ชั่วขณะหนึ่งที่ลมพัดปลิว ความงามเสี้ยวหนึ่งของภรรยาก็ปรากฏต่อหน้าหยางเหวินเย่ แม่ทัพหนุ่มใจเต้นแรง เริ่มคลางแคลงใจอย่างหนักว่านางอัปลักษณ์ดั่งที่เขาคิดจริงหรือไม่
อยากจะออกคำสั่งให้นางปลดผ้าคลุมนั่นเสียเกิน แต่ก็กลัวว่าจะทำให้นางอับอาย
หลังนั่งจิบสุราอยู่สองเค่อ หยางเหวินเย่ก็ใช้แขนก่ายหน้าผากเพื่อซ่อนดวงตาจากแสงแดดยามบ่าย เขาเอนหลังพักอยู่ในศาลาหลังน้อย มิแยแสเปิดเปลือกตายามคุณหนูหลิวเข้ามารับภาพวาดตามที่นัดหมาย
ปรากฏว่านางพาสหายมาด้วยสองคน แน่นอนว่าสาวงามเหล่านั้นไม่พลาดโอกาสที่จะซุบซิบนินทาคุณหนูเถียนเถียนและชายแปลกหน้าที่นั่งเอนหลังอยู่มิไกลนัก
“ได้ข่าวว่าสามีไม่อยู่บ้านนานห้าปี แต่ดูท่าคุณหนูเถียนเถียนจะหายเหงาแล้วกระมัง”
อู๋เพ่ยเชี่ยน สหายของคุณหนูหลิวกล่าวออกมาอย่างมิเกรงใจ นางขอติดตามเข้าบ้านเหลียนซานเพื่อชมดูว่าเถียนเถียนงดงามสมคำร่ำลือจริงหรือไม่ ทว่านางกลับซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุม กระนั้นดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นก็งามจริงดังข่าวว่า และเมื่อความอิจฉาแล่นพล่านทั่วร่าง จึงเผลอกล่าวถ้อยคำมิสมควร สื่อสารไปว่าสะใภ้สกุลหยางกำลังคบชู้สู่ชาย
“ปากสุนัข” หยางเหวินเย่เอ่ยทั้งที่ยังมิได้ลืมตา
“เจ้าว่าใคร!” อู๋เพ่ยเชี่ยนเพ่งตามอง อยากรู้เหลือเกินว่าบุรุษที่ใช้แขนบดบังแสงแดดมิให้ต้องหน้าคือผู้ใด
“ว่าคนที่ปากไม่ดี” หยางเหวินเย่ยังคงไม่ยอมสบตาคุณหนูที่กล่าววาจาดูถูกภรรยา
“คงจะสนิทสนมกันมาก ถึงได้ออกหน้าปกป้องกันถึงเพียงนี้ หากท่านพี่ของข้ารู้เข้า คงจะเสียใจน่าดู”
“พี่ของเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อันใดมาเสียใจ”
“เจ้าช่างโง่เง่าที่มิรู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือคุณหนูสกุลอู๋ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก...” อู๋เพ่ยเชี่ยนกล่าวต่อไปมิได้อีก ด้วยบุรุษที่นั่งเอนตัวอยู่กลับทิ้งแขนลง ความงามสมชายทำให้นางร้อนวูบวาบทั่วร่างชั่วขณะ แค่เขายืดตัวนั่งตรงก็เกือบจะสูงเท่านางที่ยืนอยู่แล้ว
ทว่าสายตาแข็งกร้าวกลับเตือนให้อู๋เพ่ยเชี่ยนได้สติขึ้นมา
“นึกไม่ถึงว่าสตรีสกุลอู๋จะมารยาททราม”
“นี่ท่าน!”
“เถียนเถียน หากเจ้าจะวาดรูปนาง ข้าบอกตรงนี้เลยว่ามิอนุญาต” หยางเหวินเย่หันไปกล่าวกับภรรยา
“ท่านพี่โปรดระงับโทสะ เถียนเถียนรินสุราเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ภรรยาอายุสิบเก้ารีบตรงเข้าไปประจบเอาใจ ด้วยทราบดีว่าท่านแม่ทัพผู้นี้อารมณ์ร้อนยิ่งนัก นางใช้ภาษามือออกคำสั่งให้จางฉวนไปนำสุราและกับแกล้มมาเพิ่ม
ฮูหยินหยางชิวเหยาเคยเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หยางเหวินเย่ก็มิค่อยชอบพูดจาออกความเห็น ทว่าพอได้โอกาสก็จะมิไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น พอเถียนเถียนเห็นสามีอารมณ์เสียใส่คุณหนูสกุลอู๋ จึงรีบเอ่ยคำหวานปลอบประโลมให้ใจเย็นขึ้นมาบ้าง
“ท่านพี่เหนื่อยจากการเดินทาง ให้เถียนเถียนพากลับไปพักผ่อนดีไหมเจ้าคะ”
“อยากนั่งเล่นกับภรรยาอีกสักครู่มิได้หรือ” หยางเหวินเย่ตั้งใจแสดงตัวว่าเขาคือสามีของสตรีที่กำลังถูกหยามเกียรติ ทว่าความใกล้ชิดและดวงตาคู่งามทำให้เขารู้สึกคล้ายกับถูกสะกดให้จมลงไปในบ่อน้ำลึก เขาเกี่ยวปอยผมทัดหูของนาง และพอจะปลดผ้าคลุมหน้า เถียนเถียนกลับเคลื่อนตัวออกห่าง
ดวงตาของนางวูบไหวหวาดระแวงคล้ายกลัวว่าจะถูกทำร้าย
เถียนเถียนขอตัวไปส่งแขก มิลืมกล่าวขอโทษคุณหนูทั้งสาม นางมิถือโทษโกรธเคืองคุณหนูสกุลอู๋ เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่จะต้องจัดการ อารมณ์ของสามียังมิปกติ สายตาของเขาแสดงออกชัดว่าเกิดความต้องการ ไม่ต่างจากเหล่าบุรุษที่จ้องมองนางในสมัยที่บิดายังมีชีวิตอยู่ และหากต้องเข้านอนห้องเดียวกันก็อาจจะเกิดปัญหาใหญ่
ท่านพี่ของนางจะต้องสร่างเมาเสียก่อน
“นั่นสามีของเจ้า ท่านแม่ทัพหยางจริงหรือ” คุณหนูหลิวเอ่ยถาม ในบรรดาเพื่อนสามคน นางนับว่ามารยาทดีที่สุดแล้ว
“ท่านพี่เหนื่อยจากการเดินทาง อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
“คงมิอารมณ์เสียถึงขนาดตบเจ้าหน้าแหก จนต้องซ่อนหน้าเอาไว้ใต้ผ้าคลุมกระมัง”
“ดีใจนักคุณหนูสกุลอู๋มีน้ำใจห่วงใยกันตั้งแต่แรกพบ แต่ที่ข้าต้องคลุมหน้า ก็เพราะว่ากลัวว่าท่านพี่จะทนกับความอัปลักษณ์ของข้ามิไหวก็เท่านั้น” กล่าวจบก็ปลดผ้าคลุมหน้าลง เปิดเผยความงามให้คุณหนูขี้อิจฉาได้ปวดใจเล่น
“ไม่ต้องส่งแล้ว!” คุณหนูสกุลอู๋ทนมองหน้าสตรีที่มีความงามมากกว่านางมิได้ จึงเร่งฝีเท้าออกจากบ้านเหลียนซานทันที
ข่าวลือที่ว่าภรรยาของท่านแม่ทัพงามราวกับนางสวรรค์ มิใช่แค่ข่าวลือเสียแล้ว!
หลังจากส่งแขก เถียนเถียนก็กลับมาสวมผ้าคลุมหน้าดังเดิม นางมาทันได้เห็นท่านพี่บีบนวดขมับของตน จึงรีบตรงเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“มิได้เป็นอะไร แค่ปวดเมื่อยเพราะการเดินทางก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นก่อนนอน เถียนเถียนจะนวดให้นะเจ้าคะ”
“นวดเป็นด้วยหรือ”
“เคยนวดให้ท่านพ่อบ่อย ๆ” น้ำตารื้นขอบตาของนางชั่วอึดใจหนึ่งก็หายไป
“ข้าไม่เคยรู้เรื่องของเจ้าเลย”
“ท่านพี่เป็นถึงท่านแม่ทัพเลื่องชื่อ มิควรต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของเถียนเถียนหรอกนะเจ้าคะ”
หากเป็นสตรีอื่นกล่าวคำนี้ หยางเหวินเย่ก็คงเข้าใจไปว่าคือการส่อเสียดแสดงความไม่พอใจที่ถูกลืมเลือนนานนับห้าปี ทว่าน้ำเสียงของภรรยายังสาวกลับบอกชัดว่านางหมายความเช่นนั้นจริง และดวงตากลมโตก็มิได้มีความน้อยใจซ่อนอยู่
ออกจะยินดีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“จริงสิ ข้าซื้อของมาฝากหลายชิ้น มิแน่ใจว่าจะชอบหรือไม่”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมโตยามดีใจนั้นน่ามองยิ่งนัก
“ท่านพ่อคงจะให้บ่าวนำไปไว้วางที่ห้องแล้ว เจ้า...อยากจะไปชมดูหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” เถียนเถียนส่งภาษามือให้จางฉวน ขอให้บ่าวคนสนิทจัดการส่งสุราและกับแกล้มไปไว้ที่ห้องนอนแทน
ความร่าเริงของภรรยาทำให้สามีขี้โมโหลืมเรื่องของคุณหนูสกุลอู๋ไปเสียสิ้น เถียนเถียนสอดแขนเข้าช่วยคนข้อเท้าเจ็บเพื่อเตรียมตัวเดิน เรือนร่างบอบบางของนางแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะทำนู่นทำนี่ไม่ยอมอยู่นิ่งหรือนอนขี้เกียจเช่นคุณหนูบ้านอื่น
“ข้าทำเองได้” ทว่าเถียนเถียนมิยอมฟัง ค่อย ๆ บรรจงถอดรองเท้าของสามีอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อเท้าข้างที่ยังมีอาการเจ็บอยู่ นางหายตัวไปชั่วอึดใจก็กลับมาพร้อมกับน้ำสะอาด โดยมีจางฉวนคอยอยู่เป็นผู้ช่วย
หลังจากหยางเหวินเย่ล้างหน้าเรียบร้อยดีแล้ว ก็ปล่อยให้ภรรยาแกะผ้าพันข้อเท้าออกและล้างทำความสะอาด นางลงมือทายาและพันผ้ากลับคืนดังเดิม
“เก่งจริง” หยางเหวินเย่เอ่ยชมภรรยาขณะถอดเสื้อตัวนอก ซึ่งนั่นนางก็คอยช่วยเหลือมิต่างกัน
“ครูพักลักจำเท่านั้น ท่านพี่ยังอยากดื่มสุราอยู่ไหมเจ้าคะ”
“สักหน่อยก็ดี ว่าแต่เจ้ามิอยากดูของฝากแล้วหรือ”
“จางฉวน เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด ข้าจะดูแลท่านพี่เอง”
ทว่าบ่าวใบ้จางฉวนทำภาษามือรัวเร็ว สีหน้าตื่นตระหนกราวกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เถียนเถียนส่งภาษามือพร้อมกับยิ้มกว้าง
บ่าวใบ้จางฉวนจัดการจุดตะเกียงเพราะฟ้ากำลังจะมืด แล้วจึงยอมออกจากห้องไป
“ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรือ” หยางเหวินเย่อดถามมิได้
“จางฉวนแค่กลัวว่าข้าจะเหนื่อย ท่านพี่ทนลำบากหน่อยนะเจ้าคะ พรุ่งนี้คงจะได้ไม้เท้าที่เหมาะมือแล้ว” เถียนเถียนประคองสามีให้ลุกออกจากเตียงและตรงไปยังโต๊ะเพื่อดื่มสุราต่อ