จวนสกุลสวี
ในห้องโถงรับรอง นายท่านใหญ่สวีที่เดิมทีนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานโถงอย่างสง่าสุขุม ยามนี้กลับตบโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นยืนตวาดคำดังลั่นที่อัดแน่นไปด้วยไฟโทสะ
“ข้าตอบรับไปในเทียบเชิญแล้วว่าเจ้าป่วย จำต้องให้เหมยเอ๋อร์ไปแทน ห้ามโต้แย้งอีก”
“ท่านพี่ กัวเหมยเป็นแค่ฮูหยินรอง ฐานะไม่ต่างอนุ แต่ข้าเป็นถึงฮูหยินใหญ่และไม่ได้ป่วย”
“ช่วยไม่ได้! ในเมื่อเจ้าไม่มีบุตรชายที่ได้เป็นถึงสหายร่วมเรียนกับท่านอ๋องให้ข้าเหมือนเหมยเอ๋อร์”
เหยาซื่อได้ฟังพลันชะงัก
ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงเงียบงัน มิอาจทัดทานสามีอีก
สวีจงสือยกมือชี้หน้าภรรยาของตนอย่างหงุดหงิด “เจ้าไร้ความสามารถเองจะโทษใครได้ ข้าคิดผิดจริงๆ ที่เลือกแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอก”
เหยาซื่อสะท้านไปทั้งหัวใจ นางตัดพ้อเสียงสั่น “ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนแต่งใครกันตามเฝ้าข้าเช้าเย็น ถึงขั้นคุกเข่าหน้าประตูจวนเหยาไม่ยอมไปไหน ขู่ฆ่าตัวตายหากไม่ได้แต่งข้าเป็นภรรยา”
หางคิ้วสวีจงสือกระตุก แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด
“ตอนนั้น เพราะข้าดวงตามืดบอดรักเจ้า แต่ตอนนี้ ข้าตาสว่างแล้วปะไร ฮึ!” ว่าจบพลันเดินจากไปอย่างโกรธา
“ท่ะ ท่านพี่” เหยาซื่อทำได้เพียงกัดฟันกลั้นน้ำตาขณะมองตามแผ่นหลังของสามีที่เดินจากไปอย่างเย็นชา
หน้าห้องโถง สวีหลิงเยี่ยนยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว แน่นอนว่าเป็นเหตุการณ์ที่นางได้พบเห็นบ่อยครั้ง
เมื่อบิดาเดินออกมา นางรีบค้อมกายนอบน้อม น้ำเสียงสั่นระริก “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
สวีจงสือไม่พูดจา ไม่แม้แต่จะรับการคารวะทักทาย เพียงปรายตามองอย่างเย็นชา สะบัดชายเสื้อเดินจากไป
หญิงสาวที่ได้แต่ก้มหน้ามิกล้าเงยจึงทำเพียงหลุบตาที่มีแววไหววูบสั่นเทาเอาไว้ ความรู้สึกคับค้องหมองใจถูกเก็บงำเอาไว้จนลึกสุดใจ
นางไม่เคยชินชา มีแต่เจ็บซ้ำๆ เฉกเช่นเดิม นางเดินเข้าไปยอบกายทักทายมารดาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้อง
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
เหยาซื่อหันมาเห็นบุตรีของตน แววตาชิงชังผิดหวังล้วนฉายชัด อารมณ์ที่กักเก็บพลันพลุ่งพล่าน นางตวาดลั่น “เพราะเจ้า ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะมีลูกสาวเช่นเจ้า ไสหัวไป!”
“ท่านแม่” สวีหลิงเยี่ยนเงยหน้าน้ำตาคลอ
ถ้วยชาถูกเหวี่ยงใส่ใบหน้า สวีหลิงเยี่ยนหลบไม่ทัน ข้างแก้มขาวพลันเกิดริ้วโลหิตสายหนึ่ง
“ไปซะ! ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
สวีหลิงเยี่ยนสะดุ้งโหยง รีบวิ่งออกไปแทบไม่ทัน
ตามทางเดินทอดยาว ไกลออกมาจากผู้คนเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงชายป่าชานเมือง
สวีหลิงเยี่ยนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเดินมานานเท่าใด ครั้นเงยหน้าขึ้น ยกมือปาดน้ำตาที่เอ่อล้นอาบสองข้างแก้ม จึงเห็นเป็นชายป่าห่างจากตัวเมืองออกมาค่อนข้างไกล ริมทางเป็นคู่น้ำกว้างที่โขดหินถูกกัดเซาะจนเป็นตลิ่งสูงชัน หญิงสาวไม่รู้ว่าควรเดินต่อไปทางไหน จะกลับบ้านก็ไม่กล้า จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีที่ไป จึงออกอาการงก ๆ เงิ่น ๆ ยืนประหม่าตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก
จังหวะนั้น เด็กชายสองคนเดินมาชนนางดังพลั่ก
สวีหลิงเยี่ยนถึงกับลื่นพรืด ไถลลงไหล่ทาง “อ๊ะ!” นางพยายามหาที่ยึดแต่ไม่มี ยื่นมือไปหวังว่าจะมีใครจับ แต่กลับไม่มีเช่นกัน ได้ยินเพียงเสียงจากเด็กเหล่านั้น
“อ้าว? เจ้าเดินอย่างไรไปชนพี่สาวนั่น”
“ช่วยมิได้ นางยืนเกะกะเอง”
“ทางกว้างปานนี้ เจ้ามองไม่เห็นนางรึ?”
“เห็นน่ะเห็น แต่นางยืนทื่อ ไม่ยอมหลบเอง”
ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ห่างออกไปอย่างไม่ไยนั้น สวีหลิงเยี่ยนพลันได้ยินเสียงปึกดังที่ข้างขมับขวา
ความเย็นวาบแล่นลามไปทั่วสรรพางค์กาย ตามด้วยความเจ็บแปลบสายหนึ่ง และกลิ่นคาวเลือดที่เริ่มได้กลิ่น จากทิศทางที่มันรินไหลตรงหางตาด้านขวา หญิงสาวไถลลื่นตกตลิ่งชันลงมาจนศีรษะกระแทกหินอย่างจัง
นางแน่นิ่งไป
“ตายหรือไม่?”
ภายใต้ภาวะสะลึมสะลือเสียงเด็กยังคงดังให้ได้ยินบนตลิ่งชันนั้น
“เจ้าลงไปช่วยสิ นางจมน้ำแล้วน่ะ”
“ไม่! นางโง่ยืนบื้อให้ข้าชนเอง”
“ทำแบบนี้เจ้าจะถูกทางการจับหรือไม่”
“เฮอะ! คงไม่! เจ้าดูนางสิ ท่าทางไม่ได้ความแบบนี้ไม่มีใครออกตามหาหรือแจ้งทางการหรอกกระมัง พวกเรารีบหนีดีกว่า”
ช่างไร้ค่าไม่อยู่ในสายตาใครต่อใคร...
สวีหลิงเยี่ยนกลืนก้อนสะอึกลงลำคอ ปล่อยตัวจมน้ำ เห็นเพียงท้องน้ำที่มืดมิดว่างเปล่า ปล่อยน้ำตาให้หายไปกับความว่างเปล่านั้นอย่างหมดกำลังใจ ไร้เรี่ยวแรงฝืนลุกขึ้นยืน
บางที การตายทั้งอย่างนี้คงดี ไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว
หวังเพียงเกิดใหม่ ได้เป็นใครสักคน ที่ไม่ใช่นาง...
*
*
*
ภายใต้ท้องธาราไหลวนเวิ้งว้าง
วาจาคำนึง รำพึงจากสติอันไร้ความคิด สิ้นหนทาง
บุปผาวารี[1]ผลิบาน งดงามบาดตา ผสานคำภาวนา
*
*
*
*
[1]บุปผาวารี คือดอกไม้ที่อยู่ในน้ำ ซึ่งดอกไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นมักมีสีสันสวยงามและส่วนใหญ่ล้วนมีพิษสงร้ายกาจ เราจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ดอกไม้พิษ'