าสาวได้แต่เสียววาบๆ ไปทั่วเรือนร่างสงบคำลงฉับพลัน เมื่อฟงชินหยางดื่มเหล้าจนพอใจก็ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อสีมงคลโยนออกไปอย่างไม่ไยดีพลางพาเรือนร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าเดินหนักๆ ไปทางเตียงตั่งก่อนทิ้งตัวลงนอนจนเต็มเตียงนั้นโดยไม่เหลือที่ว่างเอาไว้ให้เจ้าสาวของตน หลิงเวยได้แต่มองตามเจ้าบ่าวตรงหน้าตาปริบๆ แล้วนางจะนอนตรงไหนกัน ในเมื่อเขานอนจนเต็มเตียงอย่างนั้น ตัวก็ใหญ่โตเกินมนุษย์ หญิงสาวได้แต่ข่มอารมณ์ข่มจิตใจเอาไว้ตามวิสัย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็มักจะต้องข่มจิตใจของตนเอาไว้อย่างนี้ นางจะทำอะไรใครได้กัน ในเมื่อนางทำได้แค่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทดท้อต่อโชคชะตา ทำไมชีวิตของนางจักต้องเป็นอย่างนี้กัน สองหนุ่มสาวที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าบ่าวและฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าสาวเพียงอยู่กันคนละมุมภายในห้องหอสีมงคลด้วยอารมณ์ที่โกรธกรุ่นยากผสาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD