ตั้งแต่วันนั้นไทเฮาก็มอบหมายให้หลิวกงกงทำการสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่ทว่าไม่ว่าจะสืบอย่างไรก็ไม่พบหลักฐานที่จะสาวไปถึงตัวหวงกุ้ยเฟยได้
“ที่ย่าอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ ย่าอยากให้เจ้าสำนึกตนไว้เสมอว่าเจ้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เป็นธิดาของฮ่องเต้หาใช่บุตรของคนธรรมดาสามัญไม่ ดังนั้นอย่าได้ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ผู้อื่นรังแกได้ง่าย ๆ หาไม่แล้วชีวิตในภายภาคหน้าจะอยู่อย่างลำบาก ในวังมีแต่คนที่มีเล่ห์เหลี่ยม แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมากมาย เจ้าเองก็ควรเรียนรู้ที่จะระวังตัวเองไว้ เข้าใจหรือไม่”
ไทเฮาทรงตรัสด้วยความเป็นห่วง ทว่าในความเป็นห่วงนั้นแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็งจึงทำให้องค์หญิงจิ่นซีที่ฟังอยู่รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
“เข้าใจเพคะ หลานจะระวังตัวเองให้ดี จะไม่ยอมให้ใครมารังแกต่อไปแล้วเพคะ” องค์หญิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะไม่ต้องการให้ใครมารังแกอีกแล้ว
ไทเฮาทรงยกยิ้มอย่างพึงพอใจในคำตอบของหลานสาว นางหยิบชาขึ้นมาจิบอีกอึกหนึ่งก่อนจะตรัสต่อ
“เพียงแค่ระวังตัวยังไม่พอ หากว่าเจ้าถูกรังแกมาก็ต้องหาวิธีที่จะตอบโต้ด้วย หากไม่ตอบโต้แล้วล่ะก็ คนพวกนั้นจะได้ใจแล้วตามมารังแกเจ้าไม่ยอมเลิกรา”
“เพคะ หลานจะทำตามที่เสด็จย่าสั่งสอน”
องค์หญิงจิ่นซีรับคำอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ที่ผ่านมานางคิดว่าอะไรยอมได้ก็ยอมเพื่อจะได้อยู่อย่างสงบ แต่คราต่อไปคงจะต้องทำตามที่เสด็จย่าสั่งสอนมาเสียแล้ว
“ดี เจ้าตอบได้ถูกใจย่ายิ่งนัก” ไทเฮาพยักหน้ารับรู้อย่างพอพระทัย นี่สิถึงจะสมกับเป็นธิดาของฮ่องเต้ที่เกิดจากฮองเฮา
“ที่ย่าต้องเตือนเจ้าถึงเพียงนี้ ก็เพราะว่าถึงแม้ยามนี้ย่าจะยังคงกางปีกปกป้องหลานได้ แต่ก็ไม่อาจปกป้องไปได้ตลอด หากวันใดวันหนึ่งที่ย่าไม่อยู่แล้วรับรองได้เลยว่าหวงกุ้ยเฟยจะต้องมาคิดบัญชีแค้นทั้งหมดกับเจ้าเป็นแน่ บางทีเวลานี้อีกฝ่ายอาจจะกำลังวางแผนเล่นงานเจ้าอยู่ก็เป็นได้ เจ้าจึงต้องเรียนรู้การเอาตัวรอด หรือแม้กระทั่งการเอาชนะไว้เพื่อตัวเจ้าเอง เข้าใจหรือไม่ จิ่นซี”
“เพคะ เสด็จย่า” เป็นอีกครั้งที่องค์หญิงจิ่นซีรับคำสั่งสอนอย่างจริงจัง และภายในใจนั้นก็คล้อยตามคำของไทเฮาทุกคำ
“ในวังหลวงนั้นแม้คนภายนอกจะมองราวกับว่าเป็นสวรรค์ แต่จริง ๆ แล้วมันก็คือห้วยน้ำลึกดี ๆ นี่เอง หากเมื่อไรที่ก้าวพลาดขึ้นมา นั่นก็หมายถึงความตาย” ไทเฮาตรัสพลางมองไปที่เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เหมือนกับเหนื่อยหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลวง ก่อนจะตรัสขึ้นอีกเหมือนกำลังระบายความรู้สึกในใจ
“ในชีวิตของย่าอยู่ในวังมาเป็นเวลากว่าหกสิบปี ตั้งแต่เข้ามาเป็นสนม จนในที่สุดได้เลื่อนเป็นฮองเฮา และสุดท้ายก็เป็นไทเฮาอยู่ถึงทุกวันนี้ ย่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย รู้เช่นเห็นชาติคนภายในวังทั้งหมดว่าต่อสู้แย่งชิงกันมากเพียงไหน
บางคนสู้ได้ด้วยความพยายามจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นไปย่อมเป็นเรื่องดี บางคนที่สู้ไม่ไหวถึงกับท้อใจยอมให้ชีวิตของตัวเองแปรผันไปตามโชคชะตา พอถึงเวลาก็ปลดออกจากการเป็นสนมแล้วกลับไปยังบ้านเกิดของตนเอง แต่บางคนที่มีความทะเยอทะยานที่แรงกล้าเกินไป จนถึงขั้นใช้วิธีสกปรกในการทำร้ายผู้อื่นก็มีอยู่ไม่น้อย
ตัวอย่างก็เห็นได้จากชายารองที่เคยวางยาอดีตฮองเฮาในสมัยที่ย่ายังเป็นชายาองค์ชายสามอยู่ เพียงแค่นี้ก็พอจะสรุปได้แล้วว่า วังหลังนั้นอันตรายถึงเพียงใด” พระนางตรัสถึงตอนนี้ก็หยุดมองไปข้างหน้า ก่อนที่พระนางหันมามองใบหน้าของหลานสาวแล้วตรัสต่อ
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิง ซึ่งอาจจะไม่มีการแก่งแย่งช่วงชิงกันเท่ากับเหล่าองค์ชาย แต่ความริษยาในจิตใจคนนั้นก็ไม่อาจจะวัดได้เช่นกัน วันดีคืนดีหากหวงกุ้ยเฟยคิดอย่างจะกลั่นแกล้งเจ้าขึ้นมาด้วยการเสนอต่อฮ่องเต้ว่าให้เจ้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับชนเผ่าหนึ่งที่อยู่ห่างไกลเล่าจะเป็นเช่นไร แค่คิดขึ้นมาก็ทำย่าถึงกับเจ็บปวดใจแล้ว”
ไทเฮาตรัสออกมาอย่างเศร้าหมอง เมื่อคิดถึงวันที่พระนางไม่อาจอยู่ช่วยปกป้องหลานสาวที่ถูกลืมเลือนจากพระบิดาได้อีกต่อไป
“จิ่นซีเข้าใจแล้วเพคะ รับรองว่าหลานจะระวังตัว และเตรียมรับมือเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี เสด็จย่าอย่าได้เป็นห่วงหรือทรงกังวลเลยนะเพคะ” องค์หญิงจิ่นซีถึงแม้จะยังเด็ก แต่นางก็ฉลาดหัวไว นั่นก็เพราะได้ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ จากหนังสือที่เสด็จย่าทรงประทานให้ สิ่งที่ไทเฮาทรงสั่งสอนนั้น นางล้วนจำได้ขึ้นใจทั้งสิ้น
จากนั้นทั้งสองย่าหลานก็สนทนากันอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่จะถึงเวลาเอนหลังของไทเฮา องค์หญิงจึงได้ขอตัวกลับตำหนักท้ายวัง
เมื่อกลับมาที่ตำหนักของตนเอง แทนที่จะเล่นเอ้อระเหยหรือว่าประทินโฉมอย่างที่เด็กผู้หญิงที่เริ่มจะโตเป็นสาวสวยอย่างที่คนอื่นทำกัน
แต่องค์หญิงจิ่นซีกลับมานั่งครุ่นคิดถึงวิธีการที่หวงกุ้ยเฟยจะสามารถเอามากลั่นแกล้ง หรือทำร้ายนางได้ อย่างเช่นการแต่งงานที่ไม่เป็นธรรม หรือว่าการทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ดีไม่ดีหวงกุ้ยเฟยอาจจะทำได้มากกว่านั้นก็เป็นได้
จากนั้นนางก็มาคิดหาวิธีแก้ไข ว่าหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง ๆ เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องทำอย่างไร คิดไปด้วยเดินหมากไปด้วย ในที่สุดก็สามารถหาวิธีที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้
“ข้าชนะอีกแล้ว” องค์หญิงจิ่นซีตรัสออกมาอย่างพึงพอใจ
เหล่านางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นได้แต่มองอย่างแปลกใจ เพราะไม่เข้าใจว่าองค์หญิงจะทรงดีพระทัยด้วยเหตุใดกัน ก็ในเมื่อพระองค์ทรงแข่งกับตนเอง แพ้ชนะก็เป็นการเล่นกับตนเองทั้งนั้น
การประชุมเช้า ในท้องพระโรงในยามนี้เป็นไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจากมีปัญหาหนึ่งที่ยังแก้ไม่ตก เลยทำให้ทั้งฮ่องเต้และเหล่าขุนนางพากันปวดหัวยิ่งนัก ซึ่งปัญหาที่ว่านั้นก็คือภัยแล้งเมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากว่าปีก่อน ๆ ฝนฟ้ายังคงตกต้องตามฤดูกาลอยู่บ้าง แต่เมื่อปีที่แล้วภัยแล้งเกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน อย่างไม่มีใครรู้สาเหตุว่าภัยแล้งในครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ชาวบ้านที่ทำการเพาะปลูกอยู่รอบนอก ต่างก็ประสบปัญหากันถ้วนหน้า พืชพรรณที่เพาะปลูกขาดน้ำ ทำให้ไม่สามารถออกดอกออกผลได้เท่าที่ควร ผลผลิตในปีนี้จึงน้อยลงไปกว่าครึ่ง
ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เนื่องจากภัยแล้งครั้งนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป สิ่งที่น่ากลัวกว่าจำนวนผลผลิตที่เก็บได้น้อยในปีนี้ก็คือ หากว่าปีนี้เกิดภัยแล้งขึ้นอีกเป็นสองปีติด ปีหน้าก็คงจะไม่มีผลผลิตเพียงพอให้คนในเมืองหลวงดำรงชีวิตอยู่ได้จนถึงสิ้นปีเป็นแน่ ดังนั้นจึงทำให้เกิดการยื่นฎีกาขอวิธีการการแก้ปัญหามากมาย แต่แล้วก็ยังไม่มีใครในที่ประชุมสามารถหาหนทางแก้ไขในเรื่องนี้ได้
“ตอนนี้สถานการณ์ภัยแล้งโดยทั่วไปเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมฎีกาถึงถูกส่งมากมายจากทุกเมืองเช่นนี้” ฮ่องเต้ตรัสถามออกไปพร้อมกับมองกองฎีกาที่อยู่ตรงหน้า
“ทูลฝ่าบาท บริเวณที่เกิดภัยแล้งหนักที่สุดก็เห็นจะเป็นช่วงปลายของแม่น้ำฉางโจวพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำฉางโจวเมื่อมาถึงช่วงปลายก็เหือดแห้งหมดแล้ว ถึงแม้ว่าพื้นที่บริเวณต้นแม่น้ำจะได้ใช้น้ำอยู่บ้าง แต่ทว่าก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่เหลือพอมาจนถึงปลายแม่น้ำ นี่จึงทำให้เกิดความเดือดร้อนกันทั่วหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมโยธาก้มหน้ากล่าวรายงานอย่างจนปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
“แม่น้ำฉางโจวถึงเป็นแม่น้ำสายหลักที่ตัดผ่านเมืองหลวงซึ่งไหลลงมาตั้งแต่ภาคเหนือไปออกยังทะเลทางใต้ เป็นแม่น้ำใหญ่ที่ถือว่าเป็นหัวใจของแคว้นเลยก็ว่าได้ แต่ต้นเหตุของปัญหาก็คือแม่น้ำฉางโจวในปีนี้ไม่มีน้ำ พื้นที่ทำการเกษตรแถบลุ่มแม่น้ำจึงประสบปัญหาไปตาม ๆ กัน ไม่เฉพาะแค่เมืองหลวงเท่านั้น ยังมีเมืองหวนอี้ที่เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดที่สำคัญของแคว้นก็ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองหวนอี้กล่าวรายงานความเดือดร้อนในเมืองที่เขาปกครองอยู่ขึ้นมา
“นอกจากแม่น้ำฉางโจวแล้ว พวกเรายังมีน้ำจากแหล่งน้ำอื่นอีกหรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามออกมาอย่างกังวลพระทัยยิ่งนัก
“จะมีก็แต่บึงเผิงหยวนที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก แต่ว่าหากจะให้ลำเลียงน้ำมายังเขตพื้นที่ของเมืองหลวงก็เห็นจะเป็นไปได้ยากพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมโยธายังเป็นคนตอบคำถามของฮ่องเต้