บทที่ 5
เจอกันอีกครั้ง
“คุณ!!” เสียงตะคอกเรียกดังสนั่นลานจอดรถจนคนทุกคนบริเวณนั้นหันไปมองเป็นตาเดียว เช่นเดียวกับพราวฟ้าที่กำลังรีบร้อนเข้าเรียน ทว่าพอหันไปมองดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เธอจำเขาได้
ผู้ชายตรงหน้าแต่งกายด้วยชุดสุภาพ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็กส์สีดำ รองเท้าหนังคัตชูราคาแพง เขามีใบหน้าที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่หลาย ๆ คนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อ คิ้วหนานั้นกำลังขมวดมุ่น นัยน์ตาสีเทาหม่นช่างมีเสน่ห์ เขาก้าวขายาว ๆ ไปหาเธอ ขณะที่คนตัวเล็กนั้นขาแข็งก้าวขาไม่ออก
กฤตยนัยสูงมากถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้า ขณะที่คนตัวเล็กตัวน้อยสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบ พราวฟ้ารีบเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาก่อนจะหมุนตัวเดินหนี แต่ก็ไม่ทันเมื่อเขายื่นแขนออกมาคว้าข้อมือของเธอไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งครับ ผม...ผมคือผู้ชายวันนั้น” เขาว่าน้ำเสียงตะกุกตะกักเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เห็นหน้าเธอแล้วเขาอยากร้องไห้ออกมา วันนั้น...ไม่น่าเลย
“ปะ ปล่อยค่ะ” เธอพยายามขยับข้อมือออกจากฝ่ามือของเขาด้วยความหวาดกลัว แววตาของเธอแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังกลัวเขามาก
“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่มีคุณค่าพอให้คุณยกโทษให้ แต่ผมอยากจะบอกกับคุณว่าผมเสียใจและรู้สึกผิดมาก ผมพร้อมรับผิดชอบคุณทุกอย่าง ทุก ๆ อย่างเพียงแค่คุณบอกมา” กฤตยนัยร่ายยาวออกมาราวกับท่องบทสวด เขาอยากคุกเข่าลงขอโทษเธอเสียด้วยซ้ำ แต่เธออยู่ในชุดนักศึกษาและเขาก็เป็นอาจารย์ สถานที่แห่งนี้คงไม่เหมาะ เกรงว่าเธอจะเสียหาย
“_” พราวฟ้าไม่ได้ตอบอะไร นอกจากความกลัวเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกเลย ไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เสียบริสุทธิ์ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขนาดนั้น
“ได้โปรดเถอะครับ ช่วยพูดอะไรสักหน่อย”
“พูด...คุณรู้ตัวว่าทำผิด ก็อย่าไปทำกับคนอื่น คนที่มีคุณค่ากว่าฉัน” เธอว่าเสียงนิ่งเรียบ เลื่อนสายตามองป้ายห้อยคอของเขาก็ต้องตกใจ “คุณเป็นอาจารย์...”
“ครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าคุณค่าอะไรเหรอครับ ทำไมคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า”
“ช่างเถอะค่ะ ถ้าคุณเป็นอาจารย์ก็ปล่อยมือออกจากแขนของฉันด้วย มันไม่เหมาะสม” เธอว่าพร้อมกับเลื่อนสายตามองไปรอบกาย ยังมีคนมองมาที่เขาและเธออยู่ ทำให้ชายหนุ่มยอมปล่อยมือออกในที่สุด แต่พอจะพูดด้วยอีกคนตัวเล็กก็รีบเดินหนีเสียก่อน
“อ้าว! คุณ” กฤตยนัยเดินตามอย่างไม่ลดละ บนตัวของเขาคาดด้วยกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ชายหนุ่มไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป อย่างน้อยก็อยากให้เธอตบหน้าเขาบ้าง ทว่า
“อ้าว! กฤตย! ถึงแล้วไม่โทรบอกล่ะ” เสียงคุ้นหูนั้นทำให้ฝ่าเท้าหนาหยุดชะงัก แต่ก่อนจะหันไปตามเสียงเขาก็เห็นว่าเธอคนนั้นเดินเข้าไปในห้องเรียนที่เขากำลังจะเข้าไปสอนพอดี
“เพิ่งถึงน่ะ” เขาหันไปหาเพื่อนสาวอาจารย์รุ่นเดียวกันแต่อยู่คนละมหา’ ลัย ซึ่งดาวประดับเป็นแฟนเก่าของเขาที่จบกันได้ด้วยดี
“เฮ้อ...ตลอดเลยนะ เมื่อไรจะเลิกนิสัยขี้เกรงใจคนอื่น รู้นะว่าที่ไม่โทรหาเพราะเกรงใจ”
“หึ นิดหน่อยน่ะ ไม่อยากรบกวนเธอ นี่เห็นไหมว่าไม่ต้องให้เธอมานำทางฉันก็มาถึงห้องสอนพอดี” ดาวประดับหันไปมองตามสายตาของคนเป็นเพื่อน ก็เห็นว่าเป็นห้องสอนพอดิบพอดีอย่างที่เขาว่า
“แต่เมื่อกี้เหมือนเห็นว่านายเดินตามนักศึกษานี่ ไม่ได้มาเองสักหน่อย” ดาวประดับคิดว่ากฤตยนัยให้นักศึกษาพามา ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาสอนแล้วก็เลยไม่อยากอธิบายอะไรอีก
“เดี๋ยวเราไปสอนก่อน” " เขาว่าเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องเรียนทันที ร่างหนาเปิดประตูเข้าไปก็ทำให้นักศึกษาที่คุยกันเสียงเจื้อยแจ้วเงียบลงอย่างอัตโนมัติ เช่นเดียวกับพราวฟ้าที่ตกใจกับเขาคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงกลางเวทีสำหรับการบรรยายวันนี้
“ไม่เป็นไรครับ คุยต่อได้เลยเดี๋ยวผมขอเชื่อมต่อจอโปรเจคเตอร์ก่อน” กฤตยนัยคว้าไมค์โครโฟนมาพูด พร้อมกับวางสัมภาระของตัวเองลงบนโต๊ะทำงานบนเวที ซึ่งเสียงของนักศึกษาก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงแห่งการชื่นชมความหน้าตาดีของอาจารย์จากมหา’ลัยอื่น
...พราวฟ้าอยากหนีออกจากห้องเรียนนี้เต็มแก่ ไม่รู้ว่าสวรรค์เป็นใจหรือกลั่นแกล้งกันแน่ อยู่ ๆ เขาก็เป็นอาจารย์ที่ถูกยืมตัวมาจากมหา’ลัยอื่น หลังจากที่...จุด ๆ กับเธอไปแล้ว
“ยัยพราว! แกได้ยินฉันไหมเนี่ย”
“หืม อ้อ...ดะ ได้ยินสิ” พราวฟ้าหันไปคุยกับเพื่อนสาว ไข่มุกถึงกับชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อคนเป็นเพื่อนโกหก
“ได้ยินแล้วทำไมไม่ตอบล่ะ เมื่อกี้เป็นคำถามนะ”
“อะ อ้าว..แฮะ ๆ แล้วแกถามว่าอะไรนะ” พราวฟ้าเกาหัวแกรก ๆ แก้เขิน
“ฉันถามว่าวันนี้ไปทำงานหรือเปล่า”
“อ้อ ไปสิ”
“โอเค ฉันจะได้ไปชวนคนอื่นไปช้อปปิ้ง” พราวฟ้ายิ้มเจื่อนให้กับเพื่อนสาว เธอไม่เคยไปเที่ยวช้อปปิ้งในแบบที่สาว ๆ วัยรุ่นชอบทำเลย บางครั้งก็น้อยใจที่ไม่ได้มีโอกาสแบบนั้น
“ว่าแต่ว่าทำไมอาจารย์หล่อจังเนอะแก” พราวฟ้าละสายตาจากคนเป็นเพื่อนหันกลับไปมองเขาคนนั้น ก่อนจะเห็นว่าเขามองเธอตาไม่กะพริบอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะกำลังถือไมค์พูดอะไร เขาก็เอาแต่มองหน้าเธอไม่ละสายตาจนตัวเธอรู้สึกแปลก ๆ ตามไปด้วย...