เมธาวินเดินมาถึงบันไดแล้วหันกลับมาถามคนที่โยกตัวเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองคนที่ยืนจ้องโยธกาไม่กะพริบตา
“เดินขึ้นชั้นสามไหวไหม”
“ถ้าไม่ไหวจะอุ้มไหมคะ”
“ไม่”
ซิงซิงตาโตกับบทสนทนาของทั้งคู่
“งั้นก็ต้องไหวค่ะ” หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความมึนออกไป แต่แน่นอนว่าคนคออ่อนก้าวขาไปเหยียบบันไดขั้นที่สองแล้วจะก้าวขาขึ้นไป
ซิงซิงจะคว้าเธอไว้เพราะเห็นว่าเธอคงไม่ไหว แต่ก็ช้ากว่ามือหนาของใครบางคน
“แกล้งหรือเปล่า” เมธาวินคว้าเธอไว้แต่ก็ยังถามเพื่อความแน่ใจ
“แกล้งอะไรคะ” เธอสะบัดมือเขาออกแล้วทำหน้างงๆ
“ไม่ต้องขึ้นไปแล้ว ตามมานี่” เขาบอกแล้วก็ดึงแขนเธอให้เดินอ้อมบันไดออกไปยังจุดที่เป็นทางหนีไฟ การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ก็เปิดออกให้พวกเขาเดินออกไปยังลานจอดรถ เมื่อบานประตูผับปิดเสียงเพลงก็เบาบางลงแม้จะผสานเสียงกับผับอื่นที่แทรกเข้ามาแต่ก็ไม่ได้รบกวนการคุย
ชายหนุ่มปล่อยมือจากแขนของโยธกาเมื่อเห็นว่าเธอยังยืนได้อย่างมั่นคงอยู่
“คุณมาร์คคุยกับคุณปู่แล้วใช่ไหมคะ”
“คุยแล้ว”
หญิงสาวรู้ว่าเขาจะมาขอโทษที่เคยบอกให้เธอถอนหมั้นเพราะรู้ความจริงแล้ว
“โยไม่โกรธหรอกค่ะ คุณมาร์คไม่ต้องขอโทษ”
“ขอโทษ?”
“ก็ที่เคยบอกให้ถอนหมั้นไงคะ ตอนนี้คงรู้เหตุผลแล้วใช่ไหมคะว่าทำไมคุณปู่คุณมาร์คอยากให้เราหมั้นกัน”
“...” เมธาวินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกถึงคำพูดของมิ่งขวัญ
‘หนูโยเขาคิดว่าปู่มีบุญคุณ เขาเลยยอมหมั้นเพื่อให้ปู่มีความสุขและสบายใจที่ได้เห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา แกเองไม่อยากเห็นปู่มีความสุขเหรอ ทำไมต่อต้านนัก’
“อย่างที่บอกแหละค่ะ เราควรหมั้นกันหลอกๆ ผ่านไปแค่ปีเดียวค่อยถอนหมั้นก็ได้ ตอนนั้นอะไรๆ ก็คงดีขึ้น”
หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม
“หมั้นหลอกๆ” คนที่ทวนคำไม่ใช่เมธาวิน แต่เป็นซิงซิง ที่พึมพำอยู่คนเดียว
“คุณซิงซิงห้ามบอกปู่มิ่งขวัญนะคะ” โยธกาหันมาพูดกับคนที่กลายเป็นพยานไปโดยปริยาย เธอเชื่อว่าเมธาวินให้เขาอยู่ตรงนี้ได้เขาก็ฟังเรื่องของพวกเธอได้
“คุณจำชื่อผมได้ด้วย” หนุ่มจีนหัวใจไทยอุทาน
“ชื่อคุณจำง่ายค่ะ” สิ่งที่เธอบอกเรียกเสียงหัวเราะให้กับคนชื่อจำง่าย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว โยกลับไปหาเพื่อนก่อนนะคะ พรุ่งนี้เพื่อนโยต้องทำงานแต่เช้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
“ใครบอกไม่มีอะไรแล้ว” เมธาวินบอกเสียงห้วน
“มีอะไรอีกก็พูดมาสิคะ” โยธกาไม่สนท่าทางเคร่งขรึมนั้นแม้แต่น้อยนิด
“ไม่มีอะไรอีก...”
“อ้าว” เธอไม่รอให้เขาพูดจบก็แทรกเพราะเริ่มเดือด “ไม่น่าเชื่อว่าคุณมาร์คจะกวนก็เป็น”
“ไม่ได้กวน!” ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโกรธจนลมออกหู “ฉันจะคุยเรื่องเดิมคือเรื่องให้เธอถอนหมั้น ฉันคุยกับปู่แล้ว ไม่มีเหตุผลจำเป็นอะไรที่ต้องหมั้นเพื่อเอาใจท่าน ความกตัญญูมันทดแทนได้ด้วยหลายวิธี ไม่ใช่แค่หมั้นกับหลานชายผู้มีพระคุณ”
“เหลือเชื่อเลย โยไม่นึกว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
โยธกามองหน้าเขาเหมือนเหลือเชื่อ ปกติเธอคงไม่แสดงสีหน้าชัดเจนขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอเมา การรักษามารยาทตามหน้าที่แม่ค้าขนมหวานจึงถูกลืม
“เป็นคนยังไง”
“คุณรับปากท่านว่าจะหมั้นกับโยเพราะกลัวไม่ได้สมบัติ แต่ในความจริงแล้วแค่จะแกล้งทำไปเพื่อให้ท่านสบายใจไปแค่ช่วงหนึ่งคุณก็ไม่ได้อยากทำเลย เท่านั้นยังไม่พอยังใช้โยเป็นเครื่องมือเพื่อบอกยกเลิกการหมั้นอีก คุณรักคุณปู่คุณบ้างไหม ขนาดโยเป็นคนนอกยังอยากให้ท่านมีความสุขเลย”
เมธาวินนิ่งขึง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วแหงนหน้ามองคานของตัวอาคาร
“ใจเย็นๆ มาร์ค ใจเย็นๆ” ซิงซิงตบไหล่เพื่อน เขาเข้าใจว่าทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเอง “ผมเชื่อว่ามาร์คก็รักปู่แล้วก็อยากให้ปู่มีความสุขเหมือนกับคุณ แต่คุณต้องเข้าใจด้วยว่าเขาไม่พร้อมกับการหมั้นหรือแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”
เมธาวินใจเย็นลงเมื่อซิงซิงช่วยอธิบายความรู้สึกของเขาให้โยธกาฟัง แต่...
“เอาจริงๆ ผมว่าการหมั้นหลอกๆ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคนนะ หมั้นไปสักปีแล้วบอกว่าไม่ชอบกันแล้วขอถอนหมั้นอะไรอย่างนี้”
ตกลงไอ้ซิงซิงเป็นพวกใครวะ... คนที่หัวร้อนขึ้นมาอีกครั้งมีคำถามขึ้นมาในใจ
“แกคิดว่าคนแบบปู่ฉันจะยอมเหรอ ตาแก่นั่นได้คืบจะเอาศอกแน่นอน ถ้ายอมหมั้น สิ่งที่เขาจะบังคับต่อไปคือเรื่องแต่งงาน สุดท้ายก็จะทวงถามเรื่องมีหลาน คุณคิดว่ารับมือไหวเหรอ” เมธาวินถามโยธกา แม้เขาจะอยู่กับปู่มาตลอดและไม่ค่อยขัดใจท่านแต่นั่นมันคือเรื่องงาน ไม่ได้หมายถึงเรื่องส่วนตัวที่เขาก็มีความต้องการของตัวเองเหมือนกัน...
“โยรับมือได้ค่ะ ถึงตอนนั้นก็แค่บอกท่านไปตรงๆ ว่าเราไม่อยากหมั้นกันแล้วท่านอยากให้แต่งงานอยากให้มีหลานก็คงต้องล้มเลิก ถึงตอนนั้นโยจะขอถอนหมั้นเอง โอเคไหมคะ” หญิงสาวพูดแล้วก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเหมือนจะอยากให้เขาเออออตาม
เมธาวินอยากจะบ้าตาย เขากับเธอคุยเรื่องเดียวกันแต่พูดไปคนละทางตลอด แม่สื่อผูกดวงยังไงให้สมพงศ์กันวะ ดวงจับคู่แล้วหายนะมากกว่าไหม
“เอาตามนี้นะคะ”
“ไม่เอาตามนี้ แต่ผมจะไม่คุยเรื่องนี้อีก คุณควรเอากลับไปคิดให้ดี ว่าจะรับมือไหวจริงอย่างที่คิดไหม เพราะมันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากอย่างที่คุณพูดแน่นอน”
เมธาวินว่าแล้วเดินไปกดรหัสเปิดประตูให้เธอแม้จะยังหน้าตึงอยู่
“โยขอกลับไปหาเพื่อนก่อนนะคะ”
“เชิญ!”
หญิงสาวโบกมือให้เขาโดยไม่สนท่าทางเหมือนจะอยากสั่งเก็บเธอให้พ้นหน้าแม้แต่น้อย หญิงสาวโปรยยิ้มให้เขากับซิงซิงอย่างเป็นมิตรก่อนจากไป
“เฮ้ย ไหนนายว่าจะแนะนำให้เราสองคนรู้จักกันไง” ระหว่างที่เดินขึ้นชั้นสามซิงซิงก็ทวงเมื่อนึกขึ้นมาได้
“ถามจริง เห็นแบบนั้นแล้วยังสนใจอยู่เหรอ”
“โคตรสนใจเลย”
เมธาวินหันมามองซิงซิงเหมือนเหลือเชื่อ ชีวิตไอ้หมอนี่มันมีความสุขและเรียบง่ายเกินไปหรือไง ถึงอยากหาเรื่องมาใส่ตัวนัก!