พีรวัสเดินเข้าไปในห้องทำงานเพราะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ก่อนเข้าเมือง ทันทีที่เขานั่งลงเพียงออก็วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเช่นกัน ชายหนุ่มเงยหน้ามองทันที
“ประจบจะเอาอะไร ยายหมาเน่า” พีรวัสคิดว่าตนเองติดความคิดนี้จากพีรดามาเสียแล้ว และคงเดาถูกเพราะเพียงออยิ้มตอบแล้วถามทันที
“อยากรู้เรื่องที่คุณท่านเดินออกจากโต๊ะเมื่อเช้า”
“อ้าว เรากินข้าวกับป้า ทำไมไม่ถามแกละ”คำถามกลับของพีรวัสกระชากรอยยิ้มจากใบหน้าอีกฝ่ายทันที ก่อนเจ้าหล่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยยิ้มอีกครั้งแล้วถามอีกหน
“คุณพีก็รู้ว่าคุณท่านจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นเมื่อออกมาจากสถานการณ์นั้นแล้ว ฉันไม่กล้าถาม” หล่อนไม่พูดเปล่าแต่ขยับไปกอดแขนแล้วซบหน้าลงไปประจบออดอ้อนเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน แต่กลับถูกเจ้าของผลักหัวส่ง
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก มาช่วยเตรียมเอกสารดีกว่า ฉันต้องรีบไป ติดต่อกับราชการต้องเผื่อเวลาไปจองคิวแต่เนิ่นๆ”
“คุณพีอะ” เพียงออพูดอุบอิบแล้วไปทำงานตามคำสั่ง
“วินัย วันนี้ช่วยสอนงานยายเพี้ยงด้วยนะ ไม่ต้องเข้าไร่” พีรวัสตะโกนบอกเมื่อเห็นวินัยเดินผ่านหน้าห้อง คนถูกไหว้วานจึงเดินเข้ามาในห้องทันที
“ผมว่าจะไปเป็นเพื่อนนายด้วย” วินัยว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้ามาที่สำนักงานในเช้านี้ แทนที่จะเข้าไปคุมคนงานในไร่เหมือนวันก่อนๆ
“ทำไมต้องไปเป็นเพื่อนวะ ฉันไม่ใช่เด็กๆ นะ” พีรวัสว่า ก่อนนึกขึ้นได้จึงพูดต่อ
“ไม่ต้องห่วงต่างคนต่างอยู่กันมานานแล้วนี่ แต่ยังไงก็ขอบใจที่เป็นห่วง ฝากสอนงานยายเพี้ยงด้วยก็แล้วกัน”
“ครับนาย” วินัยจำต้องยอมทำตามใจเจ้านาย
“ไปละ” พีรวัสบอกเมื่อเพียงออส่งกระเป๋าเอกสารให้ ทั้งสองคนเดินตามไปส่งถึงประตูสำนักงาน มองจนพีรวัสขึ้นรถแล้วขับออกไป
“พี่วินัยมีเรื่องอะไรที่ต้องห่วงคุณพีหรือคะ” เพียงออไม่ปล่อยให้โอกาสลอยหลุดไปรีบถามทันที
“เปล่านี่จ๊ะ แต่ขับรถไกลพี่ก็แค่อยากไปช่วยขับ”วินัยบอกแล้วเดินกลับ
“แน่หรือคะ” หล่อนยังไม่เชื่อแล้วเดินไปดักหน้าก่อนเขาจะนั่งลง
“แน่สิ มาทำงานเถอะ” วินัยพูดยิ้มๆ ก่อนนั่งลงที่โต๊ะทำงานของพีรวัสเพราะใกล้กับโต๊ะของเพียงออเพื่อสะดวกในการสอนงานหรือตอบข้อติดขัดให้ แต่เจ้าหล่อนไม่ได้ว่าง่ายกับวินัยเหมือนกับพีรวัส
เพียงออเดินไปหยิบปิ่นโตอาหารกลางวันของตัวเองมาวางตรงหน้าวินัยแล้วเปิดออกวางเรียงทีละชั้น
“ข้าวกล้องของเราเองหุงใหม่ๆ หอมอร่อย ไข่เจียวหมูสับยังอุ่นๆ กะเพราทะเลกุ้งตัวโตๆ หมึกชิ้นใหญ่ แถมมีปลากะพงทอดชิ้นโตๆ แล้วยังมีต้มจืดเต้าหู้หมูสับเพื่อความคล่องคอ รสมือป้าแดงพี่วินัยน่าจะจำได้ว่าอร่อยขนาดไหน ทานสิคะน้องเอามาเผื่อ” หล่อนสาธยายเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมยิ้มเชิญชวน
วินัยมองกับข้าวแล้วมองรอยยิ้มเพียงออก่อนพ่นลมหายใจ
“เฮ้อ! ให้มันได้อย่างนี้สิยายเพี้ยง นั่งๆ อยากรู้อะไรถามมา แต่พี่บอกได้แค่ที่รู้นะ” วินัยว่าพลางตักข้าวใส่จานที่เพียงออนำมาวางให้
“ค่ะ” เพียงออรับคำเสียงลิงโลด แต่พอหล่อนจะนั่งวินัยรีบบอก
“ปิดประตูก่อน เรื่องแบบนี้ให้รู้น้อยคนจะดีกว่า”
“ค่ะ”เพียงออรีบทำตามโดยดี แล้วรีบกลับมานั่งลงใกล้ๆ วินัยถามในสิ่งที่อยากรู้ทันที
การที่เพียงออตั้งใจฟังเรื่องที่วินัยเล่าไปกินข้าวไปแล้วหล่อนก็ช่วยตักกับข้าวเป็นการประจบประแจงไปในตัวนั้น ทำให้ไม่รู้ว่าพีรวัสที่กลับมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่างหยุดมองผ่านกระจกเข้ามา ก่อนเขาจะหันกลับอย่างฉุนเฉียวจนเกือบชนพี่สาวเข้าอย่างจัง
“พี่รดามาทำไม” พีรวัสถามรวดเร็วแล้วจับแขนพี่สาวพาเดินออกไปด้านนอก โดยมีสายตาของคนในสำนักงานมองตามสลับกับหันไปมองในห้องที่ประตูปิดสนิทแต่ไขม่านเปิดโล่ง แล้วมองสบตากันเองต่างวางสีหน้าไม่ถูกรู้แต่ห่วงคนในห้องพอสมควร
“นั่นอะไร สองคนทำอะไรกันในห้อง” พีรดาพยายามหันไปมองพร้อมแกะมือน้องชาย แต่เขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“ไม่มีอะไรพี่ ผมบอกให้วินัยสอนงานให้ยายหมาเน่าเอง”
“สอนงานนี่นะ นั่นมันนั่งกินข้าวเอาอกเอาใจกันเหมือนผัวเมียนะนายพี”
“พี่รดาก็ว่าไปเรื่อย คิดมากนะครับ วินัยไม่รู้ว่าผมจะให้สอนงานยายเพี้ยงเลยไม่ได้กินข้าวเช้ามา ยายหมาเน่าก็ยกข้าวกลางวันของตัวเองให้ ว่าแต่พี่รดามาทำไม” เขาถามซ้ำ พยายามบังไม่ให้พี่สาวมองกลับไปด้านใน เพราะเขาเองก็ไม่อยากเห็นเช่นกัน ส่วนที่โกหกไปนั้นเพื่อรักษาหน้าตัวเองเท่านั้น
“เชื่อใจกันมากเกินไปแล้วนะนายพี ระวังไว้เถอะมันจะสวมเขาให้ พี่ไปแล้ว” พีรดาดึงมือน้องชายออกสำเร็จก็เดินหนี ไม่สนใจตอบคำถามไล่หลัง
“แล้วตกลงพี่รดาแวะมาทำไมครับ” พีรวัสมองตามจนพี่สาวขึ้นรถโดยไม่ยอมตอบว่ามาทำไม แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ถึงสัมพันธ์ของพี่สาวกับวินัย และป้าสุภาเองก็รู้เพียงแต่ไม่อยากก้าวล่วงชีวิตส่วนตัวของพีรดาเท่านั้น และเหมือนป้าสุภาชอบจัดแจงชีวิตของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น พีรวัสถอนหายใจก่อนหันกลับไปมองอาคารสำนักงานมองลังเลอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจเดินไปขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
สองคนในห้องทำงานหันไปมองประตูที่ถูกเคาะพร้อมกัน ก่อนที่เพียงออจะเดินไปเปิดประตูเพราะวินัยยังกินข้าวไม่เสร็จแต่เล่าเรื่องที่หล่อนอยากรู้ให้ฟังหมดแล้ว
“มีอะไรคะ” เพียงออถามแล้วเปิดประตูกว้างค้างไว้เหมือนทุกวัน
“เมื่อกี้เจ้านายกับคุณรดามาครับ” มาโนชบอกเพียงออแต่สายตาจ้องไปที่วินัยที่ช้อนกินข้าวถึงขนาดร่วงหลุดมือกระทบจานดังแกร๊กแล้วแก้เขินด้วยการหยิบขึ้นมากวาดข้าวในชามใส่ปากจนหมดแล้ววางลง
“มาทำไมวะ” วินัยถามแล้วหยิบน้ำมาดื่ม
“ไม่รู้สิ เดินมาถึงหน้าห้องก็รีบพาคุณรดาออกไป ผมว่าแกคงหึงน่าดู” มาโนชว่าแล้วมองหน้าเพียงออ หญิงสาวรีบยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่หรอกค่ะ คุณพีบอกให้พี่วินัยสอนงานให้เพี้ยง แล้วบังเอิญพี่วินัยยังไม่กินข้าวเช้าเพี้ยงเลยยกปิ่นโตให้” เพียงออบอกไปพร้อมฝืนยิ้มให้มาโนช ในใจนั้นร้อนรนไปหมด หล่อนไม่กลัวพีรวัสหึงเพราะรู้ว่าเขาไม่รักแต่กลัวพีรดามีปัญหากับวินัยและมั่นใจว่าพีรดาแวะมาหาวินัยไม่ใช่มีธุระกับคนอื่น
“อ๋อ แล้วเที่ยงนี้คุณเพี้ยงจะกินอะไรพี่วินัยกินหมดแล้วนี่”
“กลับไปกินที่บ้านค่ะ เดี๋ยวค่อยขอยืมรถสำนักงานไปใช้”
“อ่อ ตามสบายครับ กุญแจแขวนอยู่เสากลาง หรือจะให้ใครขับไปให้ก็ได้นะครับ” มาโนชพูดจาใบหน้ายิ้มแย้ม
“เดี๋ยวพี่ไปส่งคุณเพี้ยงเอง แกออกไปทำงานเถอะ ขอบใจที่มาบอก” วินัยบอกพร้อมหิ้วปิ่นโตที่จัดการอาหารกลางวันของเพียงออเสียหมดแล้ว
“เพี้ยงล้างเอง” เพียงออรีบมาแย่งแต่วินัยเลี่ยง
“ไม่เป็นไร พี่ไปล้างเองจะชงกาแฟมาล้างปากซะหน่อย อย่ากังวลเรื่องที่ไอ้โนชบอกนะ ไว้พี่อธิบายให้นายเข้าใจเอง”
“เพี้ยงต่างหากต้องปลอบพี่วินัยคำนี้ ไว้เพี้ยงบอกพี่รดาเองจะได้ไม่เข้าใจผิด”
“หือ!” วินัยทำหน้าสงสัย เพียงออจึงยิ้มมุมปากแล้วพูดเบาๆ
“เพี้ยงรู้น่า เพี้ยงคิดว่าคนอื่นก็รู้แต่ไม่มีใครกีดกันหรือว่าอะไร ไม่ดีใจหรือคะ” หล่อนเลิกคิ้วสูง
“แต่เจ้าตัวนั่นแหละชอบปิดบัง คงอายเพราะพี่เป็นแค่คนงาน เฮ้อ! ไม่พูดแล้วไปชงกาแฟดีกว่า เอาไหมเราเดี๋ยวชงมาเผื่อ”
“ขอกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลนะคะ กลัวอ้วน” หล่อนบอกพร้อมยิ้มจนตาหยีมองวินัยเดินออกไปจากห้องแล้วลอบถอนหายใจ
แค่รู้สาเหตุของการทะเลาะกันระหว่างป้าสุภากับพีรดาเมื่อเช้าก็รู้แล้วว่าทำไมพีรวัสถึงไม่ชอบเดชดวงและสองตระกูลไม่เป็นมิตรที่ดีต่อกันเพราะเรื่องการตายของคนในตระกูลวีระวัทน์นี่เอง คำบอกเล่าของวินัยทำให้รู้ว่าพีรดาไม่ได้คิดเหมือนคนอื่นไม่โกรธแค้นคนพวกนั้น การเห็นหลานสาวตนเองไปนั่งดื่มกินกับลูกศัตรูฆ่าพ่อตัวเองจึงเป็นความขุ่นใจอย่างยิ่ง
เลยเที่ยงตรงมาเล็กน้อย เพียงออที่ขับรถของสำนักงานมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านด้วยตนเองกำลังประสบปัญหาบางอย่างเพราะฝนที่เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เปลี่ยนเส้นทางขับฝ่าสวนปาล์มเพื่อให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แม้จะได้ชื่อว่าสวนปาล์มแต่มีส่วนของบ้านพักคนงานกระจายเป็นจุดๆ สำหรับคนงานที่อยู่เป็นครอบครัวเพื่อให้ได้ใช้พื้นที่บางส่วนในสวนปาล์มทำประโยชน์ส่วนตัว
“อ้าว” เพียงอออุทานตกใจเมื่อขับมาถึงทางตันเพราะข้างหน้าเป็นบ้านพักคนงานไม่ใช่ถนนที่จะลัดเลาะไปถึงบ้านได้ เสียงแตรรถที่ดังขึ้นด้านหลังพร้อมแสงไฟที่สาดมาทำให้หล่อนรีบหันไป เห็นวินัยลงจากรถวิ่งมาเคาะกระจกแล้วบอกเมื่อหล่อนลดกระจกลง
“เดี๋ยวพี่เอาร่มมารับ รอในรถนะ” แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปในบ้านเสียงสุนัขเห่าต้อนรับเกรียวกราว ไม่นานวินัยก็วิ่งกลับมาพร้อมร่มกางรอที่ข้างรถ
“เพี้ยงจะกลับไปกินข้าวที่บ้านค่ะ แต่ขับหลงมา” หล่อนบอกความจำนง
“กินบ้านพี่ก็ได้ แม่ทำไว้ทุกวัน ลงมาเถอะ” วินัยคะยั้นคะยอ
เพียงออจึงยอมรับการเชื้อเชิญครั้งนี้ ทว่าแค่ลงจากรถมาอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน เสียงแตรรถก็ดังลั่นจนสองคนสะดุ้งขึ้นพร้อมกันแล้วต่างหันไปมองเห็นแค่แสงไฟรถที่สาดส่องเข้าตาจนมองไม่เห็นว่าใครเป็นคนขับ
“กินกันที่ออฟฟิศไม่พอยังนัดมากินกันถึงบ้านด้วยหรือ เลว!” พีรดาลงจากรถแล้วชี้หน้าด่ากราดมือสั่นเทา
“เหลวไหลนะคุณรดา ขึ้นรถไปฝนตกขนาดนี้ลงมาทำไม” วินัยยัดร่มใส่มือเพียงออแล้วเดินไปรับหน้าพีรดา กึ่งดันกึ่งลากหล่อนกลับไปที่รถ แต่พีรดาสะบัดขัดขืนตามด้วยตบหน้าเขาฉาดใหญ่แล้วโผเข้าหาเพียงออเพื่อมุ่งทำร้ายเช่นกัน แต่ถูกวินัยรวบเอวเอาไว้
“เป็นบ้าอะไร คลั่งที่ไม่ได้อ่อยไอ้เดชดวงใช่ไหม ตัวเองร่านอย่าคิดว่าคนอื่นจะร่านไปด้วย”
“ไอ้วินัย!” เสียงเรียกชื่อวินัยอย่างตกใจ เมื่อเขาหันไปตามเสียงก็ปะทะเข้ากับหมัดแข็งๆ เต็มหน้า
“มึงกล้าด่าพี่กูขนาดนี้เลยหรือ ไอ้บ้า” พีรวัสง้างหมัดจะชกซ้ำแต่เห็นวินัยยืนนิ่งทำให้เขาชกไม่ลง รีบเอามือลงแล้วเดินไปกระชากร่มในมือเพียงออทิ้ง
“กลับบ้าน ยายตัวซวย” แล้วเขาก็ลากหล่อนไปที่รถตัวเอง ไม่สนใจพีรดากับวินัยเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรสองคนนี้ก็มีใจให้กันคงไม่ถึงกับฆ่าแกงกันเพราะความหึงหวง
แต่พีรวัสไม่รู้ว่าตนเองคิดผิดถนัด เพราะแค่คล้อยหลังไปพีรดาก็พุ่งเข้าใส่ระบายอารมณ์กับวินัยแม้วินัยจะไม่ตอบโต้แต่ไม่ยินยอมให้หล่อนทำร้ายง่ายๆ นั่นยิ่งเหมือนกระพือไฟสุมไหม้หัวใจพีรดามากขึ้น จนหล่อนประกาศตัดความสัมพันธ์กับเขาทันที
“ในเมื่อนายเห็นมันดีกว่า ก็เลิกกัน สิ้นสุดกันเพียงแค่นี้ ฉันเกลียดนาย”พีรดาวาดฝ่ามือเข้าเต็มหน้าวินัยอีกครั้งเป็นการสะบั้นความสัมพันธ์แล้วขึ้นรถขับออกไป
“แต่ผมรักคุณ” วินัยพึมพำในลำคอ