เสียงเคาะประตูหน้าห้องเลปกรดังขึ้นในเวลาต่อมา โดยที่ยังไม่ต้องรอให้คนด้านในอนุญาตวันพรรษาก็เปิดประตูเข้ามา เห็นร่างสูงนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีท่าทีสนใจแม้จะรับรู้แล้วว่าเธอเข้ามา กระทั่งหญิงสาวหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานและเอ่ยถามขึ้น
“คุณเลเรียกวัสสาขึ้นมามีอะไรเหรอคะ”
แฟ้มเอกสารที่กอดอยู่ในอกไม่มีความหมาย เพราะเป็นสิ่งที่ใช้บังหน้าในการขึ้นมาพบเขาโดยไม่ให้คนอื่นซักถามเท่านั้น อึดใจหนึ่งชายหนุ่มจึงได้หันเก้าอี้กลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น
“ทำไมไม่ไปหาหมอ จะได้ยาแก้แพ้มากิน ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเห็นแล้วสงสัย อยากประกาศให้คนอื่นรู้มากรึไง”
วันพรรษานิ่วหน้าทันใด หลุบตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตอบ
“ที่วัสสายังไม่ได้ไปหาหมอ เพราะยังไม่รู้จะทำยังไงค่ะ”
เลปกรกำหมัดหลวม ๆ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกยาว จ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่สั่นระริก บอกว่า
“จะทำอะไรก็ทำ อย่ามาดึงเรื่องไว้”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นน้ำตาพลันก็รื้นขึ้นมา หัวใจเจ็บปวดเมื่อถูกคำพูดทิ่มแทง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นมองเขาอย่างเอาเรื่อง เขากล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง ที่เธอเป็นแบบนี้เพราะแพ้ท้องลูกของเขาอยู่ไม่ใช่หรือ หญิงสาวสะบัดหน้าหนีพร้อมกับพูดว่า
“ค่ะ จะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
ทำไมต้องตอกย้ำเรื่องเหล่านี้ เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจเรื่องนี้เลยหรือ เธอคิดว่าเขาพอจะเมตตาลูกบ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งเร่งวันเร่งวันเร่งคืนให้ทำลาย แต่ก็เถอะจะโทษเขาก็ไม่ถูกเธอคิดผิดเอง ไม่ควรโทษเขาหรอก จริง ๆ แล้วเขาไม่เคยบอกรักเธอ มีแต่เธอที่เข้าใจไปเอง เป็นตัวเธอเองที่ไม่ระวัง ตัวเธอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นคนเดียวไม่ใช่เขาหรอก
เลปกรเห็นใบหน้าที่เบือนหนีแล้วนิ่งไปก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา ทั้งโกรธทั้งเคือง เขาคิดว่าจะจบกับเธอด้วยการจากลาดี ๆ ให้หญิงสาวเสียใจน้อยที่สุดและตั้งใจจะให้เงินเธอสักก้อนคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็มาติดตรงที่พลาดมีเด็กขึ้นมาเป็นพันธะเสียได้
ตอนที่ณชมนไม่อยู่เขาคิดว่าหากซื้อกินไปเรื่อยคงไม่เหมาะนัก เขาเป็นคนกินบ่อยและกินจุ เคราะห์หามยามร้ายอาจเจอ ‘ของกิน’ เล่นแง่คงทำให้ชีวิตวุ่นวายไม่น้อย ไหนจะต้องระวังเรื่องโรคแล้วยังอาจจะต้องเสียอารมณ์กับข่าวด้านลบอีก และเขาก็ไม่อยากให้ณชมนไม่สบายใจ แรก ๆ ที่เจอวันพรรษา เธอก็ดูไม่เรื่องเยอะพูดอะไรก็เข้าใจเป็นเด็กดีพูดง่าย เขาจึงตัดสินใจสานสัมพันธ์และผูกปิ่นโตกับเธอ แต่ดูตอนนี้สิกลายเป็นเด็กดื้อขึ้นมาเสียอย่างนั้นถ้าไม่ติดว่าท้องอยู่เธอคงไม่ได้ยืนต่อปากต่อคำแจ้ว ๆ กับเขาแบบนี้แน่ เลปกรไม่อยากจินตนาการว่าเขาคิดจะทำอะไรกับเธอบ้าง แต่ชายหนุ่มลืมคิดไปว่าเขาไม่เคยบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันคือแค่การ ‘ผูกปิ่นโต’ ลึก ๆ เขารู้ดีว่าหากเธอรู้ เธอจะไม่มีทางยอมเป็นของว่างระหว่างมื้อหลักให้เขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็พยายามกดความจริงข้อนี้ให้อยู่ลึกที่สุดในจิตสำนึก
“ก็รีบตัดสินใจว่าจะเอายังไง อย่างที่บอกถ้าเลือกเด็กคุณก็ลาออกไปซะ ผมจะให้เงินคุณไปตั้งตัว แต่ผมก็มีตัวเลือกให้ถ้าเกิดคลอดออกมาแล้วคิดว่าเลี้ยงไม่ไหวก็บอกผมมา ผมจะเอาเด็กไปให้คนอื่นที่มีความสามารถเลี้ยงแล้วคุณก็อย่าได้เข้ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับเด็กอีก อย่ามาต่อรองเรียกร้องอะไรเพราะคุณจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น”
คนอื่นที่เขาหมายถึงคือคุณลีลาวดี มารดาของเขาเอง ซึ่งเขาคิดว่าถ้าตนเองสารภาพว่าทำผู้หญิงท้องแล้วรับเด็กมาเลี้ยงท่านก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะมารดาเป็นคนใจดีและชอบทำบุญทำทานอยู่เป็นนิจ บริจาคเงินช่วยมูลนิธิต่าง ๆ อยู่เสมอโดยเฉพาะมูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็ก ส่วนของณชมนเขาก็ต้องมีคำอธิบายและคุยกับเธอให้เข้าใจกันได้
^
^
^
***กดดันกันขนาดนี้ เมล็ดถั่วจะถูกทำลายมั้ย