บทที่ 03 มูที่จริงใจ

1587 Words
"โอ้ย…ปวดหัว!" ฉันทิ้งตัวลงบนม้าหินอ่อนหน้าคณะนิเทศที่เป็นที่นั่งประจำของกลุ่มเราก่อนขึ้นเรียน แล้วฟุบใบหน้านอนทับแขนเรียวในตอนเช้าตรู่ของวันที่มีเรียนและเข้าใกล้เวลาจะเข้าเรียนคาบเช้าเต็มที หากไม่ติดว่าวันนี้มีการสอบเก็บคะแนนในคาบฉันจะขาดเรียนให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อคืนดันดื่มเอาเป็นเอาตายไม่สนใจแม้จะรู้ว่ามีการสอบในคาบเรียนเช้า ให้ตายเถอะยังคงรู้สึกถึงแอลกอฮอล์ที่ยังคาอยู่ที่คอจนแทบอยากจะพุ่งออกมาอยู่เลย "ก็มึงเล่นแดกเข้าไปขนาดนั้น ไม่ปวดหัวก็แย่" เรียกว่าอาบแทนดื่มก็คงจะดีกว่าเสียกว่า เมื่อคืนถือว่าเป็นคืนที่ฉันดื่มหนักในรอบปีเลยก็ว่าได้ "ก็กูเครียดนี่หว่า" เพราะคิดว่าแอลกอฮอล์มันก็ทำให้ฉันลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ ถึงจะตื่นมาแล้วปัญหายังอยู่เช่นเดิมไม่ได้หายไป แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่อยากจะลืม "แล้วสรุปเรื่องที่แม่มึงบังคับให้หมั้นคือเรื่องจริงเหรอ?" นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหตุการณ์อาบเหล้าเมื่อคืนนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์หรือแม่แท้ ๆ ของฉันยื่นคำขาดบังคับให้ฉันหมั้นกับบุคคลปริศนาที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม หน้าตาและการศึกษา รู้แค่อย่างเดียวคือฐานะที่ร่ำรวยเอาการ เพราะการหมั้นของฉันเกิดขึ้นด้วยธุรกิจทั้งสิ้น "ถ้าไม่จริงกูจะเครียดแบบนี้เหรอ แม่งเอ้ย…ทำยังไงดีวะ" ว่าแล้วฉันก็แหงนหน้าขึ้นมาเท้าคางอย่างท้อใจ แม่ไม่ยอมฟังคำพูดหรือเหตุผลของฉันเลยสักนิด เอาแต่บอกว่าเขาดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ ช่วยครอบครัวเราเอาไว้ได้โดยไม่ถามความเห็นของฉันเลย แน่นอนว่าฉันไม่เชื่อในสิ่งที่แม่บอกมาทั้งหมด เพราะถ้าเขาดีจริงก็คงจะไม่มานั่งให้ผู้ใหญ่จับคู่ให้แบบนี้ คงจะเป็นเสี่ยแก่ ๆ อายุสามสิบขึ้นไปที่อยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครเอา ถึงได้อยากมีคู่หมั้นจนตัวสั่นไม่มีปัญญาหาเองแบบนี้ "มึงก็บอกแม่ไปสิวะว่ามึงมีแฟนแล้ว" โอโซนออกความคิดเห็น แต่ฉันกลับไม่ได้เห็นด้วยเพราะว่าฉันเคยทำมาแล้ว แต่… "แม่กูไม่เชื่อ" ทั้งชีวิตฉันไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ไม่เคยควงใครเลยด้วยซ้ำ ถ้าแม่เชื่อก็บ้าแล้ว "มึงก็หาจริง ๆ ไปเลยสิ ปีสองแล้วนะ กูยังไม่เห็นมึงมีแฟนหรือคบใครสักคน" "โอ้ยอย่างมันเหรอ แค่มีผู้ชายเข้ามาจีบก็ไล่ตะเพิดเขาไปหมด" ฉันมองยายโอโซนตาขวาง ถึงมันจะจริงอย่างที่เพื่อนว่าก็ตาม "แต่ละคนที่เข้ามาไม่มีใครจริงใจ ใครจะไปเอาวะ" ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไล่คนที่เข้ามาโดยไร้เหตุผล แต่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่หวังอยากเคลมก็หวังแค่อยากจะลิ้มลองว่าดาวมหา'ลัยแบบฉันมันจะสักแค่ไหนกัน ฉันเจอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว แค่บอกว่าห้ามโดนตัวในระหว่างจีบกันห้ามมีอะไรกันก่อนจะแต่งงานแค่นี้ก็หนีหัวซุกหัวซุนกันไปหมด ไม่ยักจะเห็นใครจริงใจเลยสักคน "กับบางคนที่มึงเจอเขาแค่ห้านาทีมึงก็ตัดสินว่าเขาไม่จริงใจแล้วน่ะนะ?" "แค่ดูสายตาก็รู้แล้วปะวะ" สายตามันหลอกกันไม่ได้คำนี้ไม่เกินจริง แค่หนึ่งนาทีในบางคนก็มองเห็นความต้องการทะลุปรุโปร่งแล้ว "เฮ้อ...ซินดี้มึงพูดต่อดิ้ กูหมดคำพูดกับมันแล้ว" คนท้อแท้ส่ายหัวแล้วขยับถอยออกมา ซินดี้จึงรับหน้าที่นั้นต่อพร้อมทั้งทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนเรียนหนังสือในห้องเรียน "กูถามจริง มึงจะเก็บพรหมจรรย์จนแต่งงานจริง ๆ เหรอวะ?" ฉันหดคอแล้วถอนหายใจเสียงดัง นึกว่าจะมีอะไรสำคัญมากกว่านี้อีก ที่แท้ก็ทวนถามคำถามที่ครั้งหนึ่งฉันเคยลั่นไว้จนพวกมันเคยช็อกมาครั้งหนึ่ง "กูก็ไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้น แต่ถ้าวันหนึ่งกูเจอคนที่เต็มใจอยากให้ มากกว่าร่างกายกูก็ให้เขาได้" และใช่...ฉันล้อเล่น ตอนนั้นก็แค่ตอบไปเพื่อตัดรำคาญเพื่อนที่ถามมาก แต่ถ้าจะเอาความจริง พรหมจรรย์ของฉันฉันก็แค่อยากจะมอบให้ใครสักคนที่ฉันเต็มใจอยากให้จริง ๆ อาจจะเป็นแฟนหรือไม่ใช่ เป็นไปได้ทั้งหมดเพราะฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องสถานะถึงขนาดนั้น แต่ถ้าได้...มันก็เป็นเรื่องดี "อย่างเช่นรุ่นพี่ที่แสนดีของมึงน่ะเหรอ?" คำถามของยายโอโซนทำฉันสะอึกจนพูดไม่ออก รอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปรายสายตาไปมองมันนิ่ง ๆ ไอ้เพื่อนรักมันก็พร้อมถอนยิ้มแหย่ ๆ แล้วพนมมือขึ้นมาไหว้ขอโทษฉันทันที "ขอโทษ กูพลาด" ฉันพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ตัดสินใจหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น แล้วรีบเก็บของเพราะใกล้ถึงเวลาแห่งความทุกข์อีกอย่างในชีวิต จึงต้องเก็บเรื่องราวความเครียดทั้งหมดไว้ แล้วแบกร่างที่เหลือแค่กายหยาบรับเรื่องเครียดในการเรียนเข้ามาในสมองให้มากกว่าเดิม หลังเลิกเรียน ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียนต่อฉันก็ถูกเพื่อนสองคนลากกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของโอโซน โดยถูกเพื่อนสนิทจัดแจงทุกอย่างแม้กระทั่งการเลือกสีเสื้อสีชมพูแป๋นกันทั้งสามคน จากนั้นก็ลากฉันมาที่ไหนสักที่ พร้อมกับข้าวของที่จอดซื้อระหว่างทาง ทั้งดอกบัวและผลไม้คนละชุดแบกจนพะรุงพะรัง ยายโอโซนที่ทำหน้าที่ขับรถบังคับพวงมาลัยเลี้ยวมาจอดหน้าสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนทั้งเดินเข้าเดินออกไม่หยุด แล้วดับรถถือของลากฉันเดินตาม โดยตลอดทางฉันก็เอาแต่ถามด้วยความสงสัย แต่พวกมันก็ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรสักอย่างจนสุดท้ายพวกเราก็มาถึงที่ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำเอาฉันถึงบางอ้อโดยทุกข้อสงสัยได้รับคำตอบที่กระจ่างขึ้นมาทันที "พามามูเนี่ยนะ!" มูหรือมูเตลูแหล่งยอดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมของคนในยุคปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าพระแม่ที่มาแรงในตอนนี้ก็หนีไม่พ้นพระแม่ลักษมีที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ซึ่งฉันเองก็พอเห็นผ่านตาได้ยินผ่านหูถึงอิทธิฤทธิ์ความปังของท่านมาเยอะ แต่เพราะฉันไม่ใช่สายมูจึงไม่ได้สนอกสนใจมากนักด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยโหยหาอะไรในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของความรัก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฉันเชื่ออย่างนั้น "ใช่ ถ้าแกไม่อยากหมั้นแกก็ต้องมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และวิธีนี้มันก็ได้ผลเร็วที่สุด" ซินดี้พูดจบก็พยักหน้าให้โอโซน เท่านั้นมันก็ยัดทั้งดอกบัวสีชมพู ผลไม้หลายอย่างใส่มือฉันและสิ่งสุดท้ายก็เป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนคาถาบูชาพระแม่เอาไว้เรียบร้อย ให้ตายเถอะ...การมาครั้งนี้ถูกเตรียมการมาอย่างดีโดยที่ฉันไม่รู้ ครบทุกอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งอยากจะมาขอพรให้ได้ผลทันควัน แต่ที่มันลืมไปอย่างหนึ่งและเป็นอย่างที่สำคัญมาก ๆ ก็คือขอความสมัครใจจากฉัน หรือปรึกษาฉันสักคำก่อนที่จะจัดแจงทุกอย่างแบบนี้ "มึงอ่านคาถาบูชาตามนั้นเลยนะ อ่านเสร็จก็บอกชื่อนามสกุลของมึงแล้วสิ่งที่มึงอยากขอ บอกสเปคแบบละเอียดเลยก็ดีพระแม่จะได้จัดให้มึงได้ถูกใจ" "แต่กูไม่ได้อยากมี" ฉันสั่นหัวปฏิเสธ "เอาหนา…ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว พวกกูอุตส่าห์ทำเพื่อมึงขนาดนี้ มึงยังจะปฏิเสธพวกกูอีกเหรอ?" ฉันเกลียดสายตาละห้อยใบหน้าอ้อน(ตีน)ของพวกมันที่สุด ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยแถมยังพยายามทำให้ฉันที่กำลังจะปฏิเสธดันรู้สึกผิดขึ้นมาอีก ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดเดียว แต่ก็เอาเถอะ…มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องลองดูตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ไม่ค่อยต้องการมากนัก ถึงจะไม่ใช่สายนี้แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่เชื่อ เอาก็เอาเถอะ...ถ้าพระแม่จะประทานผู้ชายให้สักคนในชีวิตนี้ก็ขอให้คนคนนั้นหล่อ หุ่นดี ขาว อารมณ์ประมาณอปป้าเกาหลี รวยด้วยก็ดีฉันจะได้ไม่ลำบาก แต่ที่สำคัญเลยคือเราสองคนศีลต้องเสมอกัน อยู่ด้วยกันไปยาว ๆ คลั่งรักฉันมาก ๆ และไม่เจ้าชู้เด็ดขาด ถ้าได้ทุกอย่างตามนี้หนูสัญญาว่าจะรักเขาไปจนตายเลย…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD