เมนิลา & รามิล 1 - กลับเมืองไทย
สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน หลังจากสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดดีขึ้น ผู้คนก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยว เมนิลาและเพื่อนสนิทอีกสองคนเดินทางมาที่ร้านกาแฟเพื่อหาอะไรดื่ม เนื่องจากทั้งสามเพิ่งลงเครื่องมาและรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมาก จึงต้องหาตัวช่วยที่จะคลายความง่วงได้
“แกเอาอะไร”
มีนาเอ่ยถามเมนิลาและมินตราก่อนที่ทั้งสองจะตอบพร้อมเพรียงกัน
“อเมริกาโน่ ขอเข้มๆ”
ทั้งสองแทบประสานเสียง วินาทีนี้คงไม่มีอะไรที่จะช่วยให้พวกเธอกระปรี้กระเปร่าได้มากเท่ากาแฟเข้มๆ อีกแล้ว ทั้งสามนั่งคุยกันระหว่างรอคนขับรถมารับ มินตราและมีนาดื่มเพียงกาแฟ ในขณะที่เมนิลานั้นเพิ่มครัวซองค์หนึ่งชิ้นเพื่อรองท้อง
“ฉันง่วงมาก สงสัยอยู่อังกฤษนานเลยไม่ชินกับเวลา”
มินตราเอ่ยขึ้น เธอถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษตัวแต่อายุเพียงสิบสองปี โดยไปอาศัยอยู่กับญาติที่เปิดร้านอาหารอยู่ในเมืองเล็กๆ แถวภากรออก แต่หลังจากเรียนจบไฮสคูลเธอก็เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในลอนดอน
ส่วนมีนานั้นเกิดและเติบโตที่อังกฤษ แต่เพราะมีครอบครัวอยู่ที่ไทยจึงตัดสินใจตามเพื่อนทั้งสองกลับมาด้วย
“ที่นี่คือบ้านเกิดพ่อและแม่ แต่ฉันไม่ชินเลยอะ”
มีนาว่าอย่างนั้นก่อนที่เธอจะดูดกาแฟจนหมดแก้ว หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนที่เธอจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แม้ว่าจะพออ่านภาษาไทยได้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจทุกคำ เธอจึงขอร้องให้เพื่อนทั้งสองช่วยแปล
“ฉันไม่เข้าใจ แปลหน่อย”
“ย่าเธอส่งข้อความมาว่าจะส่งคนมารับ”
มีนาพยักหน้าก่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นและบอกลาเพื่อนๆ เพื่อลงไปรอที่จุดนัดพบ ในขณะที่เมษานั้นก็ขอตัวไปช็อปปิ้ง
“ไปด้วยกันไหม”
ตอนแรกเมนิลาจะไปด้วยแต่เสียงโทรศัพท์นั้นดังขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวกดรับสายก่อนที่เธอจะเอ่ยขอโทษเพื่อนสนิทเนื่องจากรถขับรถที่บ้านมารอรับแล้ว เธอจึงไม่สามารถไปกับอีกฝ่ายได้
“ขอโทษนะแก คนที่บ้านมารอแล้ว”
“ไม่เป็นไร แกรีบกลับเถอะ ถึงแล้วโทรมาด้วยล่ะ”
มีนาเอ่ยบอกเพื่อนสาวก่อนที่ทั้งสองจะโบกมือลากัน เมนิลาเดินลงมาชั้นล่างก่อนที่เธอจะมองหารถคันหรูของที่บ้านซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลมากนัก
“สวัสดีครับคุณหนู”
ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทายก่อนที่เขาจะยกกระเป๋าไปเก็บหลังรถ ตลอดเส้นทางกลับบ้านหญิงสาวรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าในเวลาไม่กี่ปี ประเทศไทยจะเจริญขึ้นมาก ถนนหนทางก็ดีขึ้นทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
“คุณหนูจะแวะที่ไหนไหมครับ”
“ไม่ดีกว่า กลับบ้านเลยละกัน”
หญิงสาวว่าอย่างนั้นก่อนเอนกายพิงเบาะ ชีวิตของเธอช่างสุขสบาย มีคนขับรถให้นั่งไม่ต้องไปยืนโบกแท็กซี่ ไม่ต้องยกของเอง หญิงสาวยังคงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยมากนัก พ่อกับแม่เป็นเพียงพนักงานเงินเดือน มีเงินพอกินพอใช้ไม่ลำบากขัดสน
แต่หลังจากที่พี่ชายอย่างภากรเรียนจบ เขาก็เข้าทำงานที่บริษัทนำเข้ารถหรูแห่งหนึ่ง และหลังจากนั้นไม่กี่ปี ฐานะครอบครัวก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ก่อนที่เขาจะลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองและประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
นึกถึงพี่ชายแล้วใบหน้าสวยก็มีรอยยิ้ม แม้ภากรจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็เป็นลูกชายที่รักพ่อแม่และรักน้องสาวเป็นอย่างมาก