บทที่ 4 หมดเวลาแสร้งทำ
หลังจากที่หม่าชิงจูตั้งครรภ์ จ้าวเสวี่ยก็ไม่ได้ทำตามคำพูดที่เขาเคยให้ไว้กับอู๋เยว่ฉินผู้เป็นฮูหยินเอกเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้จัดการอนุทั้งหลายให้ออกไปจากจวน ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่ออนุที่มีอยู่ไม่มีใครสามารถตั้งครรภ์ได้ เขาก็รับเอาสตรีนางอื่นมาเป็นอนุอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าเวลานี้เรือนหลังของสกุลจ้าวนั้นแทบจะมีที่ไม่พอให้สตรีของเจ้าของเรือนอาศัยอยู่
กระทั่งหลายเดือนต่อมาหม่าชิงจูก็ถึงกำหนดคลอดบุตร จ้าวเสวี่ยหมายมั่นปั้นมืออย่างยิ่งว่าลูกในท้องของนางนั้นจะคลอดออกมาเป็นชายและถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาก็จะนับว่าหม่าชิงจูนั้นมีความดีความชอบที่คลอดลูกชายได้ ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่เขาจะมอบตำแหน่งฮูหยินรองให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นรางวัลในความชอบนี้
อันที่จริงตำแหน่งฮูหยินรองนั้นไม่ได้ว่าง ทว่าเพื่อหม่าชิงจูแล้วจ้าวเสวี่ยสามารถทำให้ว่างลงได้ เพียงแค่คำพูดเดียวของเขา
ทว่า...สวรรค์กลับไม่ได้เห็นดีเห็นงามในความคิดจะฆ่าคนเอาตำแหน่งของจ้าวเสวี่ย ลูกที่เกิดจากหม่าชิงจูจึงไม่ได้คลอดออกมาเป็นชายอย่างที่เขาตั้งใจ
“ต่อไปนี้จวนตระกูลจ้าวมีคุณหนูสามนามว่าจ้าวเสวี่ยอิง” พูดจบจ้าวเสวี่ยก็เดินออกมาจากห้องของหม่าชิงจูด้วยความรู้สึกผิดหวัง
หากไม่นับอู๋เยว่ฉินผู้เป็นภรรยาเอก หม่าชิงจูก็คือรักแรกและเป็นสตรีนางเดียวที่เขารักมากที่สุด แต่ด้วยเพราะฐานะของนางไม่เหมาะสมที่จะเป็นภรรยาเอก เขาจึงได้สั่งให้นางทำตัวนอบน้อมต่ออู๋เยว่ฉินผู้เป็นภรรยาเอกเพื่อความอยู่รอดของตัวนางเอง
แรกๆ ก็เหมือนทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้นด้วยดี ทว่าพออู๋เยว่ฉินตั้งครรภ์และคลอดบุตรฝาแฝดชายหญิง หม่าชิงจูก็อดทนกักเก็บความรู้สึกน้อยใจและอิจฉาริษยาเอาไว้ไม่ไหว นางใช้สารพัดวิธีเพื่อที่จะทำให้เขาไปหานาง พอนางทำสำเร็จก็ยังมิวายออดอ้อนร้องขอให้เขาทำตามแผนการของนางโดยการขอให้เขามาค้างกับนางทุกคืนเพื่อที่นางจะได้ตั้งครรภ์บ้าง
และทั้งๆ ที่เขาบอกนางแล้วว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งนาง ต่อให้นางไม่มีลูกให้เขา ทว่าหม่าชิงจูก็ใช้จุดอ่อนของเขามาโจมตีเขา ซึ่งจุดอ่อนที่ว่านั้นก็คือการที่เขาเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล อีกทั้งนางยังยกข้ออ้างต่างๆ นานามาพูดอีกว่าเขาแก่ปานนี้แล้ว หากบุตรชายของอู๋เยว่ฉินเลี้ยงไม่โตขึ้นมาตระกูลจ้าวทั้งตระกูลคงจบสิ้น
ตอนนั้นแม้เขาจะรู้สึกโกรธที่นางพูดจาคล้ายกับกำลังสาปแช่งบุตรชายของเขาเพียงใด ทว่าพอลองคิดตามคำพูดนั้นเขาก็เห็นว่ามีส่วนจริงอยู่บ้าง สุดท้ายแล้วเขาจึงได้ทำตามแผนของหม่าชิงจูโดยการไปขอมีลูกกับอนุคนอื่นอีก ทั้งยังบอกว่าจะนอนค้างกับพวกนางทั้งหมดทุกคน ทว่าความจริงแล้วเรือนเดียวที่เขายอมค้างคืนจนเช้าด้วยกลับมีเพียงเรือนของหม่าชิงจูเท่านั้น
ทว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้คลอดลูกชายให้เขาอย่างที่นางโอ้อวด
แต่ถึงจะผิดหวังอย่างนั้นจ้าวเสวี่ยก็ไม่ได้เกลียดชังหรือลงโทษหม่าชิงจูแต่อย่างใด ด้วยเพราะลึกลงไปในใจเขาก็รักใคร่นางมากพอๆ กับที่เขาต้องให้เกียรติอู๋เยว่ฉินภรรยาเอกของตน
และไม่ว่าเขาจะรับอนุเข้าเรือนมาอีกสักกี่คน หม่าชิงจูก็ยังคงเป็นคนสำคัญสำหรับจ้าวเสวี่ยเสมอมา ยิ่งพวกเขามีบุตรสาวด้วยกันก็ยิ่งคล้ายกับว่าความรักของพวกเขาทั้งสองจะเบ่งบานมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะที่ความสัมพันธ์กับอู๋เยว่ฉินผู้เป็นภรรยาเอกกลับคล้ายเป็นเพียงหน้าที่หนึ่งของเขาเท่านั้น เพราะหลังจากที่นางคลอดบุตรฝาแฝดให้เขา บุรุษผู้นั้นกับนางก็ไม่ค่อยนอนร่วมเตียงกันอีกไม่ได้เป็นเพราะนางต้องดูแลลูกๆ ที่ยังเป็นเพียงเด็กอ่อนเท่านั้น แต่ใจของบุรุษผู้นั้นก็มิคิดจะอยากจะนอนร่วมห้องกับนางด้วยเช่นกัน
แล้วทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดหกปีเต็ม
“ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อครู่ปิงเอ๋อร์เห็นท่านพ่อกลับมาแล้ว...แต่ท่านพ่อ” จ้าวเสวี่ยปิงหยุดคำพูดของตนเองไว้เพียงเท่านั้นแล้วหลุบสายตาลงต่ำมองพื้นด้านล่าง
นับตั้งแต่เติบใหญ่ขึ้นมาและเริ่มจำความได้ จ้าวเสวี่ยปิงไม่เคยมีสักครั้งเลยที่จะได้นอนกอดบิดา ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้างกายของนางมีเพียงมารดา พี่ชาย แม่นมอาซินและเหลียนฝาง คนสนิทของมารดาเท่านั้นที่คอยฟูมฟัก ส่วนความรักความอบอุ่นจากบิดานั้นเป็นสิ่งที่นางไม่ค่อยจะได้สัมผัส
เพราะมารดาไม่ใช่สตรีในดวงใจของบิดา นางที่เป็นบุตรของมารดาจึงไม่ได้รับความรักจากบิดามากเท่าน้องสาวต่างมารดาอย่างจ้าวเสวี่ยอิง นี่คือสิ่งที่นางรับรู้มาได้หลังจากแอบไปได้ยินบ่าวไพร่ในเรือนคุยกันและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจ้าวเสวี่ยปิงก็มักจะคอยไปยืนรอบิดาที่หน้าจวนตลอดแทบทุกวัน เพื่อให้ผู้เป็นบิดาได้เห็นหน้าและนางเองก็จะได้เห็นหน้าบิดาเช่นกัน
ทว่า...นางทำเช่นนั้นมาหลายเดือนแล้ว ทว่าบิดาของนางกลับไม่เคยเลยที่จะอุ้มหรือโอบกอดนางแม้เพียงสักครั้ง เขาทำเพียงพยักหน้าและยิ้มบางๆ ให้นาง จากนั้นก็เดินไปหาอนุหม่าและอิงเอ๋อร์ พวกเขาทั้งสามพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นผู้เป็นบิดาก็ย่อตัวลงไปอุ้มน้องสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดแล้วเดินกลับเข้าเรือนไป
ภาพนั้นเป็นสิ่งที่จ้าวเสวี่ยปิงเห็นมาตลอดหลายปีและวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
“ปิงเอ๋อร์ มาหาแม่มา” อู๋เยว่ฉินวางผ้าที่กำลังอยู่ในมือลงก่อนจะหันหน้าไปเอ่ยเรียกลูกสาว
“ท่านแม่” เด็กน้อยเอ่ยเรียกมารดาเสียงสั่นด้วยเพราะเจ้าตัวกำลังกลั้นน้ำตา
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยห้าขวบเดินเข้ามาในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่แล้วใบหน้าน้อยๆ ซบลงตรงอกอุ่นพร้อมกับน้ำตาใสๆ ที่ไหลหยดเปื้อนเสื้อมารดา
“ทะ...ท่านแม่ ฮะ ฮึก!” จ้าวเสวี่ยปิงสะอื้นไห้ในอ้อมแขนของมารดา ร่างเล็กของนางสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร อู๋เยว่ฉินรู้สึกสะท้อนในอกและสงสารบุตรสาวจับใจ ทว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่บุตรสาวของนางเป็นแบบนี้
จ้าวเสวี่ยปิงโหยหาความรักความอบอุ่นของผู้เป็นบิดามาตั้งแต่นางเริ่มรู้ความ เด็กน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นบิดา ทว่าความต้องการของนางกลับไม่เคยได้รับการตอบสนองจากผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่านางผู้เป็นมารดาและเป็นภรรยาเอกของเขาจะเคยเอ่ยปากเรื่องนี้กับเขาหลายครั้งแล้วก็ตาม
แต่ความรู้สึกของคนมีหรือที่จะบังคับกะเกณฑ์ได้