หวงกุ้ยเฟยเมื่อถูกด่าว่าชุดใหญ่ก็ถึงกับก้มหน้างุดไม่กล้าโต้ตอบอันใดอีก จะให้นางโต้ตอบได้อย่างไรเล่า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงไทเฮาไม่ว่าอย่างไรก็มีอำนาจมากกว่านางอยู่แล้ว หากโต้ตอบไปก็รังแต่จะเป็นผลเสียต่อตนเองเปล่า ๆ นางจึงยอมเงียบลง แต่ในใจนั้นเดือดดาลยิ่งนัก
“เหตุใดจึงไม่มีเหตุผลมาแย้งข้าอีกเล่า ปกติแล้วเจ้าความคิดนักไม่ใช่หรืออย่างไร” ไทเฮายังคงกล่าวออกมาอย่างไม่ละความโกรธกริ้วที่มีต่อหวงกุ้ยเฟยอยู่ เพราะพระนางรู้แน่แก่ใจอยู่แล้วว่า ที่หวงกุ้ยเฟยเงียบนั้นไม่ใช่เพราะว่าสำนึกผิด แต่เป็นเพราะว่ารักษากิริยาไม่ให้ตนเองดูไม่ดีต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เท่านั้น
หวงกุ้ยเฟยยังคงก้มหน้างุดกล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “หม่อมฉันไม่คิดว่าการไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟางจะเป็นผลเสียอะไร เพคะ”
“หึ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งใส่ข้า มารยาของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้หรอกนะ ต่อให้เป็นผู้ใดมองก็รู้ว่าการที่เจ้าให้จิ่นซีไปอยู่ที่ตำหนักซู่ฟางนั้น เป็นการหลู่เกียรตินางถึงเพียงใด ตำหนักซู่ฟางนั้นเป็นตำหนักรวมองค์หญิงที่เกิดจากสนมชั้นผิน แต่จิ่นซีเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ที่เกิดกับฮองเฮา จะให้ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน เรื่องแค่นี้เจ้าตระหนักไม่ได้อย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องนี้ แล้วก็เลิกกล่าววาจายุแยงฝ่าบาทเสียที”
ไทเฮาตรัสความจริงที่พระนางทรงมองออกออกมาทั้งหมดอย่างไม่ไว้หน้าหวงกุ้ยเฟยแม้แต่น้อย
แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังเข้าใจว่าพระมารดาหมายถึงอะไร เชื้อพระวงศ์ที่นั่งอยู่แถวนั้นฟังแล้วต่างก็พยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วยกับไทเฮา สายตาของทุกคนที่มองมานั้นทำเอาหวงกุ้ยเฟยถึงกับหน้าชาไปพักหนึ่ง
หวงกุ้ยเฟยนางก้มหน้างุดหลบสายตาไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมา แต่ทว่ามือทั้งสองข้างกลับกำหมัดแน่นพลางจดบัญชีแค้นครั้งนี้เอาไว้ในใจอย่างเดือดดาล
ทุกครั้งที่นางปะทะกับไทเฮา ก็จะพยายามเก็บอาการเอาไว้ให้มากที่สุดเสมอ เนื่องด้วยอำนาจแล้วนางไม่สามารถที่จะต่อกรกับพระมารดาของฮ่องเต้ได้ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ยังให้ความสำคัญกับไทเฮามากกว่าผู้อื่น ทุกครั้งที่กลับมาที่ตำหนักก็จะระบายอารมณ์ด้วยการกรีดร้อง ขว้างปาข้าวของและก่นด่าไทเฮาจนกว่าจะพอใจ
