“ได้แล้วจ้า ไม่ต้องทะเลาะกันนะลูก เป็นแฟนกันก็ค่อยๆ พูดกันดีกว่า” แม่ค้าส่งน้ำเต้าหู้ที่แป้งร่ำสั่งให้ ก่อนจะเอ่ยทักว่าผมกับยัยนี่เป็นแฟนกันอีกแล้ว
“ไม่ใช่ครับ แค่เพื่อน”
“อุ๊ย! ป้าขอโทษ นึกว่าหนูสองคนเป็นแฟนกัน ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อน” แล้วทำไมใครต่อใครถึงคิดว่าผมกับยัยนี่เป็นผัวเมียกันด้วยวะไม่เข้าใจจริงๆ คำว่าเพื่อนมันก็ตราหน้าผมตัวใหญ่ขนาดนี้ อยากจะบ้า!
แป้งร่ำมองค้อนผมและเดินชนไหล่ผมอย่างแรง เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งแบบไม่ไยดีผมเลยสักนิด เอาล่ะ ยัยนี่แม่งโกรธผมเก่งมาก เก่งชนิดที่ว่าบางทีผมก็ตามยัยนี่ไม่เคยจะทันเลยให้ตายสิ ผู้ชายอย่างซันที่ไม่เคยตามใครทำไมต้องมาตามเพื่อนสาวคนสนิทด้วยก็ไม่รู้เหมือนกันดิ เพราะแบบนี้ผมก็เลยนัดกับไอ้จอมไปนั่งดื่มที่ผับเฮียไนท์เพื่อหว่านเสน่ห์กับสาวๆ สักคน เบื่อจะอยู่กับยัยนี่มากและที่สำคัญผมอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ด้วยความคิดที่แสนจะอัปปรีย์จัญไรของตัวเองด้วย
คณะนิเทศศาสตร์
“รถไอ้ไผ่นี่หวา มันมาทำห่าอะไรก่อน” รถของผมจอดต่อท้ายรถสปอร์ตปอร์เช่สีขาวป้ายทะเบียนคุ้นเคยแบบนี้ มันเป็นรถของไอ้ไผ่เพื่อนสนิทคณะสถาปัตยกรรมซึ่งแน่นอนว่าวันนี้เราไม่มีเรียนไง แล้วมันเสือกมาทำอะไรที่นี่วะ
“นายไม่รู้หรือไงว่าเพื่อนตัวเองมาจีบเพื่อนฉัน”
“ห๊า?! จีบใคร เพนนีเหรอ”
“ทำไม หึงหรือไง”
“จะบ้าหรือไง! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเพนนี” แล้วเมื่อไหร่ยัยนี่จะเลิกคิดว่าผมจีบเพนนีด้วยวะเนี่ย ผมไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นด้วยซ้ำ ใครจะบ้าไปชอบเพื่อนของเพื่อนสนิท คติประจำใจผมคือไม่คิดเกินเลยกับเพื่อนและใช่ เพนนีคือเพื่อนของแป้งร่ำเธอก็เหมือนเพื่อนของผมนั่นแหละ “ทำยังกับเพนนีจะสนใจฉันงั้นแหละ ยัยนั่นเพิ่งเลิกกับผัวปะ”
“ใครจะรู้”
“ถามจริง เมนส์มาปะวะ ทำไมหงุดหงิดฉันบ่อยจัง” แป้งร่ำไม่ตอบอะไรกลับเปิดประตูรถลงไป เพื่อตรงเข้าคณะแต่ยังไม่ทันได้เข้าไปในคณะดีเลย ผมก็ต้องเบิกตากว้างเพื่อเห็นร่างสูงสวมช้อปสีแดงคณะวิศวะฯ กระชากแขนของแป้งร่ำอย่างแรงจนถุงน้ำเต้าหู้ตกบนพื้น
“ไอ้ฉลาม!” ผมเปิดประตูรถสาวเท้าไปกระชากคอเสื้อไอ้ฉลามที่แสยยะยิ้มอย่างกวนประสาท “ปล่อยแป้ง”
“หึ”
“ก่อนที่กูจะหมดความอดทน” จ้องหน้ามันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ โมโหและอยากจะตะบันหนังหน้าที่กวนประสาทของมันเสียจริง ผมไม่สนแม้แต่จะมีสายตาของใครมองมา เพราะผมโกรธที่มันทำรุนแรงกับแป้งร่ำ ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาผมไม่เคยทำร้ายร่างกายยัยนี่ด้วยซ้ำ แล้วมันเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเพื่อนของผมวะ
“กูแค่อยากจะคุยกับแป้ง มึงเสือกเหี้ยอะไรด้วยวะ”
“คุยเหรอ? แบบนี้เรียกคุย” สายตาเสมองมือของมันที่ยังบีบท่อนแขนแป้งร่ำ “อย่าเอานิสัยเหี้ยๆ มาใช้กับเพื่อนของกู ไม่งั้นมึงอาจจะไม่ได้โดนแค่กระชากคอเสื้อ”
“คิดว่ากูกลัวมึงงั้นดิ เป็นแค่เพื่อนของแป้ง อย่ามาทำหวงก้างไปหน่อยเลย”
“กูไม่ได้หวงก้าง แต่กูเป็นเพื่อนของแป้งและใช่ กูสัญญาว่าจะดูแลยัยนี่ให้ดีที่สุด”
“...”
“ซึ่งคนอย่างมึงก็ไม่มีสิทธิ์มาทำระยำกับเพื่อนของกูแบบนี้!”
“ต่อยกันเลย กูขอนั่งเป็นผู้ชมนะ” น้ำเสียงเข้มแหบพร่าดังขึ้นขัดอารมณ์โกรธของผมที่ตอนนี้ หัวร้อนไปหมดแล้ว ขณะจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่แสนเจ้าเล่ห์ ไอ้ฉลามจับข้อมือผมและบีบอย่างแรง จากนั้นก็ผลักออกจากคอเสื้อพลางกระชับเสื้อช้อปสีแดงเลือดหมู “ไม่ต่อยเหรอ?”
“ไอ้ไผ่” หันไปสบตากับเพื่อนที่นั่งฉีกยิ้มอยู่บนบันไดทางขึ้นคณะนิเทศฯ “เงียบปากเหอะ ไอ้เวร”
“วันนี้เป็นวันไม่ดีแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะมาหาเธอใหม่นะ แป้งร่ำ”
“...”
“ฉันไม่อยากทำร้ายเพื่อนหมาบ้าของเธอ ไปกันพวกมึง” ไอ้ฉลามแสยะยิ้มก่อนจะสั่งให้เพื่อนของมันสามคนหมุนตัวเดินจากไป ผมถอนหายใจและหันไปสบตากับแป้งร่ำพลางจับมือเธอมาพลิกดูด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไร”
“แหม ห่วงจริงๆ เลยนะเพื่อนเนี่ย”
“ไอ้สัตว์ แทนที่จะช่วยกูปะ เสือกยุให้ต่อย”
“ก็ถ้ามึงโดนจริง คิดว่ากูจะอยู่เฉยหรือไง แค่อยากดูว่ามึงจะต่อยมันจริงๆ หรือเปล่าแค่นั้น” ไอ้ไผ่ยักไหล่ ส่วนผมก็หันมาสบตากับแป้งร่ำที่จ้องหน้าผมนิ่งๆ
“ไปเรียนได้แล้ว อย่าลืมให้เพนนีไปส่งที่บ้าน”
“รู้แล้ว ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
“เธอน่ะพูดอะไรไม่เคยจะฟัง ฉันถึงต้องย้ำไง”
“อือ”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันโทรหาเพนนี เธอควรทำตามที่ฉันบอก เค?” แป้งร่ำพยักหน้ารับผมจึงโน้มตัวลงไปหยิบถุงน้ำเต้าหู้ขึ้นมาส่งให้เธอ ดีนะที่ไม่แตกอะไอ้เวรคิดดูว่ามันต้องกระชากแขนแป้งร่ำแรงขนาดนี้ ยัยนี่ยิ่งตัวเล็กอยู่ถึงบางส่วนจะไม่ได้เล็กตามก็เถอะนะ แป้งร่ำเม้มริมฝีปากตัวเองพลางจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่กลมโต นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องลึกมาจนผมเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันไปนะ” เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ไม่ยอมพูด ผมได้แต่ลอบมองแผ่นหลังบอบบางที่กำลังจะเดินขึ้นบันได จังหวะนั้นไอ้ไผ่ก็หันไปมองจนผมรีบตรงไปกระชากหนังหัวมัน
“เหี้ย กูเจ็บนะไอ้ซัน!”
