เช้าวันต่อมา...
องค์หญิงก็มาที่ตำหนักอวิ๋นผิงตามปกติเช่นทุกวัน นางกินข้าวกับไทเฮาก่อน จากนั้นก็เริ่มเรียนในส่วนของวันนี้ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน จึงค่อยยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ไทเฮาดู
“กระดาษอะไรหรือ” ไทเฮายังไม่ทันได้เปิดอ่านก็ตรัสถามก่อนออกมาอย่างสงสัย
“เป็นแผนที่ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง หลานลองคิดหาวิธีดูเพคะเสด็จย่า” องค์หญิงจิ่นซีตอบกลับไปด้วยแววตาที่จริงจัง
ไทเฮารับกระดาษนั้นมาด้วยความแปลกพระทัย แต่เมื่อคลี่ออกอ่านแล้วก็ต้องถึงกับเบิกตากว้าง เนื่องจากข้างในนั้นเขียนวิธีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาภัยแล้งเอาไว้ ทั้งการสร้างเขื่อนที่แม่น้ำฉางโจว ทำอ่างเก็บน้ำที่ทิศตะวันออกของเมือง นอกจากนั้นองค์หญิงยังอธิบายวิธีการต่าง ๆ เพิ่มเติมไปด้วย เนื่องจากคิดว่าข้อความในกระดาษอาจจะไม่เพียงพอ
ไทเฮาฟังอย่างตั้งใจพลางพยักหน้ารับ เพราะวิธีเหล่านี้สามารถเอาไปใช้งานได้จริง อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย
“โอ้ จิ่นซีหลานย่า ที่ย่าบ่นให้หลานฟังเมื่อวาน ไม่คิดว่าหลานจะเก็บเอาไปคิดต่อ และสามารถทำอกมาได้ดีถึงเพียงนี้อีกทั้งยังย่าคิดไม่ถึงว่าความคิดที่ชาญฉลาดเช่นนี้จะออกมาจากองค์หญิงตัวน้อย ๆ ที่อายุเพียงเจ็ดหนาวอย่างเจ้า เก่งจริง ๆ หลานย่า”
ไทเฮาตรัสออกมาอย่างพอพระทัยในตัวขององค์หญิงใหญ่ผู้นี้เพิ่มขึ้นไปอีก
“เสด็จย่าชมหลานเกินไปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็มาจากหนังสือที่เสด็จย่าประทานให้หลานทั้งนั้น ความดีนี้เสด็จย่าก็มีส่วนอยู่มากนะเพคะ” องค์หญิงจิ่นซีกล่าวออกมาอย่างถ่อมตน พร้อมกับยกความดีความชอบนี้ให้กับไทเฮาอีกด้วย
“เป็นเพราะเจ้าฉลาดหลักแหลมจริง ๆ จิ่นซี เป็นเพราะความฉลาดของเจ้าจะพาให้แคว้นเราพ้นจากภัยแล้งนี้ไปได้ เจ้าควรจะนำวิธีการนี้เสนอให้ฮ่องเต้ด้วยตนเอง”
ไทเฮายังตรัสชมเชยองค์หญิงจิ่นซีไม่ขาดปาก และต้องการให้องค์หญิงนำแผนการนี้ทูลเสนอฮ่องเต้ด้วยตัวเอง เพื่อที่นางจะได้มีความดีความชอบมากขึ้น
“หลานยังเด็กนัก คงไม่บังอาจที่จะเสนอวิธีการเช่นนี้”
องค์หญิงกล่าวออกมาอย่างถ่อมตน ซึ่งไทเฮาก็ไม่ขัดเนื่องจากเหตุผลนั้นฟังขึ้นไม่น้อย จากนั้นสองย่าหลานก็นั่งสนทนากันเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาภัยแล้งอีกสักพัก ก่อนที่จะถึงเวลาที่องค์หญิงต้องกลับตำหนักท้ายวังของตน
“หลานทูลลาเพคะ เสด็จย่า”
หลังจากที่องค์หญิงจิ่นซีกลับออกไป ไทเฮาก็ทรงคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกดูอีกครั้ง ก่อนจะทอดพระเนตรอย่างละเอียด เมื่อทอดพระเนตรครั้งแล้วครั้งเล่า พระนางก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในพระทัยคิดว่าไม่เสียแรงที่องค์หญิงผู้นี้เป็นถึงธิดาที่เกิดกับอดีตฮองเฮา เรื่องความฉลาดหลักแหลมของนางนั้น ไม่ทิ้งห่างผู้เป็นมารดาเลยจริง ๆ
“หลิวกงกง ไปทูลเชิญฝ่าบาทมาพบข้าที” ไทเฮาตรัสกับหวงกงกงพลางม้วนเก็บกระดาษแผ่นนั้นช้า ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงรับคำก่อนจะถอยกายแล้วรีบเดินไปยังตำหนักของฮ่องเต้ จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องทรงพระอักษร
ยามนี้ฮ่องเต้หยางหมิงอี้กำลังยุ่งอยู่กับการอ่านฎีกาเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาภัยแล้งจากเหล่าขุนนางอยู่ แต่ว่าอ่านมาเป็นร้อย ๆ ฉบับแล้ว ก็ยังไม่มีวิธีไหนที่คิดว่าจะจัดการกับปัญหานี้ได้เลยแม้แต่วิธีเดียว พระองค์จึงได้แต่ทอดถอนพระทัยออกมาอย่างหมดหวัง
“ในราชสำนักจะไร้ซึ่งคนมีความสามารถแล้วอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้พึมพำกับตนเอง ก่อนจะวางฎีกาในมือลงแล้ว ดันฎีกาที่ไม่เข้าท่าทั้งหมดออกห่างจากตัว
“ทูลฝ่าบาท หลิวกงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องทรงพระอักษรก็ดังขึ้นสองสามที พร้อมกับเสียงขันทีที่เฝ้าหน้าประตูดังขึ้น ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าให้หวงกงกงที่คอยรับใช้อยู่ เพื่อให้เขาออกไปเปิดประตู
เมื่อผู้ที่มาเป็นหลิวกงกง ฮ่องเต้ก็ทราบในทันทีว่าไทเฮาจะต้องมีเรื่องอยากพบกับพระองค์เป็นแน่ อย่างไรงานที่มีอยู่ในมือตอนนี้ก็ยังไม่คืบหน้าจึงได้วางงานเสีย และเสด็จตามหลิวกงกงไปยังตำหนักอวิ๋นผิง บางทีไทเฮาอาจจะมีความคิดอื่น ๆ ที่เป็นแนวทางให้พระองค์แก้ปัญหาได้ก็เป็นได้
พระอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูคิมหันต์สาดส่องร้อนแรงยิ่ง ระยะทางระหว่างห้องทรงพระอักษรกับตำหนักอวิ๋นผิงก็ไกลพอสมควร จนฮ่องเต้ถึงกับมีพระสาโทหลั่งไหลทั่วพระวรกาย ด้านหลังฉลองพระองค์เปียกชุ่ม ปกติแล้วถ้าเป็นผู้อื่นมักจะให้ผู้ติดตามคอยกางร่มให้ แต่ทว่าฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ค่อยชมชอบให้ผู้ใดมาดูแลใกล้ชิดถึงเพียงนั้น เพราะรู้สึกเกะกะไม่สะดวก การเดินตัวเปล่าย่อมสบายกว่า
“เสด็จแม่เรียกลูกมามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นทุกครั้ง เพราะสำหรับไทเฮานั้นไม่มีครั้งไหนเลยที่พระนางจะเรียกบุตรมาเพื่อคุยเล่น โดยที่ไม่มีเรื่องสำคัญ
ฮ่องเต้ประทับลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ กับไทเฮา นางกำนัลที่อยู่ข้างกายรินน้ำชาให้อย่างรู้หน้าที่
ไทเฮาทรงยื่นกระดาษแผ่นนั้นขององค์หญิงจิ่นซีให้กับฮ่องเต้
“เจ้าลองอ่านดู”
เห็นกระดาษม้วนมาอย่างมิดชิด ฮ่องเต้ก็ทรงแปลกพระทัยว่านี้คือกระดาษอันใดกัน แต่ทว่าเมื่อคลี่ออกอ่าน พระองค์ถึงกับทึ่งจนพระวรกายแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงยิ้มออกมาอย่างยินดี ในที่สุดปัญหาภัยแล้งที่หนักหน่วงนี้ก็มีวิธีการแก้ไขแล้ว
นอกจากจะให้ฮ่องเต้ดูกระดาษที่องค์หญิงจิ่นซีเขียนให้แล้วไทเฮายังคงอธิบายสิ่งที่นางกล่าวให้ฟังให้กับฮ่องเต้อีกด้วย ยิ่งได้เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดพระองค์ก็ยิ่งทรงยินดีปรีดา
