EP.6 LOVE LIE
หลังจากแสดงจากเด็ก ๆ ได้จบลง
“จบแล้วใช่มั้ย?” เขาหันมาถามฉันเบา ๆ
“ใช่” ฉันพยักหน้าตอบไป
เขาลุกขึ้น ก่อนจะปรบมือสองสามครั้ง
“พวกเราแสดงเป็นยังไงบ้างเหรอครับ” เสียงของเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวอย่างต้นกล้า เอาถามลูอิสที่ยืนขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ต้นกล้าทำไมไปถามผู้ชมแบบนั้นละครับ” ฉันแอบดุ ๆ ต้นกล้าไป
“ก็พวกเราอยากรู้จริง ๆ นี่คะ” สายไหมช่วยตอบขึ้นอีกคน
“พวกเราอยากให้มีคนมาจ้างไปรำออกงาน"
“เราอยากมีรายได้พิเศษบ้าง จะได้ช่วยพ่อแม่ กับครูเพลงพิณ” พวกเด็ก ๆ ทำหน้าตาละห้อย เพราะพวกเขาก็มาจากครอบครัวยากจน และพ่อแม่ก็ลำบาก
“ไม่ต้องเล่าทุกเรื่องให้คนอื่นฟังก็ได้ลูก” ฉันแอบขึ้นเสียงใส่เด็ก ๆ ไป จนพวกแกเงียบลง
“การแสดงพวกเธอไม่ได้แย่นะ จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ” ลูอิสไล่มองพวกเด็ก ๆ ไปทีละคน
“มันเป็นการแสดงแบบพื้นบ้านน่ะค่ะ คุณคงไม่รู้จัก” ฉันตอบเสริมไป ก่อนจะไปโอบล้อมตัวพวกเด็ก ๆ เอาไว้
“ใช่ เพราะอีกไม่นาน สิ่งเหล่านี้ก็คงหายไปตามกาลเวลา” เขาพูดด้วยใบหน้าที่เฉยชา
“สู้เอาเวลาไปเรียนอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ?” ลูอิสพูดอย่างไม่สนใจความรู้สึกของคนที่ได้ฟัง
“เต้นกินรำกิน มันไม่รวยหรอกนะ” เขาหันไปบอกกับ ต้นกล้า ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ทันที
“นี่คุณ!” ฉันอยากจะสวนกลับ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าพวกเด็ก ๆ
“ฉันดูการแสดงจบแล้ว ตอนนี้ฉันกลับได้แล้วใช่มั้ย?” เขาหันไปถามลูกแก้วที่ยืนหน้าเสียไปพักหนึ่ง
“ค่ะ” เด็กน้อยพยักหน้าเบา ๆ
ลูอิสหยิบเศษเงินในกระเป๋าของเขา ยัดใส่มือของเด็ก ๆ ทุกคน และเดินออกไปจากบ้านของฉันไป
-------------
หลังจากที่พวกเด็ก ๆ กลับไปจนหมด
ฉันก็ถือวิสาสะ เดินเข้ามาในพื้นที่ของเขา ที่มีคนงานอยู่เต็มไปหมด
“เจ้านาย คุณอยู่มั้ยคะ?” ฉันถามลูกน้องคนหนึ่งที่กำลังออกคำสั่งให้ชายฉกรรจ์ ขุดต้นข้าวโพดทั้งไร่ออกไปทิ้ง
“คุณมีอะไรกับ นายผมเหรอ?” เขาถามกลับมาอย่างไม่มองหน้า
“ฉันต้องการคุยกับเขา” ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบ ๆ
“นายเข้าเมือง ไม่ได้อยู่ที่นี่” เขาหันมามองทางฉันแบบนิ่ง ๆ
“และถ้าจะคุยธุระ คุณควรนัดเวลานายก่อน เพราะปกตินายไม่ได้ว่างตลอดเวลา"
เขาตอบแค่นั้นก่อนจะเมินใส่ฉันและเดินหายไปทำงานของตัวเองต่ออย่างไม่ใส่ใจอะไร
“คนที่นี่แปลกดีเนอะ” ฉันได้แต่บ่นเบา ๆ
“น้องสาว ๆ มีอะไรคุยกับพี่ก่อนก็ได้นะ” หนึ่งในชายที่แบกจอบ หันมาเอ่ยเสี่ยว ๆ ใส่ฉันอย่างทุเรศ
แถมยังเอาข้าวโพดในมือมาวางแทบตรงหว่างขาของตัวเอง และทำท่าทางที่ทำเอาฉันรีบหันไปทางอื่น
“ไม่หล่อไม่รวย แต่กล้วยใหญ่นะจ้ะน้อง” ไอ้ทุเรศนั้นยังคงคุกคามฉันด้วยคำพูดและท่าทางไม่เลิก
“กริ้วววว” และพวกผู้ชายแถว ๆ นั้นก็ร้องโฮกันยกใหญ่
ฉันจึงรีบเดินกลับบ้านกึ่งวิ่งด้วยความกลัว
แน่นอนว่า มันไม่มีความปลอดภัยใด ๆ สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแบบฉันอยู่แล้ว แถมบ้านก็อยู่ใกล้กันแค่นี้
_________________
~~ เคร๊ง..~ ~~
เสียงเหรียญสิบบาท เหรียญสุดท้ายหล่นออกมาจากกระปุกออมสินที่ฉันเก็บมานานแรมปี
“ค่าน้ำค่าไฟยังไม่พอเลย” ฉันมองดูบิลค่าน้ำและไฟอย่างท้อใจ
“แล้วจะทำรั้วบ้านได้ยังไง?” ฉันมองบริเวณรอบบ้านของตัวเอง ที่เห็นพวกชายแปลกหน้า เดินกันไปกันมาอย่างน่าหวาดกลัว
ฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวลำพัง และที่ดินก็ติดกันแบบนี้
ถึงจะล็อกบ้านแน่นหนาแค่ไหน แต่ก็ยังหวาดระแวงจน นอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน ฉันนั่งกำเงินก้อนสุดท้ายนั้น และมองไปทางเงินค่าเทอมของตัวเองอย่างลังเลใจ
“ถ้าไม่จ่ายค่าเรียน ก็ไม่ได้เรียนแล้วนะพิณ” ฉันพูดอย่างลังเลใจ
ฉันนึกถึงคำพูดของยายเสมอที่ท่านขอให้ฉันตั้งใจเรียนให้จบ เพราะในครอบครัวเราไม่มีใครจบสูงกว่ามอหกเลยสักคน
"ยายจ๋า” ฉันคิดถึงเสียงของยาย อ้อมแขนของยาย
และทุก ๆ ความห่วงใย มันทำให้ฉันรู้ว่า
ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครเลย และเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ มองโทรศัพท์ที่เบอร์โทรออกเบอร์ป้าจันทร์
ป้าแท้ ๆ ที่ไม่เคยรับสายโทรศัพท์ของฉันอีกเลย และแม้แต่ตอนที่แกเก็บข้าวของย้ายออกไป แกก็ยังไม่บอกฉันสักคำ
ในค่ำคืนที่มืดสนิท และเงียบสงัด ฉันยังคงพยายามข่มตานอน แม้ว่าในหัวจะมีแต่เรื่องเครียด ๆ มากมาย
แต่วันพรุ่งนี้ฉันต้องไปฝึกสอนที่โรงเรียนในอำเภอเป็นวันแรก ควรนอนหลับให้เต็มที่
~กุกกัก... แกร๊ก.. ~
เสียงบางอย่างดังออกมาจากด้านนอกบ้านของฉัน
พื้นไม้ที่ดังขึ้น เอี๊ยดอ๊าด ๆ และหยุดเงียบไป
ฉันสะดุ้งตัวลุกขึ้นเดินไปหยิบกระทะเล็กที่วางอยู่ข้าง ๆ หัวเตียงเอามาถือติดมือเอาไว้ก่อน แม้ว่าในทีแรกฉันลังเลว่าควรจะหยิบมีดซะมากกว่า แต่เพราะว่าคนอย่างฉันที่ไม่มีทักษะด้านการต่อสู้อะไรเลย กลัวว่าจะเอามีดนั้นส่งให้โจรมาทำลายตัวเองมากกว่า
เสียงนั้นดึงขึ้นเรื่อย ๆ จากประตูไม้สักบานใหญ่หน้าบ้าน และทางเข้าออกบ้านมีเพียงแค่ประตูบานนั้น กับหน้าต่างที่สูงเกินไปที่จะกระโดด
ฉันกำกระทะทั้งที่มือสั่นและแอบมองรอดผ่านรูเล็ก ๆ จากบานประตูห้องนอน
แกร๊ก!! กรัก!! เสียงประตูที่เหมือนมีใครบางคนกำลังทุบกลอนเข้ามา ทำเอาฉันเหงื่อตกและกลัวจนแทบจะร้องไห้
“นี่แค่คืนที่สามเท่านั้นเองนะ” ฉันพูดอย่างน้ำตาคลอ
กับชีวิตที่อาภัพของตัวเอง
แอ๊ด...ปัง! เสียงเปิดและถีบประตูดังสนั่น
ทำเอาฉันรีบวิ่งเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าไม้ และตั้งท่าจะฟาดกระทะสู้แบบสุดชีวิต
ขนาดประตูบานใหญ่มันยังพังเข้ามาได้ ไม่ต้องพูดถึงประตูห้องนอนฉันเลย
ตุ๊บบบบ!! แกร๊กกก!! เสียงงัดแงะดังขึ้นไม่ไกลจากตู้เสื้อผ้าของฉัน
“บ้านนี้ไม่มีของมีค่าอะไรสักหน่อย จะขโมยกันทำไม?” ฉันกำกระทะมือสั่น ๆ ทั้งน้ำตาอย่างพยายามจะตั้งสติ
“ยายจ๋า ตาจ๋า พ่อแก่ แม่แก่ช่วยพิณด้วยนะ” ฉันยกมือไหว้ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพรัก
“โอ้ยย! ชักช้าไม่ทันใจกู!” เสียงโว้ยวายดังออกมาจากทางด้านนอก
ตุ๊บ ตุ๊บ!!!! แอ๊ดดดด!!!!ปัง เสียงทั้งทุบทั้งแรงถีบ ทำเอาประตูไม้เก่า ๆ แตกหักออกจากกันทันที
ฉันดึงประตูตู้เสื้อผ้าปิดสนิท จนแทบไม่มีอากาศจะหายใจ แต่มันคือทางเลือกสุดท้าย เพราะจะให้กระโดดลงจากชั้นสอง ไม่ตายก็ขาหักแน่ ๆ
เสียงคนเดินไปเดินมาด้านนอก วนไปวนมารอบตู้เสื้อผ้าของฉัน
“เพลงพิณ!!!"
“ผัวมาตามหาแล้วจ้า!!!” เสียงของผู้ชายที่ตะโกนโวยวายดังลั่น
“ยังไงคืนนี้มึงต้องตกเป็นของกูให้ได้!” เสียงของชายคนนั้นคุ้น ๆ และดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
“มึงคิดว่าจะหนีไปได้งั้นเหรอ???” เสียงนั้นตะโกนลั่น
ฝีเท้าหยุดตรงหน้าตู้เสื้อผ้า และ..
ครืด ! เสียงตู้เสื้อผ้าไม่ถูกเปิดออก
พลั่กกกก!!!!!ฉันไม่ทันจะเห็นหน้าของมันก็คว้ากระทะฟาดไปเต็มแรง
“โอ้ยยย!! อีเพลงพิณ” ผู้ชายคนนั้นล้มหงายไปต่อหน้าต่อตาฉัน
“ไอ้มังกร" ฉันอ้าปากค้าง เพราะคนที่มาบุกรุกบ้านของฉันคือ ไอ้มังกร ลูกชายคนเดียวของกำนัน
“มึงกล้าทำกูเลือดออกงั้นเหรอ?” ไอ้มังกรแผดเสียงดังลั่นเมื่อฉันฟาดเข้าหน้า จนเลือดออกจมูกของมัน
ฉันรีบวิ่งข้ามมันเพื่อจะไปออกทางประตูทันทีอย่าไม่รีรอ
แต่ว่า ..
“จะไปไหนจ๊ะ พิณคนสวย?” เสียงของเพื่อนไอ้มังกรที่นั่งรออยู่หน้าห้องก็เดินเข้ามาล้อมตัวของฉันเอาไว้
แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักหมอนี่ แต่ก็พอคุ้น ๆ หน้าว่าเป็นคนในหมู่บ้านนี้ และคอยตามติดไอ้มังกรอยู่ตลอด
“จะทำอะไร ทแบบนี้มันผิดมากนะ” ฉันพยายามจะหาทางหนีไปยังประตู แต่มันก็ไม่เกิดผล
“ทำอะไรสนุก ๆ กันไง คนสวย” เพื่อนไอ้มังกร ผมสีทองสนิมนั้น เข้ามากระชากแขนของฉันเข้าไปหามัน อย่างยากจะขัดขืน
“เฮ้ย!!! ไอ้เหี้ย! กูเปิดก่อนดิว่ะ!!!” ไอ้มังกรเดินออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจ แม้ว่าเลือดที่หน้ายังไหลออกมา
“โทษที ลูกพี่” ไอ้หัวทองปล่อยมือจากต้นแขนของฉันทันที ก่อนจะยิ้มแบบชั่ว ๆ
“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ”
"บ้านเมืองมีกฎหมาย พวกนายต้องติดคุก” ฉันพยายามเบี่ยงประเด็น
แต่พวกมันทั้งสองคนเมา และฮึกเหิมบ้ากามอย่างมาก
แม้ว่าฉันจะพยายามหาทางหนี และดันตัวออกไปแต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะพวกมันดักไว้
ฟุ๊บบบ
“มึงอย่าลีลาให้มันมากนัก ใคร ๆ ก็ยอมกูทั้งนั้น” ไอ้มังกรฉุดตัวของฉันเข้าไปหาทันที
“ยังไงคืนนี้ มึงก็ต้องเป็นเมียกู อีเพลงพิณ" มันพูดด้วยท่าทีเมา ๆ และบังคับฉันให้ลงไปนอนกับพื้นไม้
“ปล่อยย!!!!! ช่วยด้วย ๆ ๆ” ฉันออกแรงถีบจนมันล้มไปอีกรอบ
“มึงนี่มันหลายรอบแล้วนะ ฤทธิ์มากนักใช่มั้ย?” ไอ้มังกรตวาดลั่น ก่อนจะลุกมาจากพื้น
“ไอ้ท๊อปมาช่วยกูจับอีพิณ” มันตะโกนเรียกเพื่อน
ไอ้หัวทองสนิมนั้นมาจับแขนทั้งสองข้างของฉันไว้แน่น
“ปล่อยฉันเถอะ”
“อย่าทำฉันเลย..” ฉันพยายามอ้อนวอนแต่เหมือนจะไร้ประโยชน์
“ปล่อย!! ปล่อย! ช่วยด้วย” ฉันร้องสุดเสียงที่ตัวเองมี ทั้งน้ำตา
“ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก ที่รัก” ไอ้หัวทองสนิมหัวเราะอย่างใส่ใจใส่ฉัน
ไอ้สารเลวมังกร ถอดกางเกงตัวเองออกเหลือแต่บ็อกเซอร์
สายตาของมันมองฉันอย่างโรคจิต ๆ ฉันพยายามดิ้นสุดแรงอย่างขัดขืน มันค่อย ๆ จับที่ขอบกางเกงชุดนอนและ
ฟุ๊บบ!!!ดึงกางเกงชุดนอนลงเหลือเพียงกางเกงในสีขาวบริสุทธิ์
“กรี๊ดดดดดดดดด...”
Louis part
“นายครับ มีวัยรุ่นเมา ๆ แอบเข้ามาในที่ดินของเรา” ลูกน้องคนสนิทเอ่ยบอกกับผม ที่กำลังนั่งดูแบบแปลนที่สถาปนิคออกแบบโรงแรมเอาไว้อยู่
“พวกมันเข้ามาทำไม?” ผมหันไปถามลูกน้องทันที
“มันบอกว่า จะขอผ่านไปบ้านผู้หญิงคนนั้นนะครับ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เห็นบอกว่าเป็นผัวของเจ้าของบ้านเรือนไทยหลังนั้น” ลูกน้องพูดด้วยเสียงเบา ๆ อย่างไม่มั่นใจ
ผมวางงานทุกอย่างลงทันที ก่อนจะเหลือบไปมองทางลูกน้องคนเดิม
“นึกว่าจะเรียบร้อย ที่แท้ก็แอบแรด อ่อยผู้ชายมาหาที่บ้าน" ผมเบะปากอย่างชินชา กับสันดานของพวกผู้หญิงใจง่ายที่ตีหน้าซื่อเป็นสาวบริสุทธิ์
“ตอนมึงขับรถออกไปก็ไม่ต้องล็อกประตูก็แล้วกัน” ผมบอกกับลูกน้อง ที่ยืนรอคำสั่งอยู่
“แล้วนายจะให้ผมเตรียมหาน้อง ๆ มา บริการนายคืนนี้มั้ยครับ?” ลูกน้องถามขึ้นอย่างรู้ใจ
“ไม่ต้องอะ คืนนี้กูอยากอยู่คนเดียว” ผมพูดพลางจุดบุหรี่สูบ หน้ารถบ้านขนาดใหญ่ของตัวเอง ที่เอามาจอดไว้บนที่ดิน เพื่อเตรียมรอคุมงาน และความสะดวกสบายส่วนตัว
“นายมีอะไรก็โทรเรียกใช้ผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ” ลูกน้องก้มหัวทันที
“กูมีมือมีตีน ไม่ต้องใช้มึงตลอดหรอกน่า"
“ไปนอนพักผ่อนเถอะ!” ผมตอบไปเสียงแข็ง
ซึ่งลูกน้องก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถและขับออกไปทันที
ผมยังคงนั่งสูบบุหรี่ และมองไปที่เรือนไทยไม้เก่า ๆ นั้น
ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากผมสักเท่าไหร่
ผมสูบบุหรี่ต่อไปจนเจียนจะหมดม้วน แต่สายตายังคงจ้องเข้าไปใน บ้านที่มืดสนิทนั้น
ก่อนจะเห็นว่า ผู้ชายสองคนนั้นมีท่าทีแปลก ๆ แบบผิดสังเกต เพราะพวกมันพยายามงัดและดึงประตูอยู่นาน
ผมทิ้งบุหรี่ลงกับพื้น ก่อนจะปล่อยให้ควันมันไหม้กับต้นหญ้าบนพื้นดินหยาบ ๆ
“คืนนี้มีอะไรสนุก ๆ ให้ดูงั้นเหรอ?” ผมมองไปที่บ้านหลังนั้น ก่อนจะเหยียบก้นบุหรี่เพื่อดับควันไฟลง
ก่อนจะลุกขึ้น คว้าขวดเบียร์เย็น ๆ
และเดินตรงไปทางบ้านเรือนไทย หลังนั้น
แบบชิว ๆ .....
“ปล่อยฉันเถอะ” เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้น
“อย่าทำฉันเลย..” เสียงแผ่วเบาร้องขออย่างอ้อนวอน
“ปล่อย!! ปล่อย! ช่วยด้วย” เสียงร้องขึ้นมาสุดเสียง
ทำให้ผมหยุดและยืนฟัง เสียงจากบนเรือนไทยไม้เก่า ๆ นั่นพลางกระดกเบียร์ เย็นฉ่ำไปอย่างไม่ได้รีบเร่งอะไร
เสียงขัดขืนต่อสู้ดังขึ้นไม่หยุด พื้นไม้ที่เสียดสีกันดัง
“ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก ที่รัก” เสียงชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงกึ่ง ๆ เป็นคนโรคจิต
อ๊อดแอ๊ด ๆ ส่งเสียงน่ารำคาญใจ..ผมกระดกเบียร์ไปเกือบครึ่งขวดพร้อม ๆ กับเดินขึ้นบ้านไป โดยไม่ได้มีคำเชื้อเชิญจากใคร
“กรี๊ดดดดดดดดด...” ยัยนั่นกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา
“ช่วยด้วย!!! อย่าทำฉันเลย” เสียงพล่ามดังไม่หยุด
ทั้งที่หลับตาสนิท
ผมเร่งฝีเท้าก้าวตรงเข้าไป ก่อนที่มันจะกระชากกางเกงในของยัยนั่นลง เพื่อยัดดุ้นของมันเข้าไป
ปั่ก!!! เพล้ง!... ผมฟาดขวดเบียร์ที่เต็มไปด้วยน้ำเกือบครึ่งขวด ลงบนหัวของไอ้วัยรุ่นคนนั้น ขวดแตกละเอียด พร้อม ๆ กับเบียร์ที่กระเด็นเซนซ่าน ไหลอาบใบหน้าของไอ้นั่น พร้อม ๆ กับเลือดสีแดงฉาน และนอนทับตัวของเพลงพิณไป
“เห้ยย เฮียมังกร!!!” ไอ้หน้าเชี้ยหัวทองร้องขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะวิ่งเข้ามาเอาเรื่องผม
ไอ้มังกรอะไรนั้น นอนแน่นิ่งไปกับพื้นและชักกระตุก ๆ เลือดเปื้อน ยัยโง่นั้นที่เอาแต่หลับตาร้องไห้ด้วยความขาดสติ
“เห้ย!! มึงใครวะ??”
“กล้าดียังไงมาทำลูกพี่กู!!!” มันชี้หน้าและกำหมัดจะพุ่งเข้ามาต่อยกับผม
พลั่ก! ผมถีบเข้าที่ยอดอกของมันไปเต็มแรง ก่อนที่มันหงายหลังน็อกไปแบบจุก ๆ
“มึง มึง!” มันชี้หน้าผมอีกครั้ง ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อน
เดินตรงไปแตะเข้าที่ท่อนแขนของมัน ก่อนจะใช้เท้าเหยียบที่นิ้วชี้ของมันและขยี้ ๆ
“ไม่เคยมีใคร กล้ามาชี้หน้ากู!!” ผมพูดกระแทกเสียงไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองกดโทรตามตำรวจทันที
“โอ้ยยย เจ็บบ กูขอโทษ ๆ ๆ" ไอ้หน้าเชี้ยหัวทองนั้นร้อง อย่างเจ็บปวด
----------------------
Pleng Pin part
“เธอ! โอเคขึ้นมั้ย?” เสียงของผู้ชายที่ชื่อลูอิสเอ่ยถามฉัน หลังจากที่พวกตำรวจมาจับตัว ไอ้มังกรกับลูกน้องมันไป แต่ไปโรงพยาบาลก่อน
ฉันส่ายหน้า และยังคงนั่งชันเข่าและก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
“ถ้าเจ็บมาก ก็ไปหาหมอ” เขาพูดก่อนจะ
หมับ! วางมือบนไหล่ของฉัน
“ฮะ ฮื้ออ!”ฉันตกใจสุดขีดรีบปัดมือทิ้ง ก่อนจะถอยหลังชนกับเสาไม้กลางบ้าน
ฉันอยากจะเอ่ยขอบคุณ อยากจะอธิบาย
แต่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และอีกอย่าง เขาก็เป็นผู้ชายเหมือน ๆ กับพวกนั้น
ฉันยังคงร้องไห้และเอามือกอดตัวเองเอาไว้
มองสภาพบ้านที่เละ และคราบเลือดของไอ้มังกรที่ยังติดอยู่บนตัวของฉัน
“เธอคงกลัวด้วยสินะ” เขาถอนหายใจและมองฉันอย่างเรียบนิ่ง
“ฉันกลัว..แต่ฉันก็กลัวที่ต้องอยู่คนเดียว” ฉันกอดตัวเองและร้องไห้ออกไป พร้อมกับพูดจาออกไปไม่ได้คิด
ลูอิสมองมาที่ฉันนิ่ง ๆ
“งั้นก็เข้านอนไปซะ มันไม่ได้มีอะไรแล้ว” เขาพูดแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร
ก่อนจะเดินไปหยุดที่ประตูไม้บานใหญ่ที่ไม้ล็อกมันหักกลาง ด้วยแรงกระแทกและงัด
เขาพูดแค่นั้นก่อนจะดันประตูไม้ปิดลง โดยไม่มีกลอนล็อกใด ๆ เพราะทั้งกลอนประตูบานใหญ่ และห้องนอน ถูกไอ้พวกนั้นพังจนหมด
"ฮือออ ฮือออ ฮือออ ยาย ...ยายจ๋า” ทันทีที่ลูอิสเดินออกไป ฉันก็ทรุดลงและคลานเข้าไปกอดเก้าอี้โยกตัวเดิมของยายตัวเอง และกอดไปร้องไห้อย่างเดียวดาย จนหมดแรงหลับไปแบบไม่รู้ตัว..
-เช้าวันต่อมา-
ฉันตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ที่มันเกิดขึ้นจริงเมื่อคืน
ตาที่บวมจากการร้องไห้ และเสียงที่แหบแห้งเพราะการกรีดร้องขอให้คนช่วย รอยถลอกตามแขนขาที่ดิ้นเพื่อให้หลุดจากพันธะการของไอ้เลวระยำพวกนั้น
เศษขวดเบียร์ที่แตกละเอียดบนพื้นไม้นั้น ทำให้ฉันนึกไปถึงคนที่ช่วยฉันเอาไว้ได้ทันเวลาคนนั้น
สายตาที่มองไปตรงประตูบานใหญ่ที่แง้ม ๆ ออกมาเล็กน้อย เพราะโดนงัดและมันไม่สามารถปิดได้สนิท
ฉันมองเห็นชายเสื้อของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
ทำให้ฉันค่อย ๆ เดินเข้าไปดูชัด ๆ
“คุณลูอิส” ฉันเรียกชื่อนั้นอย่างเบา ๆ
แต่เสียงเรียกของฉันดันไปปลุกให้คนที่นอนหลับพิงประตูคนนั้นตื่นขึ้นแบบง่ายดาย เหมือนเขาแค่หลับตาเฉย ๆ เท่านั้น
“ทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้” ฉันถามไปแบบไม่ทันคิด
ลูอิสถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที
“เธอบอกว่ากลัวการอยู่คนเดียว..." เขาทวนในสิ่งที่ฉันเคยพูดออกไป
“ฉันก็แค่สงสาร” เขาตอบแบบห้วน ๆ สั้น ๆ