ตอนที่ 2 เรื่องราวในกาลครั้งนั้น (2)

2178 Words
“ทำไมจู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมาได้นะ” เด็กหญิงวัยห้าขวบที่กำลังแหวกว่ายอยู่ใกล้ๆเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือกอดอกตัวเองในน้ำ “วารีรินนั่นเจ้าเป็นอะไรไป” เด็กหญิงหน้าตาสระสวยอีกคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาถือหอกแหลมในมือเพื่อจะจับปลาไปเป็นอาหารเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนกำลังยืนหนาวสั่นอยู่ในน้ำ “ไม่รู้สิอยู่ดีๆก็รู้สึกหนาว” วารีริณพยายามกัดฟันเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเพราะความหนาวเหน็บ “ผีหลอกล่ะมั้ง” เสียงเจ้าแดงเพื่อนผู้ชายอีกคนวัยไล่เลี่ยกันที่กำลังนั่งปาหินหยอกล้อกับปันคนาศเพราะเจ้าตัวกำลังจะจับปลาได้อยู่แล้วเชียวแต่ก็ต้องหลุดมืออีกจนได้ “ปากเสียนะเจ้า อยู่ในป่าใครเขาพูดถึงผีกัน” วารีรินค้อนขวับพลางว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างรวดเร็วเพราะแอบหวาดกลัวอยู่ลึกๆว่าจะเป็นผีจริงๆอย่างที่เจ้าแดงว่า “นะ...นั่นใครน่ะ” เจ้าแดงปากสั่นละล่ำละลักชี้นิ้วไปยังแอ่งน้ำลึกห่างกันไม่ไกลนัก ปันคนาศและวารีรินรวมถึงเด็กคนอื่นๆที่วิ่งเล่นอยู่ไม่ห่างต่างจ้องมองไปยังลำธารเบื้องหน้าด้วยความพร้อมเพรียงกัน ภาพเบื้องหน้าเผยให้เห็นวังน้ำวนขนาดย่อมพร้อมกับดวงตาคู่สวยกับคิ้วเข้มซึ่งมีลวดลายแปลกราวกับวาดเอาไว้ภายใต้ผมสีดำสนิทที่ม้วนตัวเรียงกันอย่างสวยงามถูกคาดไว้ด้วยกระบังหน้าสีทองดูเลอค่ามหาศาลโผล่พ้นมาเหนือผิวน้ำ “เจ้าเป็นใครกัน ทำไมพวกข้าถึงไม่คุ้นหน้า” แม้จะมองเห็นเพียงแค่ดวงตาแต่ปันคนาศก็จำได้ดีว่าในคณะฟ้อนรำไม่มีเด็กคนนี้อยู่แน่นอน ดวงตาคมคู่นั้นยังคงจ้องมายังเด็กๆที่ยืนเรียงกันบนโขดหินด้วยความแปลกใจ ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้น้ำในลำธารกลับกลายเป็นน้ำเย็นจัด “นี่ล่ะมั้ง ที่เขาเรียกว่าพวกมนุษย์...แต่ทำไมตัวเล็กดูน่าขบขันสิ้นดี” ไอสูรคิดแต่ยังไม่ยอมขึ้นจากน้ำเพื่อตอบคำถามของเด็กสาวคนนั้น “เจ้าคงเป็นเด็กบ้านป่าจากหมู่บ้านอื่นสินะ ขึ้นมาสิ...มาเล่นกับพวกเรา” วารีรินชักชวนในขณะที่ยังคงกอดอกตัวเองแน่นด้วยความหนาวสั่น “ขึ้นมาสิ!” เจ้าแดงตวาดด้วยความไม่พอใจที่เห็นเด็กน้อยในน้ำเอาแต่นิ่งเงียบ ไอศูรย์จึงดำดิ่งลงไปในน้ำอีกครั้งทำให้คนที่ยืนรออยู่ข้างบนต่างพากันงงงวยก่อนที่จะเกิดวังน้ำวนขึ้นขนาดใหญ่กว่าครั้งก่อนพร้อมกับร่างโอรสยักษ์เหาะขึ้นจากน้ำมายืนบนโขดหินตรงหน้าเด็กกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว “กรี๊ด! ยะ...ยักษ์!” เสียงวารีรินและเด็กคนอื่นๆต่างพากันร้องเสียงหลงพร้อมกับวิ่งหนีไปคนละทิศละทางด้วยความตกใจกลัวว่าเด็กตรงหน้าจะมาจับตนกินเป็นอาหารตามคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายเมื่อเห็นเขี้ยวคมสีขาววาววับโผล่ออกมาจากปากเรียวเล็กนั่น “มัวแต่ยืนอยู่ทำไมปันคนาศเดี๋ยวมันได้จับเจ้ากินหรอก” เจ้าแดงหันกลับมาเอ่ยเรียกเด็กสาวตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก็ว่าได้แล้ววิ่งหันกลับเข้าไปในหมู่บ้านตามๆกันด้วยความหวาดกลัวจนเหลือเพียงแค่ปันคนาศที่ถือหอกแหลมแทงปลาไว้ในมือแน่น “เจ้าไม่กลัวข้ารึ” ไอศูรย์เอ่ยถามพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก มาทางไหนกลับไปทางนั้นซะ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงดังขึ้นแม้จะรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็พยายามสะกดไว้ให้ลึกที่สุดเพื่อไม่ให้ยักษ์น้อยตรงหน้ารู้ตัว “ข้าไม่ได้จะมากินใครนะ ข้าแค่มาหาเพื่อนเล่น” โอรสยักษ์เอ่ยเสียงอ่อนพลางนั่งลงตรงโขดหินทอดสายตาไปยังลำธารเบื้องหน้าซึ่งกำลังจะจับตัวเป็นน้ำแข็งเพราะมีไอสูรอยู่ใกล้ๆ เช่นเดียวกับร่างเด็กน้อยในชุดเสื้อคอกระเช้าโจงกระเบนที่กำลังยืนหนาวสั่นไม่ต่างกัน “แต่เจ้าเป็นยักษ์ ใครจะไปกล้าเล่นกลับเจ้า” ปันคานาศชี้ปลายหอกแหลมคมไปยังยักษ์น้อยด้วยความหวาดหวั่น “เจ้าไง...ไม่เห็นเจ้าจะวิ่งหนีข้านี่ ข้าอยากเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้า” “ไม่หรอก ข้ากลัวเจ้าจะจับกิน” ไอสูรชะงักงันเมื่อปันคานาศเอ่ยคำพูดทิ่มแทงใจ จริงอยู่ที่สายพันธุ์อย่างเขาต้องกินเนื้อเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต แต่ท้าวเหมันตราเป็นผู้ทรงศีลไม่เคยเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเลย การกินอยู่ในเมืองเหมมันตราจึงเหมือนกับมนุษย์ทั่วไปไม่มีผิด “ถึงข้าจะมีเขี้ยวแต่ข้าก็ไม่ได้จะจับใครกินหรอก ข้าก็กินเหมือนกับเจ้านั่นแหละ” “แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไร” ปันคานาศยังคงไม่สนิทใจจะเป็นเพื่อนเล่นกับยักษ์น้อยตรงหน้าเท่าไหร่นัก “เจ้าต้องลองเป็นเพื่อนข้าก่อน เจ้าจะรู้ว่าข้าไม่กินคนแน่ๆ” ไอศูรย์ยืนยันหนักแน่นก่อนจะลุกขึ้นแย่งหอกแหลมที่ทำจากไม้ไผ่ของปันคนาศมาถือไว้เอง “นั่นเจ้าจะทำอะไร” “ข้าเห็นเจ้าจับอยู่นานแล้วไม่เห็นได้สักที เดี๋ยวข้าจะช่วย” โอรสยักษ์ยกยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวขาววาววับโผล่ขึ้นมากระทบกับแสงอาทิตย์ทำให้ปันคานาศอดที่จะสะดุ้งตกใจไม่ได้จริงๆ “เจ้าจะจับได้ยังไงในเมื่อน้ำในลำธารเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว” ปันคานาศบอกพลางชี้นิ้วไปทั่วลำธาร น้ำใสที่เคยเชี่ยวกรากต่างหยุดแน่นิ่งเผยให้เห็นฝูงปลาน้อยใหญ่เบื้องล่างที่กำลังหยุดชะงักเช่นเดียวกัน ไอศูรย์กระโดดลงไปยืนบนธารน้ำแข็งก่อนจะใช้ปลายแหลมของหอกค่อยๆเจาะลงไปจนถึงตัวปลา มือน้อยๆค่อยล้วงลงไปจับปลาขึ้นมาตั้งไว้ตรงหน้าปันคนาศด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้จะมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้แต่เมื่อได้มาอยู่บนเมืองมนุษย์พลังวิเศษมากมายที่เคยมีกลับรู้สึกหดหายไปอย่างเห็นได้ชัดนั่นก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินนั่นเอง “เจ้าทำได้แค่เหาะเหรอ ไม่เห็นน่ากลัวเหมือนที่ยายเคยบอกเลย” ปันคนาศที่กำลังนั่งย่างปลาข้างๆริมลำธารเอ่ยถามไอศูรย์หลังจากที่ยักษ์น้อยเล่าเรื่องของตนให้ฟัง “ข้ามีอิทธิฤทธิ์ก็ต่อเมื่อรอบกายข้ามีหิมะเหมือนในเมืองของข้าเท่านั้น” “เจ้ามาจากเมืองหิมะหรอกหรือ ถึงว่าทำไมข้าถึงรู้สึกหนาวเวลาอยู่ใกล้เจ้า” ปันคนาศเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังพลิกตัวปลาไปมาเพื่อให้สุกทั่วกัน “ไม่รู้สิ ข้าก็เพิ่งรู้นี่แหละ” ไอศูรย์กล่าวพลางเพ่งพิจารณาฝ่ามือตัวเองในขณะที่ยื่นมือไปแตะใบไม้ใกล้ตัวจนมันกลายสภาพเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือก “งั้นแสดงว่าเจ้าไม่สามารถแปลงกายให้ใหญ่โตได้อย่างนั้นหรือ” ปันคนาศยิ้มเยาะเมื่อเห็นว่ายักษ์น้อยตรงหน้าไม่สามารถแปลงกายให้ใหญ่โตตามยักษ์ที่ตนได้ฟังกันมาจนกลายเป็นตำนานจนไอสูรควันออกหูตวัดปลายนิ้วมือไปยังกองไฟเบื้องหน้าจนไฟมอดม้วยกลับกลายเป็นน้ำแข็งจนหมดสิ้น “นี่เจ้า! ทำแบบนี้จะเอาปลาที่ไหนกินกันเดี๋ยวข้าก็ไม่แบ่งให้เสียหรอก” “ก็ไม่เห็นจะสนใจเลย” นิ้วเรียวเล็กของไอศูรย์ถูกตวัดขึ้นอีกครั้ง เกิดแสงประกายเจิดจ้าพร้อมกับอาหารคาวหวานมากมายตรงหน้าจนปันคานาศลอบกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง “กินนี่อร่อยกว่าเยอะ” “ข้ากินมันได้ด้วยหรือ” ปันคนาศแววตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ได้สิ ข้าให้เจ้า” ไอสูรเลิกคิ้วก่อนจะหันไปเห็นปันคนาศกำลังก้มหน้างุดอยู่ตรงพานอาหารคาวหวานเบื้องหน้า กินมันอย่างเอร็ดอร่อยจนใบหน้าและปากเรียวเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยขนมนมเนยเต็มไปหมด เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้กินของดีๆเลยสักครั้งจึงไม่แปลกเลยที่ในยามนี้มีอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้าแล้วเด็กหญิงจะไม่ออยากกินมัน “ข้ากินมันไม่หมดหรอก ข้าจะเอากลับไปฝากยายได้หรือไม่” “ได้สิ นี่ก็ใกล้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องกลับเมืองแล้วเหมือนกัน” ไอศูรย์สีหน้าเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดลงในอีกไม่นาน “งั้นข้ากลับก่อนนะ” ปันคนาศยืนขึ้นในมือถือพานขนมไว้แนบอกแน่นเพื่อจะนำกลับไปฝากผู้เป็นยายที่รออยู่ในกระท่อมปลายนาในหมู่บ้านห่างออกไปไกลพอสมควร “พรุ่งนี้ข้าจะมาเล่นกับเจ้าได้อีกหรือไม่” ไอศูรย์เอ่ยถามในขณะที่เงยหน้าขึ้นมองปันคนาศอย่างมีความหวังว่าจะได้กลับมายังเมืองมนุษย์นี้อีกครั้ง “พรุ่งนี้ข้าต้องไปฟ้อนรำในหมู่บ้านตอนสายเสียด้วย อืม...” ปันคนาศครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาจนไอศูรย์ยกยิ้มด้วยความดีใจ “เจ้ามารอข้าที่นี่ก็ได้ เสร็จจากฟ้อนรำข้าจะมาเล่นกับเจ้า” “ขอบใจนะ ที่ยอมเป็นเพื่อนกับข้า” “ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็ต้องขอบใจเจ้าเหมือนกันสำหรับขนมอร่อยๆพวกนี้” ปันคนาศยิ้มแย้มพร้อมกับหันหลังเดินจากเข้าไปในหมู่บ้านเช่นเดียวกับไอศูรย์โอรสยักษ์ที่ผงาดเหาะขึ้นไปท้องนภาเพื่อเหาะเหินกลับเมืองเหมมันตราในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยตกดินพอดิบพอดี กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราช 2560 “ขอบใจแกมากนะ ที่วันก่อนเปิดทางให้ฉันได้ทานข้าวกับ ผอ. ตามลำพัง” สายธารเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วหลังจากที่กำลังเตรียมตัวเลิกงานเหมือนเช่นทุกวัน “เป็นไงบ้างล่ะ คงจะอร่อยกว่าทุกมื้อเลยล่ะสิ” ร่างบางอีกคนเอ่ยแซวในขณะที่กำลังเตรียมตัวเข้างานซึ่งวันนี้ทั้งสองคนเข้าเวรกันคนละรอบนั่นเอง “เป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ถ้าไม่มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน” สายธารฉายแววตาเสียดายอย่างเห็นได้ชัด เพราะเจ้าหล่อนลงทุนวางแผนมาเสียดิบดีแต่ดันต้องมาพังลงกลางทาง “เอาไว้คราวหน้าก็ได้นี่” “แกไม่รู้อะไร คนที่เข้ามาขัดจังหวะฉันน่ะเห็น ผอ.เรียกเขาว่าท่านประธานอะไรสักอย่างนี่แหละ” คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยพลางใช้นิ้วชี้ค่อยๆเคาะเบาๆตรงขมับอย่างคนใช้ความคิด “หรือว่าเขาจะเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี่ แต่ทำไมพวกเราไม่รู้” “แกนี่ชอบคิดมากไปเรื่อย ไปๆกลับบ้านได้แล้วฉันจะไปทำงานซะที มัวแต่โม้อยู่นั่นแหละ” “เห้ยแก!! คนนั้นไง โน่น!!” ดวงตาคมเข้าเบิกโพลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหันไปเห็นบุรุษปริศนาปรากฏตัวขึ้นตรงประตูทางเข้าโรงพยาบาลพร้อมกับบอดี้การ์ดตามหลังอีกหลายคน ร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมเข้มบวกกับคิ้วที่หนาได้รูปค่อยๆถอดแว่นตาออกช้าๆก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋า แล้วเดินตรงไปในลิฟต์ที่ลูกน้องของเขาเปิดรอไว้ก่อนหน้าทันที ไม่แปลกเลยที่เหล่าพยาบาลตรงหน้าเคาต์เตอร์รวมถึงคนไข้สาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังต่อคิวมาใช้บริการต่างมองภาพนั้นกันเป็นตาเดียว *เขาช่างดูดีเสียนี่กระไร* “โอ้ย!!!!!” เพียงแค่แวบแรกที่หญิงสาวหันไปมองตามคำเรียกของสายธาร อาการเจ็บปวดกลับเล่นงานเธอเข้าอย่างจัง ผู้ชายคนนั้นคนเดียวกับที่เธอเห็นวันนั้น หน้าห้างสรรพสินค้า เจ้าของรถตู้ที่เกือบจะชนเธอ! ร่างบางเซถลาล้มลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวดทำให้สายธารและเพื่อนร่วมงานที่เหลือต่างๆวิ่งเข้ามารุมล้อมด้วยความเป็นห่วง “แก เป็นอะไรหรือเปล่า ไปตรวจสักหน่อยมั้ย” สายธารคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย” จะให้เธอไปตรวจก็คงไม่เจอสาเหตุ เพราะความเจ็บปวดนี้คงเป็นเวรกรรมจากชาติปางก่อนที่ตามมาหลอกหลอนเธอไม่ยอมจางหาย แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อไหร่ที่เธอเห็นร่างสูงนั้น ความเจ็บปวดกลับเล่นงานเธอถึงสองครั้ง ทั้งๆที่เธอกำลังตื่นเต็มตาไม่ได้เพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนั่นเสียหน่อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD