CHAPTER 4

1966 Words
CHAPTER 4 “ได้ครับ อยากทำอะไรก็บอก ผมไปเป็นเพื่อนได้หมด ขอแค่บอกก็พอนะ” จำได้ด้วยเหรอคะ ทำแบบนี้ได้เหรอคะ ทานจานนั้นได้หรือเปล่า ยังไม่ทานของหวานได้ไหมคะ แล้วไปทางนั้นได้ไหมคะ ทุกอย่างล้วนเป็นคำถามออกมาจากน้ำหนาวเด็กผู้หญิงตรงหน้าของทิศเหนือหมดตั้งแต่เจอกันมาเพียงแค่ไม่ถึงสองวันเห็นจะได้ น้ำหนาวเหมือนต้องการขออนุญาตและก็มีความกลัวว่าจะไม่ได้รับการอนุญาตในทุกๆ เรื่องจึงมีการย้ำเสมอเพื่อรอรับว่าสามารถทำได้หรือไม่ ข้อนี้ส่วนมากต่างจากคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งมันไม่ได้แปลกหรอกกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันออกมาทว่าสิ่งที่ทำให้สงสัยก็คือบางอย่างมันเป็นเรื่องที่สามารถตัดสินใจเองได้โดยไม่ต้องถามคนอื่นแต่ไม่ใช่กับน้ำหนาวเลย เท่าที่เห็นผ่านมาตั้งแต่เจอกันน้ำหนาวไม่ทำมันโดยไร้คำที่บ่งบอกถึงการอนุญาตเด็ดขาด เหมือนเป็นความเคยชินผสมกับความกลัวเกาะลึกภายใจจิตใจมากกว่า ที่ผ่านมาสำหรับการใช้ชีวิตของน้ำหนาวไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเจอกับอะไรมาบ้างแต่คงจะเป็นเรื่องที่ทำให้ฝังใจได้ไม่น้อยเลย กว่าจะกล้าก้าวออกมาเผชิญโลกที่กว้างขึ้นคงใช้เวลาทำใจอยู่พอสมควร ทิศเหนือไม่อยากเสียมารยาทเอ่ยถามในเรื่องที่อีกฝ่ายพยายามที่จะลืมมัน แค่อยากให้มีรอยยิ้มและทิ้งความทรงจำพวกนั้นออกไปให้ไกลมากกว่า ความทรงจำไม่ดี ไม่มีใครอยากจำหรอก ข้อนี้ไม่ว่าจะใครก็สามารถทำได้และเลือกได้เสมอ ความแตกต่าง “แต่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ทานได้ค่ะ” “ไม่กี่ชั่วโมงก็ถือว่าพักผ่อน” “เอางั้นก็ได้ค่ะ” รอยยิ้มหวานถูกส่งออกมาพร้อมกับนัยน์ตาใสสุกสกาวที่บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขเป็นอย่างมาก ความสดใสที่ถูกซุกซ่อนอยู่ถูกเผยออกมาจนเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งต่างจากเมื่อวาน ถึงแม้ในบางตอนความสดใสนั้นจะถูกบดบังด้วยความหม่นหมองบ้างทว่าก็ยังถือว่าดีขึ้น ทิศเหนือยอมรับว่าการสังเกตของตัวเองใช้ไปกับบุคคลตรงหน้าค่อนข้างมากและทำเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้งที่ไม่ปกติเลยสักนิดเดียว การรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายและใช้เวลาเพียงไม่นานกับการกระทำของตัวเอง ไม่รู้อีกเช่นกันว่าต่อจากนี้มันจะพัฒนาต่อไปทางด้านไหนแต่สิ่งที่กำลังให้ความสนใจก็คือปัจจุบัน ปัจจุบันที่ต้องทำให้ดีที่สุด ปัจจุบันที่ไม่ควรนำเรื่องราวใดๆ จากอดีตเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ทำให้ทิศเหนือมีแบบแผนในชีวิตมากขึ้นและก็ดีสามารถเห็นผลมากกว่าการปล่อยละเลย ฉะนั้นทุกๆ อย่างจึงจำเป็นต้องมีการคิดเอาไว้ก่อนที่จะลงมือทำมันให้เกิดขึ้น “โอเค จากนั้นอยากไปต่อที่ไหนไหม” “…” “ทำไมมองอย่างงั้นล่ะ หมายถึงไปเที่ยวครับ” พอรู้ตัวว่าเอ่ยพูดออกไปแบบนั้นทิศเหนือก็พยายามแก้ประโยคพูดออกมาในทันทีเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจแบบผิดๆ ไปมากกว่านี้ ประโยคที่พึ่งเอ่ยพูดไปนั้นมันสามารถแตกได้ในหลายแง่มุมด้วยกันและในบางแง่มุมก็มีหมายความไม่ดีเท่าไหร่ฉะนั้นต่อไปจะพยายามใช้ประโยคที่สื่อไม่ให้เข้าใจผิดไปอีกเด็ดขาด ทิศเหนือเข้าใจดีว่าความคิดของคนเรามันตีความได้แตกต่างกันไปการป้องกันไว้ก่อนคือส่วนที่ดีที่สุดเพื่อรักษาอีกคนหนึ่งไว้ในด้านความรู้สึก ก็ถือว่ามันมีผลที่คุ้มค่าแล้ว “พ่อเลี้ยงไม่ยุ่งเหรอคะ เดี๋ยวหนาวไปเองก็ได้นะแต่ขอแพลนก่อน” การแพลนในที่นี้ของน้ำหนาวก็คือแพลนในทุกๆ เรื่องจะคงใช้เวลานานพอสมควร ไม่ใช่วันนี้ได้ไปเที่ยวเลยแต่ต้องใช้คำว่าเร็วๆ นี้ต่างหาก เพราะการไม่ใช่คนในพื้นที่ การได้มาเยือนในที่นี้ครั้งแรก การไม่ได้รู้จักอะไรเลยนอกจากข้อมูลในไร่แห่งนี้ที่รับรู้มาก็แค่ผิวเผินไม่เจาะลึกในทุกๆ เรื่อง ถ้าหากออกไปด้านนอกยิ่งไปกันใหญ่เลยด้วยซ้ำ น้ำหนาวไม่ได้รู้จักไปทั่วว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวตรงไหนบ้าง ไม่ได้รู้จักถนนทุกสายว่าเส้นไหนจรดกันบ้างถึงแม้จะสามารถหาได้ในโทรศัพท์ทว่ามันจะต้องใช้เวลามากพอสมควรกับการไม่คุ้นชิน บวกกับความกล้าในใจมันก็ยังไม่ถึงจุดนั้นถึงแม้ในบางเรื่องจะตัดสินใจเด็ดขาดก็ตาม แต่กว่าจะตัดสินใจกล้าทำก็ลังเลไปหลายรอบแล้วเช่นกัน “ช่วงนี้ไม่ยุ่งเท่าไหร่ครับ พาไปได้” “ใจดีจัง” แค่กับบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ทิศเหนือเอ่ยต่อในใจในเวลาต่อมา ความใจดีที่มีขีดจำกัด ความใจดีที่ไม่มีความพร่ำเพื่อเผื่อแผ่ใครเว้นแค่คนในครอบครัวของตัวเองเท่านั้น แต่ก็แค่บางเรื่องแม้แต่ครอบครัวก็ไม่สามารถทำให้ทิศเหนือใจดีได้เลย องค์ประกอบของการใช้ชีวิตมันมีเรื่องราวต่างๆ ซุกซ่อนอยู่เพิ่มความซับซ้อนในทุกๆ เรื่อง แล้วแต่ปัญหาจะเกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน การแก้ปัญหาและการพร้อมรับมือมันก็ต่างกันมากอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือการรับความหนักหน่วงของปัญหานั้นได้มากเท่าไหร่ ในสายตาคนอื่นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย ชอบพูดว่า แค่นี้เองทำไมทำได้ได้ ไม่เก่งเลย ความอดทนมีแค่นี้เหรอ บอกได้เลยว่ามันบ้ามาก ได้แค่รับรู้เรื่องราวไม่ได้เห็นว่าปัญหานั้นส่งผลกระทบกับคนอื่นมากแค่ไหนพูดลักษณะนี้มันไม่ถูกต้องหรอก คำว่า แค่ ใช้กับทุกปัญหาไม่ได้ เพราะคำว่า แค่ ของคนเรามันไม่เท่ากัน “ก็มีมุมดุเช่นกันครับ” ทิศเหนือไม่ได้ใจดีเสมอไป “เอ่อ...” “เกิดขึ้นไม่บ่อยหรอกครับ นานๆ ครั้งมากกว่า” “แบบนี้ยิ่งน่าคิดเลยค่ะ หลายคนเลยที่โกรธไม่บ่อยแต่พอโกรธทีหนึ่งเหมือนภูเขาไฟระเบิด” “…” “จริงๆ นะคะ” น้ำหนาวทำหน้าจริงจังเมื่อหันมามองอีกฝ่ายยิ้มหวายจนลักยิ้มทั้งสองข้างของแก้มยักบุ๋มลงส่งให้ราวกับว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นมันไม่จริงสักนิดเลย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ซึ่งใบหน้าที่บ่งบอกว่ายิ้มบางครั้งความคิดมันอาจสวนทางขึ้นมาก็เป็นได้ “ครับ” “ไม่เชื่อเหรอคะพ่อเลี้ยง” “ถ้าเป็นน้ำหนาวพูดก็เชื่อ” “ถ้าเป็นคนอื่นล่ะคะ” “ไม่เชื่อครับ” “ขอเหตุผลได้ไหม” “เหตุผลคือน้ำหนาว” “เอ่อ...” “เอาเป็นว่าถ้าแพลนเที่ยวเสร็จหรือว่าอยากไปเที่ยวตรงที่ไหนก็บอกนะ” ทิศเหนือเลือกที่จะเอ่ยประโยคให้จบเรื่องราวออกไปและปล่อยเบลอประโยคก่อนหน้าราวกับไม่ได้พูดออกไปเพราะว่ากลัวอีกฝ่ายจะทำตัวไม่ถูกไปมากเกินกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งเรื่องความสบายใจมันก็เป็นอีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย “บอกได้หมดครับ ไม่ต้องเกรงใจ” “ขอบคุณค่ะ” เพราะอายุที่ห่างกันหลายปีหรือว่าจะเป็นการคาดเดาของน้ำหนาวก็ไม่รู้ มือเล็กที่โผล่พ้นแขนเสื้อกันหนาวมาแค่เพียงปลายนิ้วเล็กๆ แต่สามารถมองออกว่าน้ำหนาวกำลังยกมือไหว้ทิศเหนืออยู่ “ยินดีช่วยครับ” เวลายังเดินผ่านไปแต่สิ่งที่ยังค้างคาอยู่ภายในใจของน้ำหนาวกับเป็นประโยคพูดนั้นซ้ำๆ เหตุผลคือน้ำหนาว เป็นโยคสั้นๆ ที่ล้วนเวียนวนมาตลอดถึงแม้จะแยกกับเจ้าของประโยคที่เอ่ยพูดนานแล้วก็ตาม นี่ขนาดเข้าไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนในห้องที่บรรยากาศโคตรดีก็ยังไม่สามารถหยุดคิดได้เลย ถือว่าเป็นครั้งแรกที่สภาพแวดล้อมดีขนาดนี้แต่น้ำหนาวก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้ หากเป็นเมื่อก่อนหัวถึงหมอนปุ๊บหลับปั๊บกันเลย จะทำยังไงดี ทำไงดี น้ำหนาวพยายามคิดแล้วก็นึกในใจจนกระทั่งในที่สุดก็ได้คำตอบ ไม่ต้องหลับต้องนอนมันแล้ว! ในส่วนของคนตัวการซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของไร่ได้แค่เพียงนั่งยิ้มบนเก้าอี้ตัวโปรดกับที่ประจำบนระเบียงของบ้านหลังใหญ่บนเขาที่ทุกคนให้ชื่อว่า เรือนระเบียงดาว คนรูปร่างสูงโปร่งไขว่ห้างยกแก้วกาแฟดำรสเข้มขึ้นดื่มพร้อมกับมองวิวสวยตรงหน้าที่สามารถเห็นได้ทั่วทั้งหมดของไร่ซึ่งตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกที่ขาวแบบจางๆ พื้นที่ตรงนี้ถูกยกขึ้นให้เป็นอันซีนของไร่เนวนายนต์ที่มีเพียงบุคคลภายในครอบครัวเท่านั้นสามารถขึ้นมาได้นอกจากนั้นก็ยังมีคนสนิทเพียงสองสามคน พื้นที่ส่วนตัวไม่แปลกหากจะได้รับการหวงแหนมากเป็นพิเศษเพราะมันเป็นพื้นที่เดียวเท่านั้นที่ทิศเหนือชื่นชอบ การนั่งดูสายหมอกเคลื่อนย้ายตามแรงลมไปมาตามที่ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดในทุกๆ เช้าหลังจากออกกำลังกายเสร็จถือว่าเป็นการได้รับพลักงานที่ดีมากก่อนเริ่มงาน อยู่ต่างจังหวัดทุกๆ อย่างมันทำให้ไม่ต้องเร่งรีบไปเสียทุกๆ อย่างเหมือนกว่าอยู่ในเมือง สไตล์ชีวิตที่ต่างกันทิศเหนือจึงชอบต่างจังหวัดมากกว่าเพราะไม่อยากดำเนินชีวิตบนรถเท่านั้น ที่คิดไม่ใช่ว่าไม่เคยสสัมผัสวิถีชีวิตในเมืองใหญ่แต่เพราะสัมผัสและลองใช้มาแล้วนั้นแหละถึงทำให้ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย Rr…. ราม เพราะบนหน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อนี้ขึ้นมานตอนเช้าแบบนี้ก็ค่อนข้างแปลกใจนิดหน่อยเพราะมันไม่ปกติเท่าไหร่นัก หากเป็นตอนกลางคืนทิศเหนือจะไม่ว่าหรือแปลกใจเท่านี้มาก่อนเพราะถือว่าปกติ “มีไรของมึง” ไม่แค่รับทิศเหนือกรอกเสียงตามลงไปในทันที [น้องกูเป็นไงบ้างวะเหนือ กูหมายถึงท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสไหม ร้องไห้จนขอบตาแดงหรือเปล่า ใบหน้ายิ้มแต่พอลับสายตากลับมาเศร้าไหม เช้านี้มึงเจอไอ้หนาวไหมวะ ถ้าเจอมันกินอะไรเช้านี้] “กูไม่ใช่กล้องวงจรปิดนะจะสรรหาเวลามองน้องมึงตลอดไอ้ควาย” [เห้อ] “อยากรู้ขนาดนั้นทำไม” เพราะมันคงไม่ได้ไม่มีอะไร “ทุกอย่างปกติ ตอนเช้าออกมาดูหมอกตอนนี้คงหลับ ยังไม่ได้ทานข้าวเช้านะเพราะเมื่อคืนเธอบอกทำงานทั้งคืน กูเลยบอกทานตอนตื่นได้” [กูโล่งใจเลย ไอ้หนาวนอนตื่นสายแบบที่ชอบได้] “ใครก็ทำทั้งนั้นนะราม” [มันใช้ไม่ได้กับระกูลกูไงเหนือ พวกบ้าอำนาจใช้ไม่ได้หรอก] “จะดูให้ละกัน” [ขอบใจมากแต่ระวังใจละกัน อยู่กับคนสวยๆ] “หึ...” [หรือมึงจะบอกว่าไม่สวย?] “คาดหวังคำตอบอยู่เหรอ ตอบได้... ไม่มีวันได้คำตอบ” [สมกับเป็นทิศเหนือจริงๆ เลยไอ้เหี้ย]

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD