"ไอ้มิวกูลงชื่อเรื่องไปทำค่ายอาสาแล้วนะ"
"ฮะ ฮ้ะ?" มิวสิคหันขวับใช้สายตามองเพื่อนที่เพิ่งพูดจบ ลงชื่อเรื่องทำค่ายอาสาไม่เคยอยู่ในหัวของเธอเลย ยังไม่ได้บอกสักครั้งว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมนอกสถานที่ที่เพื่อนกำลังพูดถึง
"ค่ายนี้ชมรมเรากับชมรมจิตอาสาร่วมกันเป็นเจ้าของโครงการเลยนะเว้ย แล้วมึงเป็นถึงรองประธานชมรมดนตรีจะไม่เข้าร่วมได้เหรอ กูคิดถูกใช่ไหมล่า~" ซินดี้กล่าวด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือของตัวเอง เหมือนว่าทุกอย่างที่ทำก็ทำเพื่อเพื่อนทั้งนั้น ไม่มีผลประโยชน์ของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด
"เอาความจริง"
"อยากออกค่ายกับพี่เปอร์" แต่ความจริงแล้วคือไม่ใช่เลย เธอแค่อยากไปออกค่ายอาสากับผู้ชายที่ชอบ แน่นอนว่าคนอย่างเธอไม่ไปคนเดียวอยู่แล้ว จึงต้องลากเพื่อนสนิททั้งสองร่วมชะตากรรมด้วย โดยไม่ได้ถามความสมัครใจสักนิดเดียว
"ไอ้ซินดี้!!!" มิวสิคกัดฟันกรอดแสดงท่าทีไม่พอใจ เธอก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำที่ไม่อยากจะเป็นจิตอาสาอย่างที่ว่า แต่เพราะไม่ชอบออกนอกพื้นที่ด้วยความที่เป็นคนเรื่องเยอะในหลายเรื่อง จึงไม่อยากไปให้ตัวเองและคนอื่นต้องลำบากไปกับเธอด้วย
"เอาหนามึง ช่วยมันหน่อย พอมันได้คบกันเราก็จะหลุดพ้นแล้ว" โอโซนตบไหล่เพื่อนเพื่อปลอบใจ เธอเองก็โดนบังคับไม่ต่าง แต่ตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวได้แล้ว เอือมระอาในความเอาแต่ใจของซินดี้พอตัว
"น้าเพื่อนรัก…ตอนนี้พระแม่ก็ทำงานไม่สำเร็จถ้าไม่ได้มึงช่วย…" มิวสิคเบือนหน้าหนี ซินดี้ก็ยังเป็นซินดี้ที่ใช้ลูกไม้ตื้น ๆ มาออดอ้อนอีกเช่นเคย
"เออ กูปฏิเสธมึงไม่ได้อยู่แล้วนี่" แล้วคนอย่างมิวสิคก็ต้องยอมเพื่อนอีกเช่นเคย
คอนโดเจอาร์
ฉันทิ้งตัวลงบนที่นอนของคอนโดหรู ที่กบดานส่วนตัวของฉันที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันสอบติดมหา'ลัย เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจที่ไม่อยากกลับบ้านก็จะหลบมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่…เช่นเดียวกับวันนี้
ครืดดดดด!
แม่.
ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นปลายสายที่โทรเข้ามา พูดยังไม่ทันขาดคำ สายที่ฉันกำลังหนีไม่อยากคุยด้วยที่สุดตอนนี้ก็โทรมาทันทีแต่ก็ตัดใจไม่รับสายท่านไม่ได้
"ค่ะแม่"
(ทำไมวันนี้ไม่กลับบ้านล่ะ)
"ต้องทำรายงานส่งพรุ่งนี้ หนูนอนคอนโดไม่กลับบ้าน"
(แล้ววันหยุดสัปดาห์หน้าว่างใช่ไหม?)
"ไม่ว่างค่ะ" ฉันตอบกลับแม่โดยไม่ต้องคิดเพราะรู้ดีว่าแม่ต้องการอยากทำอะไร
(ไม่ว่างก็ต้องว่าง แม่นัดกับทางฝั่งนู้นไว้แล้ว แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งจากพ่อลูกด้วย)
"พ่อก็เอาด้วยเหรอคะ!?" ฉันเผลอขึ้นเสียงตอบกลับคนเป็นแม่ นึกว่าแผนนี้จะเป็นแม่คนเดียวเสียอีก ไม่นึกเลยว่าคนมีเหตุผลและไม่เคยบังคับใครอย่างพ่อก็เห็นด้วย นี่มันการคลุมถุงชนเลยนะ ชีวิตของฉันทั้งคนแต่พ่อกับแม่กลับทำเหมือนฉันเป็นแค่สิ่งของที่อยากจะยกให้ใครหรือผลักไสไปให้ใครก็ได้
(แม่กับพ่อทำเพื่อลูกนะมิวสิค) ฉันไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่หัวเราะออกมาทั้งน้ำตาคลอเบ้า ทำเพื่อฉันหรือทำเพื่อตัวเอง ที่ผ่านมาฉันคิดมาตลอดว่าครอบครัวคือเซฟโซนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ความรู้สึกในตอนนี้คือฉันแทบไม่อยากกลับบ้านและไม่อยากเจอหน้าได้ยินเสียงพวกท่านเลยด้วยซ้ำ
(ได้ยินที่แม่พูดใช่ไหมมิวสิค แม่รักลูกนะ ดูแลตัวเองด้วย) ว่าจบสายก็ตัดไปในทันที ฉันได้แต่ปาดน้ำตาตัวเองลวก ๆ แล้วหลับตาลงไล่ความเสียใจ วันนี้ไม่ได้มีการทำรายงานอะไรทั้งนั้นแหละ แต่เพียงแค่อยากหนีความวุ่นวายและอยู่กับตัวเองเท่านั้น
ครืดดดดด!
สายเรียกเข้าครั้งที่สองดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉันลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิดที่ยังเหลืออยู่ ยิ่งได้เห็นปลายสายที่แสดงชื่อคนโทรเข้าก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม
พี่กันย์.
"ป่านนี้เพิ่งจะโทรกลับมา ถ้าตอนนี้น้องป่วยไม่สบายก็คงนอนตายเป็นผักไปแล้วมั้ง" เชื่อไหมว่าตั้งแต่รถเสียที่โทรไปคืนนั้นนี่คือครั้งแรกที่มันโทรกลับมา ไอ้พี่รหัสตัวดีที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันเลย
(หงุดหงิดอะไรของมึงเนี่ยไอ้มิว กูเพิ่งกลับจากต่างประเทศ) ปลายสายตอบกลับแบบงง ๆ แต่ฉันก็อารมณ์ขึ้นเกินไปแหละ ยังค้างมาจากแม่ด้วย
"ต่างประเทศก็โทรกลับหาน้องไม่ได้หรือไง"
(กูก็ไปทำงานไหมล่ะ มึงนั้นแหละเป็นอะไร?)
"ไม่รู้เว้ย หงุดหงิด!"
(เอ้าไอ้นี่ หงุดหงิดก็มาลงที่กู มาผับไหมล่ะ กูเลี้ยงเครื่องดื่ม)
"ไม่มีอะไรที่ดีกว่าแดกเหล้าแล้วเหรอพี่กันย์"
(แปลว่าไม่มา?)
"แต่งตัวก่อน"
(สัส ลีลาอยู่นั้น) ด่าเสร็จสายของไอ้พี่กันย์ก็ตัดจบทันที ฉันไม่รอช้ารีบลุกไปอาบน้ำ แต่งตัวใส่ชุดพร้อมไปผับ ทั้งที่วันนี้ไม่ได้ต้องการอยากจะเมา แต่ปัญหาที่ถาโถมอะไรก็ไม่รู้เกิดในชีวิตของสาววัยยี่สิบแบบฉัน แทบมองไม่เห็นทางออก แล้วแบบนี้ฉันจะเลิกพึ่งแอลกอฮอลล์แก้ปัญหาชั่วคราวได้อย่างไร
TWENTY SIX PUB
ปึก!
"เอามาอีก" ฉันกระแทกแก้วเหล้าบนเคาน์เตอร์บาร์แล้วกระดิกนิ้วบอกบาร์เทนเดอร์ให้เติมเครื่องดื่มมาเพิ่ม สามแก้วเข้ม ๆ ที่ชงมายังไม่มากพอที่จะทำให้ฉันลืมเรื่องแย่ ๆ ที่ต้องเจอในตอนนี้ได้
"ได้แล้วครับ" ฉันรับเครื่องดื่มที่เพิ่งจะถูกชงเสร็จมาหมาด ๆ กำลังจะกระดกเข้าปากแต่ก็ถูกใครบางคนแย่งเอาไปต่อหน้าต่อตา
"ใครว่ะ!?" ฉันปรายมองเจ้าตัวด้วยสายตาหงุดหงิดพร้อมระเบิดลง
"กูเอง" จนเห็นไอ้พี่กันย์ที่ยืนยักคิ้วกวนตีนให้ก็หันไปคว้าอีกแก้วกระดกดื่มโดยไม่สนใจ
"เป็นอะไรของมึง?"