บางครั้งถึงขั้นสาปแช่งเสียด้วยซ้ำว่าให้พระนางสิ้นพระชนม์ไว ๆ จะได้ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางทางนางอีก
จะว่าไปแล้วการที่หวงกุ้ยเฟยไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาเสียที ส่วนหนึ่งก็มาจากไทเฮาด้วย ในเมื่อพระมารดาของฮ่องเต้ไม่ให้การสนับสนุน อีกทั้งฮ่องเต้เองก็ยังรักฝังใจกับฮองเฮาพระองค์ก่อนอยู่มาก จึงทำให้หวงกุ้ยเฟยก้าวไปไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้ายเสียที
หนทางที่จะเป็นไปได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องผลักดันองค์ชายใหญ่โอรสของตนเองให้ได้รับเลือกให้เป็นองค์รัชทายาทให้ได้ จากนั้นตำแหน่งฮองเฮาก็จะอยู่ในมือของนางแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีว่าไทเฮาจะยังสั่งสอนหวงกุ้ยเฟยไม่หยุด ฮ่องเต้ที่เห็นว่างานเลี้ยงดี ๆ กำลังจะกลายเป็นศึกระหว่างพระมารดากับสนมก็รีบเอ่ยห้ามขึ้นมา
“ทั้งสองคนพอได้แล้ว พวกท่านจะทำให้งานเลี้ยงดี ๆ ต้องเสียความบันเทิง เห็นหรือไม่ว่าทุกคนมีสีหน้าที่ไม่สบายใจ” ฮ่องเต้ตรัสพลางยกมือห้ามให้ทั้งสองหยุดปะทะคารมคารมกันเสียที
“แม่ยังสั่งสอนนางไม่จบ เจ้าเองก็ควรจะรู้จักห้ามปรามนางบ้าง นับวันนางยิ่งจะเอาใหญ่แล้ว จนวางอำนาจไม่สนใจผู้ใดแม้แต่กับแม่” ไทเฮายังคงตรัสต่อ เพราะที่ตรัสมาก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นที่พอพระทัย
“เสด็จแม่มีอันใดจะสั่งสอนนางก็เก็บเอาไว้หลังงานเลี้ยงได้หรือไม่ ถือว่าเห็นแก่หน้าลูกเถิด”
สำหรับไทเฮาแล้วหากต้องการให้พระนางทำหรือหยุดทำอะไร ฮ่องเต้ก็ถึงกับต้องขอร้องด้วยตนเอง
“ก็ได้ แม่เห็นแก่หน้าเจ้า” ไทเฮาตรัสออกมาก่อนจะผินพระพักตร์ไปทางอื่นเพื่อไม่ได้เห็นหน้าหวงกุ้ยเฟยอีก
เมื่อทั้งสองสงบศึกกันได้ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ตรงนั้นก็ละสายตาแล้วกลับไปสนุกกับงานเลี้ยงตามเดิม การแสดงชุดต่อไปจะเริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นการรำดาบ ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับการแสดงครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการแสดงที่กองทัพฝึกซ้อมมาเพื่อให้ฮ่องเต้และบรรดาเชื้อพระวงศ์ได้ชมโดยเฉพาะ องค์หญิงใหญ่จิ่นซีเองก็ตื่นเต้นที่จะได้ชมเช่นกัน
เสียงอาวุธกระทบกันดังเคร้งคร้างไปทั่วบริเวณ การแสดงนั้นเหมือนกับการต่อสู้จริงยิ่งนัก องค์หญิงใหญ่จิ่นซีนั่งอยู่ไกลเกินไปมองเห็นได้ไม่ชัด จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นเพื่อดูการแสดงนั้นให้ถนัด
เมื่อลุกขึ้นยืนแล้ว ฮ่องเต้กลับเห็นนางได้ชัดกว่าเดิม พระองค์ทรงทอดพระเนตรธิดาองค์นี้ไม่วางตาก่อนจะตรัสเบา ๆ ออกมาว่า
“เจ้าช่างเหมือนมารดาของเจ้าจริง ๆ”
วันต่อมา...
วันนี้ฮ่องเต้มีงานค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นวันเริ่มต้นของปี เหล่าขุนนางต่างก็ต้องการสนทนาเรื่องแผนการของปีนี้ การประชุมในท้องพระโรงเช้าวันนี้จึงกินเวลาไปจนถึงเกือบเที่ยง หลังจากเสร็จจากว่าราชการเช้า ฮ่องเต้ยังไม่ทรงเสวยพระกระยาหาร แต่ทว่าต้องรีบเสด็จไปพบพระมารดาที่ตำหนักอวิ๋นผิงทันที เนื่องจากไทเฮาส่งขันทีมาตามฮ่องเต้ให้ไปพบ
ทันทีที่ทราบว่าฮ่องเต้รีบร้อนมาหาตนเองโดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ไทเฮาจึงได้สั่งให้คนจัดสำหรับชุดใหญ่ไว้สำหรับสองคน อาหารที่เตรียมไว้วันนี้มีมากมาย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารที่เป็นมงคลสำหรับวันปีใหม่ทั้งนั้น สองแม่ลูกกินข้าวกันไปสนทนาถามถึงสารทุกข์สุกดิบกันไป เมื่อสนทนามาได้สักพัก ไทเฮาจึงวางตะเกียบลงแล้วเข้าเรื่องเสียที
“เมื่อวานเจ้าได้เห็นจิ่นซีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” พระนางตรัสถาม ไม่ได้คาดหวังว่าฮ่องเต้จะต้องตอบคำถามได้อย่างตรงพระทัย เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าฮ่องเต้มีความคิดต่อธิดาองค์นี้ของตนเองอย่างไร ละวางความไม่พอใจในอดีตได้แล้วบ้างหรือยัง
“ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ตรัสตอบเพียงเท่านั้น
เมื่อคำตอบของบุตรชายยังไม่กระจ่าง ไทเฮาจึงได้ตรัสถามออกไปอีกครั้ง “ดีอย่างไร เจ้าลองขยายความให้แม่ฟังสักหน่อยเถิด”
“ลูกรู้สึกดีที่ได้พบหน้านางเป็นครั้งแรก และก็รู้สึกว่านางไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ที่ผ่านมา พวกเราพ่อลูกไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน เลยไม่ค่อยสนิทเหมือนกับลูกคนอื่น ๆ” ฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยความรู้สึกจากใจบางส่วน
แท้จริงแล้วพระองค์ยังมีความรู้สึกในใจที่มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีใจมากตอนที่เห็นหน้านางในงานเลี้ยง และการที่นางยังมีหน้าตาที่เหมือนกับมารดาของนางแบบไม่มีผิดเพี้ยนนั้น ทำให้พระองค์คิดถึงอดีตฮองเฮาขึ้นมา ความรู้สึกคะนึงหาที่บิดามีต่อบุตรซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อน และยังเสียใจที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรคนนี้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งความรู้สึกอื่น ๆ ที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำกล่าวใดได้
“ความจริงแล้วนางเหมือนกันมารดาของนางมากเลยใช่หรือไม่” ไทเฮาตรัสถาม ครั้งนี้พระนางเลือกที่จะจี้เป็นไปที่ความรู้สึกในใจของฮ่องเต้ เพื่อที่จะกระตุ้นให้พระองค์เห็นว่าองค์หญิงจิ่นซีมีความสำคัญขึ้นมา
ฮ่องเต้ทรงนั่งมองจอกน้ำชาอยู่พักหนึ่ง ราวกับอยู่ในภวังค์ของความคิด พระองค์กำลังคิดย้อนไปถึงตอนที่อดีตฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ ภาพที่พระนางกำลังอุ้มท้ององค์หญิงน้อยอยู่นั้นเป็นภาพที่อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงลูบท้องที่ป่องออกมาของพระนางอย่างเอ็นดูและกล่าววาจาหยอกล้อกับองค์หญิงจิ่นซีที่อยู่ในครรภ์อีกด้วย
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เหมือนมาก เหมือนจนลูกคิดถึงหน้ามารดาของนางไม่หยุดจนถึงตอนนี้” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมทอดถอนพระทัยอย่างเศร้าโศก