บทที่ 2 หนึ่งกำเนิด หนึ่งจากลา

1632 Words
ในที่สุดระยะเวลาอันยาวนานก็สิ้นสุดเสียที ทารกที่ฮองเฮาคลอดออกมานั้นเป็นองค์หญิงน้อยผู้หนึ่งที่มีสุขภาพแข็งแรงและอ้วนท้วนสมบูรณ์ แก้มย้วย ๆ ขององค์หญิงน้อยทำให้นางดูน่ารักน่าชังราวกับเทพเซียนตัวน้อยก็มิปาน เหล่านางกำนัลต่างก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นองค์หญิง หลังจากที่ใช้เวลาทำคลอดกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ทุกคนต่างก็ยินดีที่ฮองเฮาคลอดบุตรได้สำเร็จ เสี่ยวหลัวนางกำนัลคนสนิทคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา นางหันไปหาฮองเฮาเพื่อจะบอกกล่าวเรื่องที่พระนางคลอดองค์หญิงน้อยออกมา แต่แล้วเลือดในกายของนางก็พลันแข็งค้างไปทั่วร่างกาย เมื่อเห็นว่าฮองเฮาที่สลบไป กลับนอนนิ่งไม่ไหวติง แม้กระทั่งหน้าอกยังไม่กระเพื่อมขึ้นลง นางยืนตัวแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นมือไปอังที่จมูกของร่างที่อยู่บนเตียง จึงได้รู้ว่าฮองเฮาไร้ลมหายใจแล้ว “หมอหลวง!!” เสี่ยวหลัวกรีดร้องเสียงดังเพื่อเรียกหมอหลวง จนทุกคนที่อยู่ในตำหนักต่างสะดุ้งพร้อมกับหันมาตามเสียงร้องของนาง หมอหลวงที่อุ้มองค์หญิงน้อยอยู่เมื่อได้ยินเสียงเรียก ก็ยื่นองค์หญิงให้กับนางกำนัลอีกคน ก่อนจะรุดมาที่เตียงอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” “ฮอง…ฮองเฮาไม่ทรงหายพระทัยแล้ว เร็วเข้า!! หมอหลวงรีบช่วยเร็วเข้า” เสี่ยวหลัวเอ่ยอย่างร้อนรน บัดนี้น้ำตาของนางไหลพรากลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างพลางคุกเข่าลงข้างเตียง พร่ำเอ่ยแต่ว่า “ฮองเฮาฟื้นสิเพคะ” อยู่หลายครั้ง หมอหลวงจับชีพจรของฮองเฮาดูแล้วก็ต้องถึงกับชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าสลดแล้วกล่าวกับทุกคน “ฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” นางกำนัลรวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในตำหนักทันทีที่ได้ฟังประโยคนี้จากหมอหลวงถึงกับชะงักค้างทันที ยามนี้เหล่านางกำนัลคล้ายกับว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะปล่อยโฮกันออกมา พร้อมกับถลาไปที่ข้างเตียงของฮองเฮา บ้างจับพระหัตถ์ บ้างจับพระบาท แล้วกล่าวคำเดียวกับที่เสี่ยวหลัวกล่าวก่อนหน้านี้ “ฮองเฮาทรงฟื้นสิเพคะ” “ฮองเฮาได้โปรดอย่าทิ้งพวกหม่อมฉันไปเช่นนี้” “ฮองเฮาได้โปรดกลับมาหาองค์หญิงก่อนเพคะ” เมื่อมองว่านางกำนัลเหล่านี้ต่างไม่มีสติหลงเหลือแล้ว หมอหลวงจึงได้บอกให้ศิษย์สำนักหมอหลวงคนเดิมออกไปกราบทูลฮ่องเต้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ศิษย์ผู้นั้นก็รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเมื่อเป็นหน้าที่แล้วอย่างไรก็ต้องกระทำ ดังนั้นบานประตูตำหนักจึงเปิดออกอีกครั้ง “คลอดแล้วใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง บุตรของเราเป็นองค์ชายหรือว่าองค์หญิง” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความตื่นเต้น สีพระพักตร์สดใสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าจะได้พบหน้าบุตรแล้ว “เป็นองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ศิษย์สำนักหมอหลวงก้มหน้าตอบเบาๆ ได้ยินคำตอบแล้วทั้งฮ่องเต้และไทเฮาต่างก็ดีพระทัยเป็นอย่างมาก ทั้งสองพระองค์อยากเข้าไปในตำหนักเต็มทีแล้ว ศิษย์สำนักหมอหลวงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนจะกราบทูลต่อ “แต่ว่ากระหม่อมมีเรื่องที่จะต้องกราบทูลฝ่าบาทกับไทเฮาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” “มีเรื่องอันใดก็ว่ามา เราอยากเข้าไปข้างในแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสอย่างร้อนพระทัย “คือ ฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ศิษย์สำนักหมอหลวงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คำกล่าวนี้เหมือนกับดั่งอสนีบาตฟาดลงมากลางวังหลวง ฮ่องเต้ที่กำลังจะก้าวพระบาทเข้าไปนั้นก็ถึงกับชะงัก พระวรกายแข็งค้างไปในฉับพลัน สีพระพักตร์จากเดิมที่กำลังสดใส บัดนี้กลายเป็นซีดเผือด ฝ่ายไทเฮานั้นเพิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้จะเสด็จเข้าข้างไปในเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ถึงกับทรุดกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม แต่ถึงอย่างไรแล้วทั้งสองพระองค์ก็ต้องยอมรับความจริงว่าบัดนี้ฮองเฮาได้จากไปแล้ว ฮ่องเต้เสด็จถึงข้างเตียงด้วยพระอาการโศกเศร้ายิ่งนัก พระองค์ไม่ได้สนใจองค์หญิงน้อยเลย เมื่อความสูญเสียที่อยู่ตรงหน้าทำร้ายพระทัยของพระองค์เหลือเกิน ร่างไร้วิญญาณของหญิงอันเป็นที่รักนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับทรงกรรแสงออกมา พระองค์ทรงกอดร่างของฮองเฮาเอาไว้ พลางลูบเรือนผมยาวดำขลับนั้นเบา ๆ แล้วตรัสออกมาอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ” ฝนที่หนักบัดนี้ซาลงแล้ว มวลเมฆเคลื่อนตัวออก ท้องฟ้าเปิดให้เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ประกาศจากวังหลวงถูกกระจายออกไป ในประกาศมีเนื้อความว่าบัดนี้ฮองเฮาได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ชาวเมืองได้ยินข่าวต่างก็โศกเศร้ากันเป็นอย่างมาก เสียงระฆังมรณะดังกังวาน ทั่วทั้งแคว้นต่างแขวนธงขาวส่งศพพระมารดาของแผ่นดิน ฮ่องเต้ทรงวางพระศพของฮองเฮาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล สายพระเนตรก็มิอาจละไปจากใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รักได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเสียใจสักเพียงใด ในฐานะโอรสสวรรค์จำต้องเข้มแข็งเสมอ พระองค์จึงได้ทรงหยุดกรรแสง แล้วให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบมาจัดการกับพระศพของฮองเฮาต่อไป หากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่ฮ่องเต้ยังคงเป็นองค์ชายสามอยู่นั้น ทั้งสองพบกันที่วังหลวงแห่งนี้ตอนที่ไทเฮาพระองค์ก่อนจัดงานเลี้ยงชมบุปผาขึ้น ฮองเฮาที่ตอนนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของมหาเสนาบดีก็มาร่วมงานเลี้ยงกับบิดามารดาของนางด้วย เมื่อเห็นนางครั้งแรก องค์ชายสามก็ตกหลุมรักในทันที ถึงขั้นกราบทูลต่อฮ่องเต้ว่าให้ไปสู่ขอนางมาเป็นชายา หลังจากนั้นก็ได้สมรสกันสมดังหวัง ทั้งคู่ฝ่าฟันเรื่องราวต่าง ๆ ร่วมกันมาไม่น้อย จึงทำให้รักกันมาก มีครั้งหนึ่งองค์ชายสามต้องเสด็จยกทัพไปชายแดน เพื่อที่จะไปปราบชนเผ่าจื่อจวงที่รุกล้ำเข้ามาแย่งชิงที่ดินทำกินของชาวบ้าน การศึกครั้งนั้นองค์ชายสามได้รับบาดเจ็บ พระชายาก็ถึงกับทูลขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ออกจากวังเพื่อที่จะไปหาองค์ชายสามที่เมืองชายแดน ตอนที่ฮองเฮายังคงเป็นพระชายาอยู่นั้น ได้ถูกพระชายารองลอบวางยา แม้จะรู้ตัวเร็วและถอนพิษได้ทัน แต่ทว่าก็ยังมีพิษตกค้างอยู่ในร่างกายทำให้มีบุตรยาก ถึงต่อให้มีก็ไม่แน่ว่าจะรักษาครรภ์เอาไว้ได้ และนี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเศร้าขึ้นในวันนี้ก็เป็นได้ ตอนนั้นองค์ชายสามโกรธมาก สั่งปลดพระชายารองทันที อีกทั้งยังลงโทษโบยหลายไม้ ทำเอาขาพิการต้องนั่งเก้าอี้ล้อเลื่อนไปตลอดชีวิต เมื่อองค์ชายสามเป็นรัชทายาทและขึ้นครองราชย์ นางก็เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างเสมอมา แต่มาวันนี้นางกลับด่วนจากเขาไป โดยที่ไม่แม้แต่จะได้ร่ำลากัน แล้วจะไม่ให้พระองค์เสียพระทัยได้อย่างไร ตอนที่นางกำนัลอุ้มองค์หญิงน้อยมา ฮ่องเต้ก็ยังไม่เหลือบมองนางเลยสักนิด “ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงอยู่ทางนี้เพคะ” เสี่ยวหลัวอุ้มองค์หญิงน้อยมากำลังจะยื่นให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร ทว่าพระองค์กลับหันหน้าหนีแล้วโบกมือไล่ให้เอาตัวนางออกไป “พานางออกไปเถิด เรายังไม่พร้อมที่จะเห็นหน้านาง” เสี่ยวหลัวได้ยินดังนั้นก็เศร้าใจขึ้นมา นางเข้าใจดีว่าฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยอย่างหนัก แต่นี่คือองค์หญิงคือบุตรสาวของพระองค์ หากจะไม่ให้ค่าเลย ก็อดจะสงสารองค์หญิงอยู่ไม่น้อย “แต่ว่า ฝ่าบาทจะไม่ทรงตั้งชื่อให้องค์หญิงหน่อยหรือเพคะ” เสี่ยวหลัวเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงองค์หญิงน้อยร้องไห้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาภายในตำหนักเยี่ยนฟางวุ่นวายขึ้นอีกครา เสี่ยวหลัวจำเป็นต้องส่งองค์หญิงต่อให้นางกำนัลคนอื่น เพราะเกรงว่าเสียงร้องไห้นั้นจะรบกวนฮ่องเต้ กลัวว่าพระองค์อาจจะทรงกริ้วขึ้นมาได้ ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ได้โกรธเคืองหรือว่ารำคาญแต่อย่างใด เพียงแต่ตรัสกลับมาด้วยพระสุรเสียงที่ราบเรียบว่า “เจ้าไปให้ไทเฮาทรงตั้งให้เถอะ” จากนั้นพระองค์ เพียงแค่หันกลับมามองพระศพของฮองเฮาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเสด็จออกจากตำหนักไป แม้จะรู้แก่ใจดีว่าไม่ใช่ความผิดของเด็กน้อย แต่ในใจของพระองค์ที่สูญเสียคนรักไปนั้น ก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาไปลงกับใครดี ครั้นมาคิดดูจะกล่าวโทษอดีตพระชายารองก็ใช่ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ฮองเฮามีบุตรยาก แต่จะว่าไป เขาก็ลงโทษนางอย่างแสนสาหัสไปแล้ว หากจะตามไปถือสาเอาความอีกก็ออกจะเกินไปหน่อย แต่เมื่อกลับมาคิดดูอีกที ก็เกิดความคิดเข้ามาเสี้ยวหนึ่งว่า หากเด็กคนนี้ไม่เกิดมา หญิงอันเป็นที่รักของเขาก็คงจะไม่ด่วนจากไปเช่นนี้ ทั้งนางกำนัลทั้งหมอหลวงที่อยู่ในตำหนัก ต่างก็อดที่จะเวทนาองค์หญิงน้อยไม่ได้ ไทเฮาเองก็ทรงเศร้าพระทัยเช่นกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD