ฉันก้มหน้าลง รู้ว่าคุณแม่พูดถูกทุกอย่างและก็รู้ด้วยว่าแม่กำลังรู้สึกอะไรอยู่ คุณแม่แค่อยากช่วยงานของที่บ้านแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ท่านสอนฉันเสมอว่าอย่านั่งกินนอนกิน ต้องช่วยงานที่บ้านให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญอย่าเป็นภาระของคุณพ่อ
“โอเคค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปคุยกับคุณอานะคะ” สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่อาจปฏิเสธการเป็นดาราได้ คุณแม่เบือนหน้าหนี เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตา ภาพที่ฉันเห็นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ก่อนจะกอดแม่เบา ๆ
“หนูขอโทษค่ะ อึก...หนูจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้ว” แม่ไม่ได้ตอบเพียงแค่ลูบแขนของฉันเบา ๆ ฉันได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของแม่ ฉันรู้ว่าแม่รู้สึกลำบากใจที่มาอยู่บ้านของพ่อตัวเปล่า แม่ไม่สามารถช่วยงานอะไรได้เลย และอยากให้ฉันช่วยงานที่บ้านโดยการเป็นพรีเซนเตอร์นำเสนอผลิตภัณฑ์ของครอบครัวต่อจากแม่ที่เริ่มแก่ตัวลงแล้ว
“แม่พูดก็เพื่อตัวเราทั้งนั้น เราไม่ได้เรียนเก่ง ไม่มีสมบัติอะไร มีชื่อเสียงติดตัวมันดีนะลูก พ่อเราซัพพอร์ตแม่จนแม่รู้สึกเกรงใจไปหมด อีกอย่างนะคุณตรัยคุณเขากำลังปั้นเด็กใหม่ เขาไม่ได้สนใจเราขนาดนั้นนะ โอกาสไม่ได้มีบ่อย ๆ ขนาดแม่โทรไปบอกว่าลูกจะไม่เป็นดาราแล้ว เขาก็ไม่คิดจะช่วยอะไร” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนที่คุณแม่จะหันหน้ามากอดฉัน
“หนูขอโทษค่ะ”
“พ่อเขาใจดีกับเรา แต่คุณอาไม่ได้ใจดีกับเราหรอกนะ ยังไงแม่ก็อยากให้ลูกได้อยู่บ้านหลังนี้ อยากให้ลูกทำตัวมีประโยชน์ต่อพวกเขา”
“หนูรู้...หนูเข้าใจแล้ว” ฉันพึมพำออกมา ก่อนจะกอดแม่อีกครั้ง “หนูขอไปคุยกับคุณอาก่อนนะคะ ป่านนี้คงรอหนูอยู่เหมือนกัน”
“จ้า...ยังไงมาบอกแม่ด้วยนะ” ฉันยิ้มรับ ก่อนจะเดินออกจากห้องของคุณแม่ไป คุณพ่อที่ยืนรออยู่ด้วยความกังวลหันมามองฉันทันที
“เป็นไงบ้าง”
“หนู...ยังอยากเป็นดาราเหมือนเดิมค่ะ” ฉันตอบคุณพ่อไปแม้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ตามแต่
“เราไม่ได้ถูกแม่บังคับใช่ไหม” ฉันส่ายหน้า มันก็ถูกของคุณแม่ ถ้าฉันไม่เป็นนักแสดง ไม่เดินแบบ ก็คงไม่มีงานให้ฉันทำแล้ว
“หนูอยากคุยกับคุณอาค่ะ ป่านนี้คงกำลังวุ่นอยู่แน่เลย”
“ประมาณหนึ่งเลยล่ะ แต่พ่อคุยแล้วล่ะ”
“คุยว่าไงคะ”
“อืม...” ฉันทำหน้ามุ่ยเมื่อคุณพ่อกำลังทำสีหน้าครุ่นคิด ฉันคิดว่าคุณพ่อคงบอกกับคุณอาว่าห้ามต่อว่าฉันแน่ ๆ เพราะข่าวดังมาก ๆ ก็ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว แต่คุณอากลับไม่มาโวยวายใส่ฉัน
“หึ ให้พ่ออยู่ด้วยนะงั้น”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เพราะถ้าพ่ออยู่ด้วย คุณอาก็ไม่กล้าพูด” คุณพ่อเม้มริมฝีปาก ก่อนที่เราสองคนจะเดินมาถึงห้องทำงานของคุณอา จริง ๆ ก็ไกลจากห้องคุณพ่อคุณแม่มาก ๆ แต่ว่าคุยเพลินก็เลยมาถึงแบบไม่รู้ตัว
“พ่อรอข้างนอกนะ ถ้าโดนตะคอกใส่ให้รีบออกมา”
“หึ รับทราบค่ะ” ฉันยิ้มให้กับคุณพ่อ ก่อนจะหันหลังไปเคาะประตูไม้สักหน้าห้องทำงานของคุณอา เคาะสามครั้งตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
แกร็ก~
แอ๊ดดด...
ฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของคุณอาอิทธิกร แต่พอจะยกมือไหว้ ก็เห็นว่าท่านกำลังเคลียร์เอกสารบนโต๊ะทำงานอยู่ ก็เลยพาก้นตัวเองไปนั่งโซฟาที่อยู่มุมห้องรอคุณอาเคลียร์งานเสร็จค่อยขอพูดด้วย จริง ๆ แล้วคุณอาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณพ่อ ไม่ได้เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ก่อนหน้าที่คุณอาจะได้เป็นท่านประธานคุณพ่อก็เป็นประธานบริษัทมาก่อน ก่อนจะมอบตำแหน่งให้กับคุณอาอีกที
ธุรกิจครอบครัวเราเป็นบริษัทที่ชื่อว่า เดอะเกรทฟีเจอร์กรุ๊ป ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าที่หลายคนรู้จักหรือเห็นโดยทั่วไปจากอักษรย่อจีเอฟ (Gf) ก็คือกลุ่มบริษัทซึ่งประกอบด้วยหลาย ๆ บริษัทที่ประกอบธุรกิจหลากหลายภายใต้เครือบริษัทเกรทฟีเจอร์ จำกัด เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงงานผลิตเครื่องอุปโภคบริโภค ก็คือทุกอย่างเลย ข้าวของเครื่องใช้ ไม่เว้นแม้เสื้อผ้าที่สวมใส่ พูดง่าย ๆ คือกินรอบวง เพราะอย่างนี้เราถึงรวยมาก ๆ เลยล่ะ นามสกุลเกียรติภูมิคือตระกูลที่รวยที่สุดของประเทศ สลับขึ้นลงกับตระกูลอื่นอยู่ไม่กี่อันดับ ปรับเปลี่ยนทุกปี และปีนี้ฉันว่ามีแนวโน้มจะตกลงเพราะว่าตัวฉันเอง
“เป็นไง...” ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณอา เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงาน พร้อมกับควงปากกาด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย”
“ใช่ วุ่นวายมาก” คุณอาอิทธิกรพูดออกมาแบบไม่รักษาน้ำใจฉันเลย แต่ฉันก็รู้ตัวว่าทำผิด
“ฉันจะทำตัวใหม่ค่ะ”
“ทำ...ทำไม ก็ทำแบบที่ชอบทำนั่นแหละ ชอบหาเรื่องไม่ใช่หรือเรา” ฉันส่ายหน้าเบา ๆ มันไม่ใช่อย่างที่คุณอาคิดสักหน่อย ฉันก็แค่ทำตัวปกติ เพียงแต่ว่าฉันมีชื่อเสียงแค่นั้นเอง
“แล้วมันจะไม่กระทบกับชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ของเราเหรอคะ” เมื่อเห็นคุณอาบอกว่าให้ฉันทำอะไรก็ได้ มันก็แปลก ๆ เลยถามออกไป ทว่า
“ไม่หรอก” ฉันขมวดคิ้วให้กับคำพูดของคุณอา ไม่เข้าใจว่าไม่กระทบได้อย่างไรก็ในเมื่อฉันเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้า แถมคนไทยเป็นคนที่ไม่ชอบและไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมแบบนี้ของฉัน ฉันมีสิทธิ์โดนแบนและสินค้าก็จะขายไม่ออกตามไปด้วย ฉันไม่เข้าใจที่คุณอาพูด ทว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะอาถอดเราออกหมดแล้วล่ะ”
“อะไรนะคะ...”
“ตามที่ได้ยิน จ้างคนอื่นยังดีกว่า เสียเงินหน่อย แต่ไม่เสียชื่อ...”
“คุณอา...ไม่นะคะ ถ้าอาปลดหนู ก็เท่ากับว่าหนูก็ถูกลดทอนลง” ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียงมันมาพร้อมกับการได้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า ยิ่งเป็นพรีเซนเตอร์เยอะมากแค่ไหนก็ยิ่งบ่งบอกถึงความโด่งดัง แต่ถ้าคุณอาพูดอย่างนี้...ชีวิตการเป็นดาราของฉันจบเห่แน่
“อะไรก็เอากลับมาไม่ได้ โดยเฉพาะชื่อเสียง เสียแล้วเสียเลย”
“นะ หนูเข้าใจ แต่เดี๋ยวหนูจะทำตัวใหม่”
“สายไปแล้วล่ะ ลองค้นชื่อตัวเองในอินเทอร์เน็ตดู ชื่อเสียงของเธอมีแต่เสีย ๆ หาย ๆ พลอยทำให้สินค้าของเราเสียหายไปด้วย”
“_”
“อาไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว ตั้งแต่ข่าวออกตอนเช้า ผู้ถือหุ้นก็โทรมาแล้ว เขาอยากให้อาถอดเราออก”
“อึก แล้ว...เราไม่ลองแก้ข่าวล่ะคะ”
“หึ รู้ไหมว่าคนเราสนใจความเสียหายของคนมากกว่าการแสดงความยินดี ไม่มีใครสนใจการแก้ข่าวหรอก แล้วหนูคิดว่าจะแก้ยังไง”
“สู้ค่ะ เพราะหนูไม่ได้พูดนะคะว่าหนูจะให้เงินเขา”
“ถามจริงนะ หนูคิดเหรอว่าคนจะเชื่อหนู พอละ...อาทำงานมาทั้งวัน เรื่องของหนูทำให้บริษัทวุ่นไปหมด อาเลิกงานแล้ว อยากกลับเข้าห้องนอน” คุณอาอิทธิกรลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน ทำให้ฉันต้องลุกขึ้นยืนตามไปด้วย
“คุณอา...ช่วยแก้ข่าวให้หนู ฮืออ~” ฉันไม่เคยรู้สึกเหมือนกับถูกทิ้งขนาดนี้มาก่อน ซึ่งพอเดินตามคุณอาออกไปก็เห็นว่าคุณอากำลังคุยกับพ่ออยู่
“ตามที่ที่ประชุมบอก ตั้งแต่เช้า...ตามนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง” พ่อสบตากับน้องชายเขา ฉันไม่อยากให้พ่อต้องเสียใจ ไม่อยากให้พ่อทำหน้าอย่างนั้น
“ช่วยพลอยหน่อย”
“ผมไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว”
“_”
“...มติประชุมมันออกมาแบบนั้น”
“แต่เราเป็นประธาน อย่าให้ใครมาตัดสินแทนสิ มึงมีอำนาจสูงสุดเปล่าวะ” ฉันเดินไปคล้องแขนคุณพ่อ เพราะคุณพ่อกำลังอารมณ์ร้อน มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่คุณพ่อจะต่อว่าคุณอาเพราะเรื่องของฉัน
“เพราะผมมีอำนาจสูงสุดไง เลยคิดว่า...ทางนี้เป็นทางออก” คุณอาปรายสายตามองฉัน แต่ก่อนที่คุณพ่อจะว่าอะไรอีกฉันก็ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย
“หนู...ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ ไม่เป็นไร หนูยังไม่ถูกปลดจากละคร อีเว้นท์หนูยังมี” ฉันเอ่ยพูดขึ้น คุณอามองหน้าคุณพ่อ
“เอาใจลูกมากไปมันเป็นแบบนี้แหละ เสียคน...” ฉันโผเข้ากอดคุณพ่อเพราะคุณพ่อกำลังจะชกหน้าคุณอา แต่ยังดีที่ฉันขวางทางไว้เสียก่อน คุณอาว่าเสร็จก็เดินกลับไปยังห้องของท่านที่ไกลอกไป
“ฮืออ~ หนู อึก ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้” ฝ่ามือหนาของคุณพ่อลูบศีรษะของฉันเบา ๆ
“พ่อขอโทษนะ ที่ช่วยหนูไม่ได้”
“ไม่ อึก ไม่ใช่ความผิดของพ่อ ไม่ใช่เลย” แม้ฉันจะว่าอย่างนั้น แต่ฉันก็รู้ว่าพ่อกำลังโทษตัวเองอยู่ “คุณพ่อไม่ต้องเครียดนะคะ หนูไม่เป็นไรแล้ว”
คุณพ่อไม่ได้พูดอะไรอีก ฉันคิดว่าพ่อกำลังเป็นกังวลและคิดหาทางช่วยฉันอยู่แน่ ๆ แต่สำหรับฉันแล้ว ยิ่งเห็นว่าคุณพ่อกับคุณแม่เครียดเรื่องของฉันมากเท่าไรฉันก็ยิ่งโกรธตัวเองมากเท่านั้น
มากจนนอนไม่หลับ ฉันแยกกับคุณพ่อหลังจากที่บอกกับคุณพ่อว่าฉันไม่เป็นอะไร คุณพ่อกลับห้องนอนไปหาคุณแม่แล้วล่ะ ส่วนฉันก็อาบน้ำเตรียมเข้านอน แต่กลับนอนไม่หลับ กังวลไปเสียหมดทุกอย่าง ไม่กล้าเปิดโทรศัพท์ที่ตอนนี้ฉันชาร์จแบตแล้วล่ะ ทว่าความเครียดทำให้ฉันอยากโทรหาพี่เตชินท์ก็เลยเลื่อนมือไปคว้าโทรศัพท์บนหัวเตียงมาเปิดเครื่อง หลังจากที่มันดับไปเพราะว่าแบตหมด ทว่า
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังรัว ๆ ทำให้ฉันขมวดคิ้ว เพราะไลน์มีไว้ส่งคิวงาน ซึ่งพอเปิดมาก็พบกับข้อความของผู้จัดการของฉัน
[พลอย คิวงานพรุ่งนี้ยกเลิกหมดเลยนะ...เดี๋ยวพี่ไปหาพรุ่งนี้ เรามาหาทางออกกัน]
“อึก...ฮืออ~” ฉันร้องไห้อีกแล้ว พี่ก้อยส่งข้อความมาหาฉันแบบนี้ฉันสัมผัสได้ถึงความเสียใจของพี่เขา เพราะพี่ก้อยทำงานให้กับฉัน เธอได้ส่วนแบ่งจากฉัน ถ้าฉันไม่มีงานเธอก็จะขาดรายได้ตามไปด้วย ฉันน่ะ...ลอยตัวอยู่แล้ว ยังไงก็มีเงินใช้ แต่สำหรับพี่ก้อยมันไม่ใช่อย่างนั้น เธอกำลังเดือดร้อนเพราะฉัน
ฉันเม้มริมฝีปากอดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไว้ ตอบกลับข้อความพี่เขาไปสั้น ๆ
“พลอยขอโทษนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาพี่เตชินท์ ฉันคาดหวังอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ฉันคาดหวังให้เขากดรับโทรศัพท์ ทว่า
ฉันก็ผิดหวัง
[ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก โปรดติดต่อใหม่อีกครั้ง...]
ฉันก้มหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ ใจของฉันมันวูบลงด้วยความรู้สึกเสียใจ เขาไม่รับโทรศัพท์ของฉัน ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็ก ๆ พี่เขาปลอบฉันทุกอย่าง แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจฉันเลย ทว่า
ครืดด ครืดด ~
“โอ๊ะ! พี่เต...” ฉันยกมือขึ้นขยี้ตาสองรอบ เพราะรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ฉันตกใจ ไม่คิดว่าพี่เขาจะโทรกลับมา ฉันรีบกดรับในทันที
ติ๊ด!
“ฮะ โหล ทะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” ฉันอยากจะยกมือทุบหัวตัวเอง เพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะโทรมาทำให้ฉันถามไปแบบนั้น ทว่า
[ไม่ผิดนะ ถ้าเธอชื่อพิ้งค์พลอย] คำตอบกลับของเขานั้นทำให้ฉันอยากกรีดร้องออกมา
“ไม่ ๆ หนูพลอย” ฉันรีบตอบกลับเขาเพราะกลัวว่าพี่เตจะกดตัดสาย หากว่าฉันตอบช้าไป
[งั้นก็ไม่ผิด...] ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันได้ยินเขาพูดแบบนี้ หรือเขา...กำลังเป็นห่วงฉันอยู่นะ
ให้ตายเถอะ...ฉันมโนอีกแล้ว