"เปล่า" ฉันกล่าวปฏิเสธแล้วกระดกดื่มเหล้าออนเดอะร็อกที่อยู่ในมือ ก่อนที่จะไปคว้าอีกแก้วแต่ไอ้พี่กันย์ก็แย่งไปอีกครั้ง
"ถ้าอยากดื่มมึงก็สั่งเองดิพี่ ร้านก็ร้านมึง" ไอ้นี่มันทำให้ฉันหงุดหงิดได้ทุกเวลาจริง ๆ
"เมาแล้วขึ้นมึงกูกับพี่เลยนะไอ้มิว แล้วกูก็ไม่ได้อยากแย่งเครื่องดื่มมึงด้วย แต่กูกลัวมึงคุยกับกูไม่รู้เรื่อง"
"ขอโทษ" ฉันยกมือไหว้ไอ้พี่กันย์ท่วมหัว ถึงจะนิสัยไม่ค่อยดีแต่ก็มีมารยาท ส่วนหนึ่งที่ก้าวร้าวก็เพราะอารมณ์และแอลกอฮอลล์ น้ำเปลี่ยนนิสัยที่เขาว่าไม่เกินจริง
"เออ ๆ ว่าแต่มึงมาคนเดียว?" พี่กันย์ว่าจบก็หันซ้ายขวาคาดว่ามองหาเพื่อนของฉัน แน่นอนว่าไม่มีเพราะฉันไม่ได้บอกเพื่อนว่าจะมา
"อือ มาคนเดียว"
"มาคนเดียวแต่มึงแดกแบบไร้สติเนี่ยนะไอ้มิว" ไร้สติตรงไหน ฉันรู้เรื่องในสิ่งที่พี่รหัสพูดทุกคำ ได้ยินครบแต่เพียงแค่เห็นมันมีหลายร่างและกำลังจะสูญเสียการทรงตัวแค่นั้นเอง
"กลัวอะไรวะ เมาก็นอนนี่ดิ ผับพี่รหัสก็เหมือนบ้านตัวเองนั้นแหละ" ใช่ว่าจะไม่เคยนอนที่นี่ แต่แค่ครั้งก่อน ๆ จะมีซินดี้กับโอโซนนอนด้วยตลอด
"งั้นก็ไปดื่มข้างบน กูต้องขึ้นไปทำงาน" พี่กันย์พยายามลากแขนฉัน แต่ฉันกลับสะบัดแขนมันออกแล้วกลับมานั่งลงที่เดิม
"ไม่ไป จะนั่งดื่มที่นี่ พี่มีงานก็ไปทำ มิวอยู่คนเดียวได้"
"จะให้กูปล่อยมึงนั่งล่อเสือล่อตะเข้คนเดียวเนี่ยนะ?"
"ไม่ต้องห่วงหรอกหนา เดี๋ยวถ้าใกล้เมาจะให้บาร์เทนเดอร์รูปหล่อไปส่ง" ฉันยิ้มแล้วชี้นิ้วไปทางชายหนุ่มบาร์เทนเดอร์ร้านพี่กันย์ พอเมาแล้วก็มองคนอื่นหล่อไปหมด
"เออ ๆ ฝากดูน้องกูด้วย ถ้ามันไม่ไหวโทรหากูแล้วกัน"
"ครับเฮีย" บาร์เทนเดอร์รูปหล่อพยักหน้ารับปากเจ้าของร้าน ไอ้พี่กันย์ก็เดินขึ้นไปทำงานของมัน เอาเข้าจริงมันก็เป็นพี่ที่ดีคนหนึ่งนั้นแหละ ถึงจะดีไม่มากแต่อย่างน้อยก็มีข้อดีอยู่บ้าง นั้นแหละเริ่มเมาแล้วก็เริ่มคุยไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา
"สุดหล่อเอาเครื่องดื่มมาเพิ่ม..."