วันต่อมาเลปกร พิฉัตร และเอกนฤณ เข้ามาคุยงานกันที่บริษัทกันอย่างพร้อมหน้า วันพรรษายังคงก้มหน้าทำงานตามปกติ เธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเมล็ดถั่วน้อยที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในท้องของเธอเรื่องฝากครรภ์หรือจัดการอะไรอย่างอื่นจึงยังไม่ได้อยู่ในความคิด
“น้องวัสสาคนสวยที่สุดในออฟฟิศ ขอกาแฟให้พี่สักแก้วที่ห้องประชุมนะครับ”
เอกนฤณบอกแอดมินคนสวย วันพรรษายิ้มตอบรับและหันไปถามพิฉัตร
“คุณฉัตรจะรับด้วยมั้ยคะ”
พิฉัตรเป็นคนที่มีบุคลิกเข้มขรึมคล้ายกับเลปกรในบรรดาเพื่อนทั้งสามคนเอกนฤณเป็นคนที่ขี้เล่นและทำตัวเข้าถึงง่ายมากที่สุดแล้ว ทว่าพิฉัตรไม่ใช่คนหยิ่งที่เข้าหาได้ยากจนเกินไป ชายหนุ่มแค่เป็นคนพูดน้อยและดูมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ถ้าให้วิเคราะห์ด้านลักษณะรูปร่างหน้าตาของผู้บริหารหนุ่มทั้งสามคน แต่ละคนล้วนมีหน้าตาและนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง หน้าตาดีแตกต่างกันไปแล้วแต่สเป็กสาวว่าจะชอบแบบไหน
“ก็ดีครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนพยักหน้าก่อนจะพากันเดินขึ้นไปด้านบนซึ่งมีเลปกรนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสามคนพูดคุยกันเรื่องทั่วไปตามประสาเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เจอกันพร้อมหน้า ครู่ต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับวันพรรษาผลักบานประตูเข้ามาในมือถือถาดซึ่งมีกาแฟวางอยู่สองแก้ว
“กาแฟของคุณเอกค่ะ แก้วนี้ของคุณฉัตร”
“ขอบคุณครับวัสสา”
เอกนฤณทำเสียงหวานจ๋อยกึ่งแซวเจ้าหน้าที่ธุรการสาวที่ทำหน้าที่แทบจะทุกอย่างในสำนักงานแห่งนี้ แล้วพูดเพิ่มเติมอีกว่า
“นี่ถ้าทำโพรเจกนี้สำเร็จ พี่จะให้โบนัสวัสสาเยอะ ๆ เลยนะครับ”
วันพรรษาค้อมตัวเล็กน้อย ยิ้มรับอย่างสงวนท่าทีพลางชำเลืองสายตามองคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่หัวโต๊ะ พิฉัตรจึงเอ่ยถามเพื่อนที่ไม่มีเครื่องดื่มวางตรงหน้า
“แกจะเอากาแฟด้วยมั้ยวะเล เมื่อกี้ลืมบอกให้วัสสาจัดมาให้แกอีกที่”
เลปกรพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เบือนสายตาหนีก่อนจะสั่นหน้า
“ไม่”
“อ้าว อะไรวะ ก็เห็นดื่มเป็นประจำ อ๋อ สงสัยจะอิ่มหนำสำราญมาแล้วก่อนจะมาทำงาน งี้แหละน้าแฟนกลับมาแล้วนี่”
เอกนฤณเป็นคนแซว แต่แทนที่เลปกรจะตอบกลับที่เพื่อนแหย่อย่างที่เคยเขากลับหันมาชักสีหน้าบึ้งใส่คนพูดเสียอย่างนั้น
“มึงจะมาดึงหน้าใส่กูทำไมวะครับ ก็แฟนมึงกลับมาแล้ว กูพูดผิดตรงไหน”
เอกนฤณพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนที่มองมา พิฉัตรเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตอาการของเลปกรและวันพรรษา เขารู้สึกมานานแล้วว่าสองคนนี้เหมือนมีบางอย่างเกี่ยวข้องกันมากกว่าที่คนอื่นเห็น แต่เรื่องนี้พิฉัตรก็ไม่เคยพูดกับใครแม้แต่เจ้าตัว เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เลปกรจัดการได้หากว่ามันเป็นความพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย เขาไม่อยากสอดเสือกเรื่องส่วนตัวของใคร
“ถ้าไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่ม ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับน้องวัสสา ถ้าไอ้เลมันเปลี่ยนใจอยากกินขึ้นมาเดี๋ยวพี่ไล่ให้มันชงกินเอง ไม่รบกวนน้องวัสสาหรอกครับ”
เอกนฤณพูดติดตลก วันพรรษาค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินจากไป แต่ทันทีที่ปิดประตูห้องประชุมลงหญิงสาวก็มีอาการคลื่นไส้ขึ้นมากะทันหันต้องรีบยกมือปิดปากวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ เสียงฝีเท้าของเธอดังเข้าไปในห้องประชุมที่สามหนุ่มนั่งอยู่ เอกนฤณนิ่วหน้าถามขึ้นทันที
“น้องวัสสาเป็นอะไรรึเปล่า วิ่งไปไหน”
“เขาเบื่อหน้ามึงมั้งไอ้เอก เต๊าะน้องเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานจนถึงวันนี้ก็ยังไม่แตะแม้แต่ปลายเล็บ ปล่อยให้หมาตัวอื่นคาบไปแดก”
ประโยคสุดท้ายพิฉัตรตวัดสายตามองมาที่เลปกรที่ยังดึงหน้าเข้มไม่จาง อีกฝ่ายหันมาสบตาโดยอัตโนมัติเมื่อประสาทรับรู้ทำงานไว สองคนจ้องหน้ากันก่อนพิฉัตรจะแสยะยิ้มออกมาแววตากำลังบ่งบอกว่าเขารู้เรื่องบางอย่าง
“หมาที่ไหนวะ กูก็ไม่เคยเห็นน้องวัสสาจะคุยกับใคร”
เอกนฤณไหวไหล่ทำหน้าไม่ยี่หระ เขามักจะแซววันพรรษาเล่นด้วยความเอ็นดูเสมอ เจ้าหน้าที่ธุรการของสำนักงานคนนี้นอกจากจะหน้าตาสวยน่ารักแล้วยังเป็นคนขยันทำงาน ซื่อสัตย์ และที่สำคัญไม่เคยมีทีท่าจะเข้าหาเจ้านายหนุ่มหล่อโพรไฟล์เลิศอย่างพวกเขาเลยสักครั้ง ตัวเขาไม่เคยคิดอะไรกับวันพรรษาเลย
วันพรรษาโก่งคออาเจียนในห้องน้ำนานจนไม่เหลืออะไรในกระเพาะให้ออกมาอีกนอกจากน้ำดี เธอน้ำหูน้ำตาไหลหมดแรงจนต้องทรุดกายนั่งพิงผนังห้องน้ำ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลมดีที่ป้าจันทรเปิดประตูเข้ามาทำความสะอาดแล้วเห็นหญิงสาวในสภาพหน้าซีดอิดโรยก็รีบเข้ามาถามอาการด้วยสีหน้าตกใจ
“ว้าย หนูวัสสาเป็นอะไรทำไมหน้าซีดขนาดนี้”
วันพรรษาทำท่าเหมือนจะขย้อนบางอย่างออกมาอีก ป้าจันทรจึงรีบช่วยประคองตัวเธอที่พยายามคลานมาเกาะขอบชักโครก
“หนูวัสสา หนูสา ทำใจดี ๆ ก่อนนะ ป้าจะไปบอกคุณ ๆ ว่าหนูไม่สบาย”
ป้าจันทรทำท่าจะผุดลุก แต่วันพรรษาก็ใช้แรงที่เหลือดึงแขนอวบของป้าไว้ แล้วเอ่ยห้าม
“วัสสาไม่เป็นไรจ้ะป้าจัน แค่เวียนหัวอยากอ้วกเท่านั้น สงสัยอาหารที่กินเมื่อคืนจะเป็นพิษ ป้าไม่ต้องไปบอกคุณ ๆ เขาหรอกจ้ะ ขอนั่งพักสักแป๊บก็หาย คุณ ๆ เขาประชุมอยู่อย่าไปกวนเขาเลย”
ป้าจันทรสองจิตสองใจ ก่อนจะยอมนั่งลงข้าง ๆ เธอ
“ก็ได้ ๆ แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง หน้าซีดเชียว นี่ป้ามียาดมเอามั้ย”
วันพรรษาพยักหน้าป้าจันทรจึงรีบควักยาดมออกมาจากกระเป๋าเสื้อเปิดฝาอังใต้จมูกให้หญิงสาว คอยสอบถามอาการ
“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นมั้ย”
“ดีค่ะ ดีขึ้นแล้ว”
รู้สึกไม่อยากอาเจียนแล้ววันพรรษาก็ดันกายลุกขึ้นโดยมีป้าจันทรช่วยพยุง เดินมาเปิดน้ำล้างหน้าให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น เมื่อดีขึ้นแล้วจึงพากันลงมาที่โต๊ะทำงาน อาการของหญิงสาวก็เริ่มกลับมาปกติ วันพรรษารู้ตัวดีว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่เกิดจากอะไรแต่เธอก็พยายามอดทนเก็บความทรมานนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด เธอฝากป้าจันทรที่ออกไปซื้อกาแฟรถเข็นให้ซื้อผลไม้เปรี้ยวมาให้โดยลืมไปว่าถ้าเลปกรมาเห็นว่าเธอกินอาหารขณะทำงานไปด้วยจะไม่พอใจขนาดไหน
ทั้งสามหนุ่มนั่งคุยงานกันในห้องประชุมจนถึงเที่ยงจึงพากันออกมาจากห้องประชุมเจอป้าจันทรเช็ดทำความสะอาดอยู่ด้านนอก เอกนฤณจึงถาม
“มีใครเป็นอะไรรึเปล่าครับป้า เหมือนได้ยินเสียงน้องวัสสาวิ่งไปไหน”
“อ๋อ หนูวัสสาไม่ค่อยสบายน่ะค่ะคุณเอก เห็นบอกว่าอาหารเป็นพิษเลยอ้วก”
เอกนฤณมีสีหน้าเป็นห่วง
“แล้วอาการน้องวัสสาดีขึ้นรึยังครับ ถ้าไม่ดีก็ไปหาหมอได้นะไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
“ดีขึ้นแล้วค่ะคุณเอก ตอนนี้ก็นั่งทำงานอยู่ด้านล่าง”
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าน้องวัสสาเป็นอะไรมาก”
เอกนฤณพรูลมหายใจออกอย่างโล่งใจก่อนจะยกมือโบกลาอีกสองหนุ่มแล้วเดินแยกไป พิฉัตรหันมามองหน้าเลปกรเงียบ ๆ โดยไม่มีคำพูดใด ทว่ากลับทำให้เลปกรรู้สึกไม่ชอบสายตาแบบนั้นของเพื่อนเอาเสียเลยจึงหันหลังเดินจากไปอีกคน พิฉัตรแสยะยิ้ม ไหวไหล่ แล้วเดินออกจากออฟฟิศ
เสียงอินเตอร์คอมบนโต๊ะทำงานของวันพรรษาดังขึ้น หญิงสาวรับสาย นิ่งไปอึดใจก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้นแล้วลุกขึ้นพร้อมกับแฟ้มเอกสาร บอกกับป้าจันทรที่นั่งอยู่ตรงมุมว่า
“วัสสาเอางานไปให้คุณเลก่อนนะคะป้า”
“จ้ะ”
^
^
^
***มาเยอะ ๆ แล้ว เป็นกำลังให้วัสสากับตัวเล็กด้วยนะคะ จะโดนเรียกตัวขึ้นไปทำอะไรอีกก็ไม่รู้ ฮี่ๆ