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ช่วยลูกหาทางออก ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ก้มศีรษะคารวะไทเฮาอย่างรู้สึกสำนึกในบุญคุณ
การช่วยเหลือของไทเฮาครั้งนี้ เหมือนกับได้รับแสงสว่าง ฮ่องเต้ทรงกล่าวของพระทัยไทเฮาครั้งแล้วครั้งเล่าจนพระนางถึงกลับต้องห้ามไว้
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณแม่หรอก เพราะผู้ที่หาหนทางแก้ปัญหานี้มาช่วยเจ้านั้นไม่ใช่แม่” ไทเฮาทรงยิ้มเล็กน้อย เมื่อตรัสประโยคนี้ออกมา
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็แปลกพระทัยขึ้นไปอีก
“หากความคิดนี้มิได้มาจากเสด็จแม่แล้วเป็นความคิดของผู้ใดกันพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายคนอื่น ๆ อย่างนั้นหรือ แต่ว่าก่อนหน้านี้ลูกก็ให้องค์ชายทั้งหลายลองคิดหาทางแล้ว แต่ไม่พบว่ามีผู้ใดมีความคิดเช่นนี้เลยแม้แต่คนเดียวนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
ฮ่องเต้ตรัสถามออกมาอย่างสงสัย เนื่องจากที่ผ่านมาพระองค์ทรงมอบหมายเรื่องนี้ให้กับองค์ชายขบคิดแล้ว รวมถึงเหล่าขุนนางแต่ยังไม่มีผู้ใดแก้ปัญหานี้ได้เลย
“กระดาษแผ่นนี้เป็นจิ่นซีที่เขียนและเอามาให้แม่”
ไทเฮาตรัสขึ้นมาเพื่อไขข้อข้องใจของฮ่องเต้ และเป็นเพราะพระนางไม่อยากรั้งเอาความดีความชอบไว้กับตัว ในเมื่อเป็นความคิดของหลานสาวก็ย่อมต้องให้นางได้รับการชื่นชม อีกทั้งยังอยากใช้โอกาสนี้ช่วยสมานรอยร้าวระหว่างสองพ่อลูกไปพร้อมกัน
“จิ่นซีเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับฟังคำตอบแล้ว ฮ่องเต้ก็ถึงกับชะงัก แววตามีความนุ่มลึกขึ้นมา ขบคิดอยู่นานก็มีความรู้สึกภูมิใจในตัวธิดาองค์นี้อยู่ไม่น้อย
“นางมีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ลูกยิ่งคิดถึงอดีตฮองเฮาไม่ได้ เมื่อครั้งกระโน้นตอนที่มีปัญหาลูกก็ได้อดีตฮองเฮาที่ช่วยคิดช่วยกันแก้ปัญหาจนผ่านมาได้ ครั้งนี้เป็นจิ่นซีที่มาช่วยแก้ปัญหาอีก”
พระองค์ตรัสออกมาด้วยความชื่นพระทัยไม่น้อย
“หวงกงกง เจ้าไปเตรียมรายการของรางวัลที่เราประกาศว่าจะมอบให้คนที่แก้ปัญหาภัยแล้งได้ แล้วเอาไปมอบให้องค์หญิงจิ่นซีที่ตำหนักท้ายวังที” ฮ่องเต้รับสั่งออกไป ในเมื่อเป็นความคิดของนาง เป็นความดีความชอบขององค์หญิงใหญ่ ดังนั้นจึงควรที่จะมอบรางวัลให้กับนางอย่างสมเกียรติ
“พ่ะย่ะค่ะ” หวงกงกงรับคำ ก่อนจะไปจัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ ตามที่ได้รับพระบัญชา
รายการของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้กับองค์หญิงจิ่นซีมีมากมายยิ่งกว่าที่ประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นของมีค่าต่าง ๆ เครื่องเรือน ข้าวของเครื่องใช้ของสตรี ตำรา พู่กันและหมึกชั้นดี แพรพรรณ ทั้งหมดมากมายหลายหีบถูกนำไปส่งยังตำหนักท้ายวัง แต่ทว่าองค์หญิงกลับมิได้ยินดียินร้ายอะไร คิดแต่เพียงว่าที่ทำไปนั้นเพราะความกตัญญูที่บุตรพึงมีต่อบิดาเท่านั้น
จากนั้นฮ่องเต้ก็กลับมาที่ตำหนักหลวง พระองค์ทรงเรียกเหล่าขุนนางมาประชุมอย่างกะทันหัน