ธัญญ์นลินลุกขึ้นมาทำอาหารแต่เช้าจนแสงตกใจ เธอเริ่มงานตอนหกโมงเช้า เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เห็นเจ้านายสาวกำลังง่วนอยู่หน้าเตา เห็นได้ชัดว่าลงมานานแล้ว กลิ่นหอมของอาหารในกระทะก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้เริ่มออกฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี
"ทำไมตื่นแต่เช้าคะ เพิ่งจะหกโมงเอง ตอนเช้าก็ไม่ต้องทำอาหารส่งไปที่ตึกใหญ่อยู่แล้วนี่คะ" เธอเอ่ยถามเจ้านายสาวนึกอายเมื่อตนมาสายกว่าผู้เป็นนาย
"ไม่มีอะไร แค่จะทำข้าวกล่องให้คุณพ่อน่ะ พอดีเลย ฝากเอาคุกกี้ข้าวโอ๊ตที่ทำเมื่อวานมาให้หน่อย ฉันแบ่งเอาไว้แล้ว เดี๋ยวจะลืม" แสงอ้าปากค้างเหมือนยังงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเจ้านายจะทำข้าวกล่องให้พ่อสามี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวกล่อง แค่จะเอ่ยถึงยังแทบไม่มี
"มีอะไร ตกใจหรอ ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้ชินละกัน ไม่ต้องคิดมาก เคยเข้างานเวลาไหนก็ทำตัวปกตินั่นแหละ ฉันจัดการเอง" เธอว่ายิ้มๆ เหมือนพูดเรื่องปกติทั่วไป แสงได้แต่พยักหน้ารัวๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ารถ
หญิงสาวลองถามกับมาโนช คนสนิทของพ่อสามีแล้วว่าอาหารการกินตอนกลางวันทานอะไรจากที่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่ก็สั่งจากที่โรงแรมนั่นแหละ หรือไม่ก็ออกไปกินข้างนอกกับเพื่อนฝูงในแวดวงธุรกิจเดียวกัน
ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่สองนี้ให้ดี ก็ต้องเริ่มจากการประจบเอาใจพ่อแม่สามีให้รักใคร่เอ็นดูก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นปัญหาอึดอัดใจในบ้านก็คงไม่จบง่ายๆ แน่ จริงๆ เรื่องพวกนี้เธอไม่ค่อยกังวลนักเพราะคิดว่าหาทางแก้ไขได้ รู้จักใจเย็นกับแม่สามีสักหน่อยก็พอแล้ว แต่ที่หนักใจคือสามีที่เธอยังไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันต่างหาก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับความสัมพันธ์ห่างเหินหรือว่าเธอกับเขาจะลงเอยด้วยการหย่าร้างเหมือนชาติที่แล้วอีกครั้ง
คิดมาถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกเหนื่อยใจ ช่างเป็นผัวที่เย็นชาจริงๆ ไปทำงานตั้งหลายวันเมียไม่สบายก็ไม่คิดจะโทรมาถามไถ่ แม้แต่ลูกๆ ยังไม่คิดจะโทรหา
"แล้วคุณบัวทำเมนูอะไรคะ"
"เป็นต้มจืดแตงกวายัดไส้หมูสับกับเห็ดผัดน้ำมันหอยน่ะ"เธอว่าพลางมือก็ตักอาหารที่ทำเสร็จใส่กล่องปิดล็อกอย่างดี
อาหารเช้าที่ตึกใหญ่จะเริ่มตอนเจ็ดโมง ทุกคนต้องไปรวมกันที่นั่นห้ามสาย เนื่องจากว่าเป็นเวลาที่ได้อยู่ทานข้าวด้วยกันเพียงมื้อเดียว พ่อแม่สามีจึงค่อนข้างเข้มงวดเป็นพิเศษส่วนมื้ออื่นๆ ก็ตามที่ทุกคนสะดวก แสงกับป้าฉวีเป็นแม่บ้านประจำอยู่ที่บ้านสวนคูนจึงไม่ต้องทำอาหารในตอนเช้า เพราะคนที่ตึกใหญ่จะทำเองและส่งพวกวัตถุดิบมาให้ มีหน้าที่แค่ทำมื้อกลางวันกับเย็นและทำงานบ้านทั่วไปเท่านั้น จะไปจ่ายตลาดก็นอกจากว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมจากที่ตึกใหญ่ส่งมาให้
แสงยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ควรช่วยดีหรือไม่ ธัญญ์นลินเข้าใจดีจึงเอ่ยบอก
"ไปทำอย่างอื่นเถอะ ฉันจะเสร็จแล้ว เหลือแค่รอต้มจืดเดือดเท่านั้น"
หลังจากจัดการกล่องอาหารและขวดโหลคุกกี้ลงในตะกร้าแล้ว ก็ขึ้นไปปลุกลูกชายทั้งสองที่เมื่อคืนเธอพามานอนด้วยกันในห้อง พี่น้องเองก็ดูจะเริ่มพูดคุยเล่นกันมากกว่าแต่ก่อนแล้วแม้ว่ายังไม่สนิทเท่าไหร่นักก็ไม่เป็นไรค่อยๆ ไปทีขั้นทีละตอน
กว่าจะปลุกแต่ละคนให้ลุกมาอาบน้ำได้ก็สายมากแล้ว เช้านี้เธอเลยให้ทั้งคู่อาบน้ำพร้อมกัน โดยให้ลูกชายคนโตดูแลอาบน้ำให้น้องด้วย ส่วนเธอก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ลูกๆ ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากห้องน้ำก็อมยิ้มอย่างพอใจ ไม่รู้ว่าจะได้อาบน้ำไหมเหมือนจะเล่นกันเสียมากกว่า เธอย่องไปเกาะขอบประตูห้องน้ำเหมือนจิ้งจกแอบมองลูกๆ อยู่ด้านนอก
"พี่ซอ แม่เป็ด ซอลให้" เด็กชายฐิรวิชญ์เรียกพี่ชายที่อยู่ในอ่างน้ำเดียวกัน มือเล็กกลมป้อมก็ยื่นตุ๊กตายางสีเหลืองที่เป็นแม่เป็ดส่งให้พี่ชายแล้วหยิบตุ๊กตาลูกเป็ดตัวเล็กๆ สามตัวมาวางบนหลังแม่เป็ดแล้วก็ส่งยิ้มกว้าง
เด็กชายฐิรดลก็ยิ้มให้น้องบางๆ เอานิ้วดันก้นมันเบาๆ ให้มันลอยไปมาบนผิวน้ำ เจ้าตัวเล็กก็ยิ่งกรี๊ดหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
ในยามนี้ฐิรวิชญ์สดใสร่าเริงเหมือนดวงอาทิตย์
ส่วนฐิรดลก็อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนดวงจันทร์
หวังว่าชาตินี้เธอจะตายตาหลับจริงๆ
กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เกือบเจ็ดโมงแล้ว เธอเดินจูงมือลูกๆ ทั้งสองไปที่ตึกใหญ่โดยมีแสงถือตะกร้ามาตามหลังมองสามแม่ลูกที่พูดคุยหัวเราะกันด้วยความดีใจไปกับเจ้านายด้วย ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นภาพที่มีความสุขแบบนี้
เสียงหัวเราะของสามแม่ลูกดังแว่วมา ทำให้นายสิทธิกรที่กำลังเดินลงบันไดจะไปห้องอาหารก็หันไปมองภรรยาที่มองเขาอย่างแปลกใจเช่นกัน
"หลายวันมานี้ได้ยินว่าหนูบัวแปลกๆ ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปแบบนี้"
"ฉันก็แปลกใจเหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าหมอเอายาอะไรให้กินตอนป่วย" นางเอ่ยบอกสามีแต่ก็ไม่วายเหน็บลูกสะใภ้คนเดียว
"แต่ก็ดีนะ รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ มีอย่างที่ไหนแม่นั่งนิ่ง ลูกไม่พูด อีกคนก็ซนยังกับลิงไม่สนใจอะไร ดูยังไงก็แปลกๆ ไหนจะพ่อมันอีก ไม่รู้ตายหรือยังไง ไปทำงานตั้งหลายวันไม่คิดจะโทรถามไถ่คนรออยู่บ้านบ้าง ทำเหมือนผีไม่มีญาติ" พอพูดถึงลูกชายคนโตเขาก็หงุดหงิด สำหรับนักธุรกิจเขายอมรับในตัวลูกชายคนนี้เป็นคนเก่งฉลาด เขาสามารถวางใจว่าทุกอย่างที่สร้างขึ้นจะไม่พังแน่ แต่สำหรับหัวหน้าครอบครัวในฐานะพ่อของลูกแล้วดูยังไงก็ล้มเหลว เขาไม่อยากก้าวก่ายมากนักแต่บางทีก็อดสงสารลูกสะใภ้ไม่ได้เหมือนกัน ไหนจะภรรยาเขาอีกที่ไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้ตั้งแต่ลูกชายพาเข้าบ้านแล้วบอกว่าท้อง
"เป็นพ่อประสาอะไร ทำไมไปแช่งลูกแบบนั้นล่ะ"คุณหญิงฐิตินันท์ดุสามี ไม่พอใจนักที่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง
"ก็เพราะคุณปกป้องมันแบบนี้ไง ไอ้ลูกนั่นถึงได้เป็นพ่อที่ต่ำกว่ามาตรฐาน คุณดูสิ เคยเห็นภาพนี้บ้างไหมตั้งแต่ที่มันมีเมียมีลูกมา"
ภาพสามคนแม่ลูกจูงมือกันเดินเข้ามาในบ้าน หญิงสาวใส่ชุดอยู่บ้านธรรมดามัดผมรวบๆ ไว้ด้านหลังเหมือนแม่บ้านทั่วไปแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนราวกับภาพวาด สองมือเธอกุมมือเล็กๆ ของลูกชายไว้คนละข้าง เธอกำลังมองลูกชายคนเล็กกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อพี่ชายบอกว่าจะซื้อช็อกโกแลตที่ขายอยู่ในโรงเรียนมาฝาก
ธัญญ์นลินย่อตัวลงไปหอมแก้มลูกชายคนโตเอ่ยบอกขอบคุณที่ดีกับน้อง ก่อนจะหันไปหอมแก้มลูกชายคนเล็กที่ดีดดิ้นหนีอย่างหมั่นเขี้ยว สายตาธัญญ์นลินเหลือบไปสบสายตาอีกสองคู่ที่มองดูอยู่พอดีก็ลุกขึ้นพรวดราวกับติดสปริง ปล่อยมือลูกๆ อย่างลืมตัวก่อนจะเอ่ยทักทายทั้งสองคน
"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อคุณแม่ ขอโทษด้วยนะคะที่เสียงดัง"
"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่มีอะไรให้ดีใจ ฮึ เจ้าแสบ" นายสิทธิกรหัวเราะบอกลูกสะใภ้อย่างใจดีก่อนจะหันไปถามหลานชายคนเล็กที่แสบสุดในบ้าน
"พี่ซอจะซื้อขนมมาฝากครับคุณปู่" ร่างกลมป้อมวิ่งไปประจบคนเป็นปู่ทันที ชูมือให้อุ้มอย่างเด็กขี้อ้อน นายสิทธิกรรับร่างกลมของหลานชายก่อนจะอุ้มเดินไปหาหลานคนโตที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างคนเป็นแม่ วางมือบนศีรษะเขาแล้วขยี้เบาๆ
เขาพอจะรู้ว่าส่วนใหญ่ทุกคนในบ้านจะเอาอกเอาใจหลานคนเล็กมากกว่า ส่วนคนโตเองก็เป็นเด็กไม่ค่อยพูดไม่ค่อยคุยเพราะผู้ใหญ่ไม่ค่อยหยอกล้อเล่นด้วยมากนัก
"จะซื้อขนมอะไรมาฝากน้องล่ะ"
"ช็อกโกแลตครับ" เด็กชายบอกคนเป็นปู่เบาๆ
"งั้นหรอ น่าสนใจ งั้นปู่จะให้ค่าขนมเพิ่มแล้วซื้อมาฝากปู่ด้วย ตอนเย็นจะได้มากินด้วยกัน" เขาบอกหลานชายอย่างอาทรแต่คนที่ดีใจที่สุดกลับเป็นในคนอ้อมแขน
"เย้ จะได้กินหนมกับคุณปู่กับพี่ซอ"
ธัญญ์นลินยิ้มตามลูกชายไปด้วย หันไปมองพ่อสามีที่ชาติที่แล้วที่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่อย่างซาบซึ้งใจ
"เห็นว่าช่วงนี้คุณพ่อต้องควบคุมเรื่องอาหาร หนูเลยทำข้าวกล่องให้ค่ะ ฝากไว้กับพี่มาโนชแล้ว คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรนะคะ" เธอบอกพ่อสามีขณะกำลังทานอาหารเช้ากันบนโต๊ะ
นายสิธิกรเงยหน้าจากชามข้าวต้มปลามองลูกสะใภ้อย่างแปลกใจที่หญิงสาวใส่ใจเรื่องของเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่แม่สามีก็มองอย่างสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
"ก็ดีสิ ฝีมือหนูบัวอร่อยอยู่แล้ว พ่อก็เริ่มจะเบื่อกับข้าวที่โรงแรมแล้วเหมือนกัน" เขาเอ่ยกับลูกสะใภ้ ไม่สนใจเสียงฮึในลำคออย่างขัดใจของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
"เลียแข้งเลียขา"
"มันอร่อยหรอครับคุณย่า" เด็กชายฐิรวิชญ์ได้ยินคนเป็นย่าพูดจึงเอ่ยถามอย่างพาซื่อ
ทุกคนบนโต๊ะอาหาร "..."
ธัญญ์นลินถือถาดของว่างของลูกชายและแม่สามีเข้ามาในห้อง ร่างกลมป้อมที่กำลังนั่งเล่นตัวต่อบนพื้นกับพี่เลี้ยงก็วิ่งมาหาทันทีเมื่อรู้ว่าแม่ถือขนมมาให้
แพนเค้กแครอทหน้าตาน่าทานส่งกลิ่นหอมที่วางบนโต๊ะทำให้เด็กชายอดไม่ได้ที่จะหยิบกิน แต่ถูกคนเป็นแม่เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
"ไปล้างมือก่อนครับคนเก่ง" เด็กชายหน้างอแก้มพองขึ้นอย่างขัดใจหันไปมองคนเป็นย่า แต่ย่าก็เอ่ยว่าให้ไปล้างมือตามที่แม่บอก ลับหลังจากที่ชมพู่พาเด็กชายออกไปล้างมือ แม่สามีก็เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อรู้ว่ากำลังถูกประจบ
"ช่วงนี้ว่างมากหรือไง มาทำไมบ่อยๆ ส่งแต่ของมาก็พอแล้ว" หญิงสาวยิ้มหวานส่งให้เหมือนไม่ได้ยินคำพูดที่แม่สามีเหน็บแนม
"เดี๋ยวแสงจะเอาแอปเปิ้ลขึ้นมาให้ คุณแม่เองก็ระวังเรื่องอาหารอยู่เหมือนกัน กินของพวกนี้บ่อยๆ คงไม่ดี ทานผลไม้เป็นของว่างนะคะ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย"
คุณหญิงฐิตินันท์ "..."
"คุณแม่ คุณแม่ กินได้หรือยัง" เสียงวิ่งดังตึกๆ ของร่างกลมป้อมแทบจะกลิ้งเข้ามาทำเอาธัญญ์นลินปวดหัว คงต้องสอนมารยาทกันใหม่ ไม่รู้ว่าได้นิสัยตะกละเอ็ดตะโรลั่นบ้านแบบนี้มาจากไหน
เมื่อแสงยกจานแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแล้วขึ้นมาให้ คุณหญิงฐิตินันท์ก็เบ้ปากทันที
"แอปเปิ้ลที่บ้านนี้ก็มีให้กิน ไม่ต้องอาศัยบารมีบ้านสวนคูนส่งมาให้กินหรอก"
"หนูก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคุณแม่คงไม่ชอบกิน เลยฝากพี่แช่มไปซื้อเฉาก๊วยนมสดมาให้ ร้านนี้ทำไม่หวานมาก อากาศร้อนๆ แบบนี้คุณแม่น่าจะชอบ" เธอพูดอย่างเอาใจ หันไปยิ้มให้ชมพู่กับป้าสำลีไม่สนสีหน้าเดือดๆ ของแม่สามีที่บ่งบอกว่า 'ฉันไม่ชอบ' เลยสักนิด
"ฉันให้ซื้อเผื่อด้วยนะ ถ้ามาถึงแล้วก็ลงไปกินที่ครัวได้เลย" ฐิรวิชญ์ที่นั่งอยู่บนตักแม่พอได้ยินว่ามีขนมอย่างอื่นด้วยปากที่ยังเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆ ก็เอ่ยออกมาทั้งที่มีขนมเต็มปาก
"เฉาต๊วย"
"เฉาก๊วยลูก เวลากินอยู่ห้ามพูด กลืนให้หมดก่อนเดี๋ยวติดคอ" เธอว่าพลางเช็คคราบมันบนแก้มยุ้ยของลูกชายเบาๆ ยิ้มให้อย่างเอ็นดู ร่างสูงของชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มเข้ามาทันได้เห็นภาพของสองแม่ลูกพอดี เขามองนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันไปมองตามเสียงทักของผู้เป็นแม่
"ตาขลุ่ยกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันบ้าง หายเงียบไปเลย" คุณหญิงฐิตินันท์ยิ้มให้ลูกชายอย่างดีใจ เขายกมือไหว้มารดาแล้วเดินมานั่งบนโซฟาตรงข้ามกับ
ธัญญ์นลินที่ตอนนี้ตกอยู่ภวังค์ตั้งแต่เห็นเขาที่เดินมา
หัวใจเต้นแรงจนเธอกลัวว่าลูกชายที่นั่งบนตักจะได้ยิน ไม่รู้ว่าดีใจหรือตกใจ
ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาเขาก็ไปทำงานหายไปเป็นอาทิตย์ไม่ส่งข่าว อยู่ดีๆ ก็โผล่หัวมาแถมมาถึงก็ไม่ทักทายเลยกันสักคำ นั่นสิ เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่นา ต่อให้เขาสุภาพให้เกียรติในฐานะภรรยาแต่ช่างห่างเหินราวกับเป็นแค่คนรู้จักเพราะแบบนี้เธอถึงได้ตัดสินหย่ากับเขา พอคิดถึงตรงนี้ถ้อยคำในอดีตที่แสนเจ็บปวดจากเขาก็ดังก้องขึ้นมา
'เรียบร้อยแล้วก็ไสหัวไปซะ ถ้าคิดจะไปก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก' หลังจากเซ็นใบหย่าเขาก็เอ่ยไล่เธอทันที ตอนนั้นที่เธอตัดสินใจพูดกับเขาว่าจะหย่า เธอหวังว่าเขาจะเอ่ยคัดค้านออกมา หวังให้เขามีเยื่อใยเอ่ยรั้งเธอไว้ หวังว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมให้เธอใจเย็นๆ แต่เขากลับยอมรับการตัดสินใจของเธอโดยไม่โต้แย้ง อีกวันก็พาไปหย่าเลย ช่างไม่แคร์คนที่นอนร่วมเตียงมาเป็นสิบกว่าปีเอาเสียเลย แล้วชาตินี้ล่ะ เธอกับเขาจะไปกันรอดหรือไม่หนอ
ธัญญ์นลินหลับตาลงลบเลือนความฟุ้งซ่านกับคำพูดพวกนั้นออกจากหัว
"เป็นอะไรแม่คุณ ผัวมาแล้วก็หน้าซีด สำออยอ้อนผัวหรือไง" ถ้อยคำนี้จะเป็นของใครได้นอกจากแม่สามีที่รักเอ็นดูเธอยังไงล่ะ ธัญญ์นลินยิ้มหวานหยดสุดบรรจงส่งให้แม่สามี
"คุณแม่พูดอะไรก็ไม่รู้ หลานยังนั่งด้วยนะคะ" เธอตำหนิแต่แสร้งทำท่าเขินอายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งสามีและแม่สามีเงียบกริบ สักพักใบหน้าเข้มก็ขึ้นสีระเรื่อแต่ทำเป็นเฉย ส่วนแม่สามีก็ถลึงตาใส่อย่างเคืองๆ
"สำออยคืออะไรครับคุณแม่"
ทุกคนในห้อง "..."
"ซอล คุณพ่อกลับมายกมือไหว้ทักทายหรือยังครับ อย่าห่วงแต่กินสิ" เธอทำเสียงดุเล็กๆ กลบเกลื่อนคำถามอันตรายของลูก คำพูดแต่ละคำของแม่สามีช่างเป็นสิ่งที่ลูกคนเล็กของเธอจดจำได้ดีเหลือเกิน
ฐิรวิชญ์เงยหน้ามองคนเป็นพ่อแวบหนึ่งก็ยกมือไหว้ตามที่แม่บอกแล้วก็สนใจขนมตรงหน้าต่อเหมือนเดิม ช่างเป็นลูกที่รักพ่อจริงๆ ครอบครัวเธอมันวิปริตหรือไง ทำไมไม่เห็นเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เมื่อชาติก่อนเธอคงหูหนวกตาบอดถึงได้ไม่รู้สึกร้อนรนกับท่าทีเฉยชาพวกนี้
"แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวแม่ให้คนเตรียมให้"คุณหญิงฐิตินันท์เอ่ยถามบุตรชายที่เพิ่งมาถึง ชายหนุ่มลอบมองหน้าภรรยาที่ยิ้มหวานให้ลูกชายบนตักแวบหนึ่งก่อนหันไปตอบมารดา
"เรียบร้อยแล้วครับ มีของฝากจากกระบี่มาให้ด้วยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมมาทานข้าวด้วยแล้วจะเอามาให้"
"ดีเลย พ่อเราก็บ่นหาอยู่ แล้วโรงแรมที่กระบี่เป็นไงบ้าง"
"ต้องปรับปรุงพื้นที่บางส่วน อาจจะรีโนเวทใหม่ทั้งหมดเดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะปรึกษากับคุณพ่อตอนเย็นอีกที ไม่มีอะไรน่าห่วง"
"อืม ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ดี ไปพักผ่อนเถอะ มาเหนื่อยๆ"คุณหญิงฐิตินันท์บอกลูกชายพลางปรายตามองลูกสะใภ้ที่นั่งเงียบก็เอ่ยอย่างแดกดัน
"พาลูกผัวกลับบ้านไปพักผ่อนสิยะ เธอจะมานั่งเฝ้าฉันทั้งวันหรือไง หรือจะรอกินเฉาก๊วย"
ธัญญ์นลินยิ้มแหยเมื่อนึกได้ว่าเฉาก๊วยเธอยังไม่มา ถ้าไม่ติดว่าจะเสียมารยาทเธอคงขอตัวออกไปตั้งแต่เขาเข้ามาแล้ว เธอทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขาดี สามีที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปีเมื่อชาติก่อน
หญิงสาวอุ้มลูกชายเดินตามหลังเขากลับบ้านเงียบๆส่วนฐิรวิชญ์เมื่อกินอิ่มก็เริ่มง่วงนอน เด็กชายทำตาปรือแต่ก็บ่นอยากกินเฉาก๊วยจนหญิงสาวหลุดขำ
"คุณแม่ อยากกินเฉาต๊วย"
"ตาจะปิดอยู่แล้วยังอยากจะกินอยู่อีก ระวังเถอะจะเป็นหมูสักวัน" เธอหยอกล้อลูกชายในอ้อมแขน ดึงแก้มเขาเล่นเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
"ไว้รอกินพร้อมพี่ซอกลับมาจากโรงเรียนก่อนดีกว่านะครับ กินคนเดียวไม่อร่อยหรอก"
ฐิติกรหันไปมองทั้งสองด้วยสายตาครุ่นคิด เขาไม่เคยเห็นท่าทางเป็นธรรมชาติอ่อนโยนแบบนี้ของภรรยามาก่อนเลยตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
หลายปีมานี้ธัญญ์นลินเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้มแม้แต่กับลูกชาย เขาไม่อยู่บ้านหลายวันกลับมาคราวนี้ทำไมรู้สึกเหมือนภรรยาเขาแปลกไปเหมือนเธอยิ้มบ่อยขึ้น ดูอารมณ์ดีต่างจากปกติ สีหน้าที่มองลูกก็อ่อนโยนกว่าแต่ก่อน เวลาแค่อาทิตย์เดียวจะทำให้เปลี่ยนท่าทีได้ขนาดนี้เชียวเหรอ เขาพลาดอะไรไป
"คุณขลุ่ยไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวบัวจะเอาลูกไปอาบน้ำนอนกลางวันก่อน" เธอบอกเขาขณะขึ้นมาบนชั้นสองของบ้าน แยกตัวไปที่ห้องนอนเล็กของลูกชาย จู่ๆ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยที่ภรรยาเอาแต่สนใจเจ้าตัวเล็ก รอยยิ้มที่เขาลอบมองบ่อยๆ ตั้งแต่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคุณแม่ยังไม่ส่งมาให้เขาเลยสักทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยสนใจสักนิดว่าเธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้มให้