“มองเหี้ยอะไร”
“ไม่ได้มอง”
“กระโปรงยัยนั่นสั้นขนาดนั้น อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะไอ้เวร อย่าทะลึ่งกับเพื่อนกู”
“เออ รู้แล้วน่า ใครจะไปทะลึ่งกับเพื่อนรักของมึงกัน” เน้นคำว่าเพื่อนรักจนผมเบ้ปาก เราสองคนก็เลยยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าคณะของแป้งร่ำ ผมลอบมองไอ้ไผ่ที่กำลังกดมือถือตัวเองพลางทำหน้ายิ้มๆ
“มึงจีบลูกกวาด มึงบ้าปะ?”
“กูจะจีบใคร มันเรียกว่าบ้าเหรอวะ”
“ก็เพราะกูรู้ไงว่ามึงมันเหี้ยแค่ไหน คิดจะจีบลูกกวาดที่แสนจะบริสุทธิ์แบบนั้น คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่ามึงจะทำอะไร”
“หึ”
“แป้งไม่ยอมแน่ เพราะแป้งรู้ว่ามึงสันดานหนังหมาแค่ไหน คงยอมให้เพื่อนรักชอบมึงหรอก”
“แล้วไง แค่เพื่อนปะ เรื่องพวกนี้อยู่ที่ลูกกวาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับแป้งนี่” ไอ้ไผ่ยักไหล่ไหวพลางพ่นควันสีเทาออกจากริมฝีปาก “กูว่ากูชอบลูกกวาด เลยอยากจีบ”
“ชอบ? อย่างมึงเนี่ยนะ”
“พูดจริงนะ ไม่รู้ดิ แบบไม่อยากเป็นเพื่อนอยากเป็นผัวมากกว่า”
“ประสาท”
“เอาเป็นว่ากูจะจีบลูกกวาด มึงต้องช่วยกูด้วย”
“ช่วยเหี้ยอะไรของมึง” ไอ้ไผ่บอกว่าถ้าผมมาหาแป้งร่ำมันก็จะมาด้วย เพราะอยากมาเจอลูกกวาด เช่นวันนี้มันมาแล้วแต่โดนลูกกวาดปฏิเสธดังนั้นก็เลยจะให้ผมช่วย แต่ฝันไปเถอะนะ ผมไม่มีวันช่วยมันเด็ดขาด
“นะไอ้ซัน”
“กูไปละ นัดกับไอ้จอมไปแดกเหล้าคืนนี้”
“เดี๋ยวดิไอ้ซัน ช่วยกูก่อน!”
ผมยกมือโบกให้กับไอ้ไผ่ที่ก่นด่าผมตามหลัง แต่มีเหรอว่าผมจะสนใจ ไม่มีทางอยู่แล้ว เรื่องความรักไม่ได้อยู่ในสมองของผมและเรื่องช่วยใครให้สมหวังก็ไม่ใช่ผมอยู่ดีนั่นแหละ แค่ผมมีนิสัยหว่านเสน่ห์ใส่ใครถ้าหากคนนั้นเป็นคนที่คนใกล้ตัวเล็งไว้ ผมก็จะปล่อยมือง่ายๆ เพราะผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกนี่หวา ทำไมผมต้องแคร์กับความรักที่ผมไม่เคยคิดจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงกับตัวของผม ความรักน่ะ... มันไร้สาระ ผมถึงได้อยากครองโสดโปรยเสน่ห์ไปแบบนี้ สนุกกว่าเยอะ
*--------------------------------------------------*